คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
[๒๒๓] คำว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย มีความว่า
พาลปุถุชนทั้งปวงย่อมกำหนัด
พระอริยบุคคลผู้เสขะ ๗ จำพวก ตลอดถึงกัลยาณปุถุชนย่อมคลายกำหนัด
ส่วนพระอรหันต์ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมคลายกำหนัดก็หามิได้.
เพราะ
พระอรหันต์นั้นคลายกำหนัดแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะโดยราคะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะโดยโทสะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะโดยโมหะสิ้นไปแล้ว
และพระอรหันต์นั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว
ฯลฯ
ภพใหม่มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ไม่คลายกำหนัดเลย.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด
ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น
เสียงที่ได้ยิน
และอารมณ์ที่ทราบ
พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น
ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย ดังนี้.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=2586&Z=3083
พาลปุถุชนทั้งปวงย่อมกำหนัด
พระอริยบุคคลผู้เสขะ ๗ จำพวก ตลอดถึงกัลยาณปุถุชนย่อมคลายกำหนัด
ส่วนพระอรหันต์ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมคลายกำหนัดก็หามิได้.
เพราะ
พระอรหันต์นั้นคลายกำหนัดแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะโดยราคะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะโดยโทสะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะโดยโมหะสิ้นไปแล้ว
และพระอรหันต์นั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว
ฯลฯ
ภพใหม่มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ไม่คลายกำหนัดเลย.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด
ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น
เสียงที่ได้ยิน
และอารมณ์ที่ทราบ
พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น
ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย ดังนี้.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=2586&Z=3083
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
"ความเป็นพระอรหันต์
..ราคะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ก็รู้
โทสะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้
โมหะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป รู้"
พระอรหันต์บ้านไหนครับ ราคะ โทสะโมหะเกิดได้
ราคะกับโทสะ มันขาดเหี้ยนไปตั้งแต่อนาคามิมรรคจิตแล้ว
ส่วนโมหะ ก็มาขาดตอนอรหัตตมรรคจิต
แล้วจะมีราคะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ให้รู้ได้ยังไง
เพี้ยนครับ
..ราคะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ก็รู้
โทสะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้
โมหะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป รู้"
พระอรหันต์บ้านไหนครับ ราคะ โทสะโมหะเกิดได้
ราคะกับโทสะ มันขาดเหี้ยนไปตั้งแต่อนาคามิมรรคจิตแล้ว
ส่วนโมหะ ก็มาขาดตอนอรหัตตมรรคจิต
แล้วจะมีราคะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ให้รู้ได้ยังไง
เพี้ยนครับ
ความคิดเห็นที่ 5
ผมมีความเห็นว่า พระอรหันต์ไม่มีกิเลสครับ เพราะท่านไม่มีอวิชชาและอาสวกิเลสจึงตัดปัจจัยที่จะก่อให้เกิดสังขาร เมื่อไม่มีสังขารจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิญญาณ เมื่อไม่มีวิญญาณจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดนามรูป เมื่อไม่มีนามรูปจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดสฬายตนะ เมื่อไม่มีสฬายตนะจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดผัสสะ เมื่อไม่มีผัสสะจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดเวทนา เมื่อไม่มีเวทนาจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุปาทาน เมื่อไม่มีอุปาทานจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดภพ เมื่อไม่มีภพจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดชาติ เมื่อไม่มีชาติจึงตัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
พระอรหันต์ท่านย่อมมีปัญญารู้เท่าทัน เมื่อกระทบกับผัสสะท่านย่อมมีโยนิโสมนสิการไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นได้ครับ ลองศึกษาหลักปฎิจจสมุปบาทดูนะครับ
พระอรหันต์ท่านย่อมมีปัญญารู้เท่าทัน เมื่อกระทบกับผัสสะท่านย่อมมีโยนิโสมนสิการไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นได้ครับ ลองศึกษาหลักปฎิจจสมุปบาทดูนะครับ
ความคิดเห็นที่ 4
พระโสดาบัน ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 อย่าง
พระสกิทาคามี ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 อย่าง และทำราคะ โทษะ ให้ลดน้อยลง
พระอนาคามี ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้ง 5 อย่าง
พระอรหันต์ ตัดสังโยชน์ได้ทั้ง 10 ประการ
หากมี .."ราคะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ก็รู้ โทสะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ โมหะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป รู้"
อย่างนี้จะต่างกับ พระสกิทาคามี กับอนาคามีอย่างไร?????
พระสกิทาคามี ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 อย่าง และทำราคะ โทษะ ให้ลดน้อยลง
พระอนาคามี ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำได้ทั้ง 5 อย่าง
พระอรหันต์ ตัดสังโยชน์ได้ทั้ง 10 ประการ
หากมี .."ราคะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ก็รู้ โทสะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ โมหะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป รู้"
อย่างนี้จะต่างกับ พระสกิทาคามี กับอนาคามีอย่างไร?????
แสดงความคิดเห็น
--- พระอรหันต์ ยังมี ราคะ โทสะ โมหะ ไหม ? ---
หากมีพระบางรูป แสดงธรรม โดยกล่าวว่า
"ความเป็นพระอรหันต์
..ราคะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ก็รู้
โทสะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้
โมหะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป รู้"
ท่าน สมาชิก พันทิพทั้งหลาย
มีความเห็นว่า การกล่าวอย่างนี้ ถูกต้องไหม ?
.