ตะลุย...เจเปน

เมื่อเสี่ย...ตะลุยเจเปน  

ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น   ผมก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้  เพราะเป็นครั้งแรกที่เดินทางไปที่นั่น  โดยมากผมจะรู้จัก
ประเทศญี่ปุ่น ผ่านการ์ตูน หรือซีรีส์ญี่ปุ่น หลายเรื่องที่ผมเคยดู   การเดินทางของผมใช้บริการของสายการบิน
แอร์เวียดนาม  จากสุวรรณภูมิ  ถึงโฮจิมินซิตี้ แล้วเปลี่ยนเครื่องเป็น แอร์บัส (มั๊ง) แล้วบินจาก โฮจิมิน มุ่งหน้า
สู่สนามบินนานาชาติ นาริตะ

การเดินทางเรียบร้อยทุกอย่าง ยกเว้นตอนมาถึงสนามบิน  ผมเริ่มเครียด  เพราะต้องผ่านด่าน ตม. กลัวเรา
จะทำขายหน้าประเทศชาติ  เพราะถึงแม้จะลงจากแอร์เวียดนาม  แต่ตอนเจ้าหน้าที่ ดูพาสปอร์ต  เขาก็ต้องรู้
ว่าอันตัวผม มาจากประเทศไทย  ผมจึงจดทุกอย่างที่เขาน่าจะถาม  เหมือนผมย้อนอดีต ไปสอบสัมภาษณ์ที่
ทำงานวันแรกเลย....

ในข้อสอบที่ เราเกร็งไว้มี....
1)  มาจากไหน  (จะถามทำไม แค่เห็นพาสปอร์ตก็น่าจะรู้แล้ว)
2)  ไปที่ไหน....(อันนี้ต้องตอบครับ เพราะเขาอาจกลัวเรา กระโดดหนี แต่ถ้าผมจะหนีจริงๆ คำถามนี้ ก็ไม่ควร
ถาม เพราะถามไป  เขาก็จะไม่ได้ความจริง )
3)  อยู่กี่วัน  โรงแรมไหน  มีใครมารับไหม  พักที่นั่นกี่วัน ที่นี่กี่วัน  มีเงินเท่าไหร่  ของในกระเป๋าคืออะไร  อายุ
เท่าไหร่ ส่วนสูง หน้าอก เอว สะโพก  น้ำหนักเท่าไหร่  ดาราในดวงใจคิอใคร รู้จักนักร้องคนไหน  และสุดท้าย
เข้าวงการมาได้อย่างไร (หลังจากอายุ ทุกอย่างที่เขียนขึ้นมาคือคำถามที่ผมเตรียมขึ้นมาเอง อิๆๆๆ)

ผมต่อแถวไป ใจก็เต้นไป (แน่ล่ะสิ ไม่เต้นผมก็กลายเป็นซอมบี้นะสิ) จนถึงเวลาอันระทึกหัวใจของชายหนุ่มวัย
กำดัด อย่างผู้เขียน...เธอมองผม ราวกับว่า ผมเป็นพระเอกหนังเอวี...(ผมไม่เคยดูนะ เพื่อนเล่าให้ฟัง) คือมอง
แบบเพ่งพิจารณา อย่างละเอียด มองขึ้น มองลง ระหว่างใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับ มาริโอ้   บวกเวียร์ บวกบี้
บวก น้าเดช บวกคุณชาคริตครับฯลฯ จนกลายมาเป็น น้าคร่อม...(หือๆๆ).. กับพาสปอร์ต  จนในที่สุด เธอก็พูด
ว่า  "@#&*-+-*&++<>>>"@.... อาริงาโตะ โกไซมาสสสสส" แล้วก็โต้งให้หนึ่งครั้ง ในใจของผมกลับคิดว่า

"เฮ้ยยย!!!...?แล้วที่ ตะรู  เตรียมท่องมาครึ่งค่อนวัน ไม่ถามอะไร ตะรูบ้างเลยหรือ
อุตสาหะ...ท่องอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ทั้งการออกท่าทาง และสำเนียง
แบบอเมริกาโน่ชน....ทำไมไม่ถาม..."

ว่าแล้วผมก็เดินคอตก เพราะไม่ได้แสดง  ศักยะภาพอันโดดเด่นให้ สาว ตม.ฟันกระต่ายได้รับฟัง เสียใจมากๆ
ครับ ถ้าตอนนั้น ผมถือผ้าเช็ดหน้า ผมอาจร่ำไห้ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าให้สาวข้างๆ ช่วยซับให้อีกที...แต่จนใจ
ครับ... ในขณะนั้น สาวๆ หายไปไหนหมด  ไม่มีเหลือใคร  นอกจาก ชายหนุ่ม (ใหญ่) ร่างบึกบึน ชาวเวียดนาม
ยืนอยู่ใกล้ๆ.....

จากนั้นก็มีคนมารับ  เพื่อพาผม พร้อมคณะ...อันประกอบด้วย ญาติสนิท (สนิทที่สุด เท่าที่จะสนิทได้) เพื่อน
(ก็สนิทที่สุด เท่าที่จะสนิทได้) หลังจากได้ตั๋วแล้ว เราก็เข้าไปนั่งรถไฟ สุดหรู ที่นั่งหมุนได้ ของค่าย JR. ผม
รู้สึกตื่นตา กับเก้าอี้มหัศจรรย์ตัวนี้เป็นอย่างมาก  ผมเลยขออนุญาตเขาเพื่อหมุนไป หมุนมา ราวกับว่า ตู้รถนี้
เป็นของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว...

หลังจากผมหมุนเก้าอี้จนสาแกใจแล้ว  (ความจริงพอดี เจ้าหน้าที่รถไฟมาตรวจตั๋ว) ผมก็นั่งรอให้เจ้าหน้าที่มา
ประทับตาที่ตั๊ว  เพื่อแสดงว่า  คุณ...มี...ตั๋ว เพื่อไม่ให้คุณ เป็นคนไม่มีตั๋ว...ผมตื่นเต้นกับภาพบ้านเมืองของเขา
เป็นอย่างมาก  รถบนถนน ก็ไม่หนาแน่น  ผู้คนไม่รู้หายไปไหน ในระหว่างนั้น มัสจัง  (ขอโทษนะครับ ผมจำชื่อ
จริงเขาไม่ได้ รู้แต่ว่า เขาเป็นชายญี่ปุ่นที่ใจดีมากๆ ชอบเล่นกับหลาน  แล้วดูเหมือนหลาน ก็จะรักมัสจังมาก..)
เขาจะบอกวิถีชีวิตของคนในเมืองโตเกียว  ให้เตรียมคำพูดว่า  "โกแมนกุดาไซ"  ใช้ในกรณี เกิดการชนกัน
หรือขอทางเขาเวลาอยู่บนรถไฟ ถ้าความหมายของผม น่าจะเป็นคำนี้ เวลาเราเจอสาวยูนิฟอร์ม (อิกๆๆ)

'เอ่อ!...คุณผู้หญิงครับ  ขอให้ผม เคลื่อนย้ายร่างกายอันเพอเฟค ไปด้านนู้น
ได้ไหมครับ...คุณผู้หญิงคนสวย...(อะจึ๊ยยยย!!!)...'

ส่วนถ้าเป็นผู้ชาย ไม่ว่า เด็ก วัยรุ่น คนหนุ่ม คนแก่ ความหมายของ โกเมนกุดาไซ จะแปลว่า

"เฮ้ย!!!...นาย ขอเราไปทางโน้น  หน่อยเด๊ะ..."

วันนี้ผมขอเริ่มต้นเพียงเท่านี้  เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ผมซาบซึ้ง จนน้ำตาไหลอาบแก้ม มากมาย จะรันทด
กว่า โอชิน  หรือจะซึ้งกว่า  คู่กรรม  หรือจะมันส์ เท่าทรายฟอร์เมอร์  หรือจะเว่อร์เท่า มิสชั่นสกาย แค่ไหน  
มากับผมนะครับ....(นี่มันสโลเกนโฆษณาตัวไหนเนี่ยะ)  แล้วผมจะพาไป....

ขอขอบคุณ  แอร์เวียดนาม  ที่ทำ เอนมิเมชั่น สุดอลังการงานสร้าง ทำให้ผมเข้าใจ เวลาเครื่องจะตก ควรทำ
อย่างไร  และเวลาเข้าห้องน้ำบนเครื่อง เวลากดชักโครก น่ากลัวแค่ไหน....และแปรงสีฟันฟรี ที่ทำให้ผมได้
ทราบว่า  ซิสเทมม่า ทนมากๆ...ขอบคุณอาหารที่อร่อย ในตอนเดินทาง...และภาพยนต์ที่มีให้ดูตั้งหลายเรื่อง
แต่ผมดูได้แต่ภาพ แต่มีเสียงดนตรีให้ฟังเพียงอย่างเดียว  (ไม่กล้าถามแอร์ เดี๋ยวเขารู้ว่าขึ้นเครื่องครั้งแรก
อายเขาครับ).....

วันแรกที่ถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และอบอิ่ม แต่ไม่อุ่นเท้า  ที่ว่าไม่อุ่นเท้าก็เพราะว่า วันนั้น ผมลืม
ใส่ถุงเท้ามา เพราะความเร่งรีบ  เพราะคิดว่า  จะหนาวสักแค่ไหนกันเชียว ที่เมืองไทยตอนผมจากมา ผมแทบ
ถอดเสื้อผ้า ลงไปไปแช่น้ำ  แล้วให้คุณบุญเลื่อง  ใช้น้ำแข็งถูหลังให้ (เก่าเชียว)  แต่วันแรกที่มาถึง โตเกียว
อุณหภูมิในตอนนั้นมัน   4 องศาครับ ตอนอยู่ในสถานีรถไฟ  ทั้ง JR หรือเที่ยวต่อเราจะไม่ค่อยรู้สึกหนาว  เรา
จะรับรู้ได้เมื่อตอนที่เราออกไป สัมผัสความเย็นจากภายนอก  ระหว่างรับประทานอาหาร ผมจะได้การสอนสั่ง
และธรรมเนียมในการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่น สองประการคือ.....

1. เวลาที่เราจะคีบอาหารให้กับแขกที่เป็นผู้ใหญ่หรือ คนที่เราเพิ่งมาร่วมโต๊ะ    ไม่ใช่ญาติพี่น้องที่สนิทกัน
เวลาคีบอาหารเขาจะกลับตะเกียบ จากใช้ปลายตะเกียบ มาเป็นใช้ท้ายตะเกียบเพื่อคีบอาหารให้กับแขกคนนั้น
เพราะเป็นการแสดงว่า   เขาคีบอาหารจากตะเกียบที่มิได้ ผ่านปากของเขามาเลย  แม้แต่คำเดียวนั้นเอง...

2. เวลาทานอาหารกับคนญี่ปุ่นขนานแท้  หรือเวลาเขาเลี้ยงอาหารพวกเรา  เราต้องทานใหเสียงดัง อย่างเช่น
ถ้าเราทานโซบะเส้น  เราต้องทานโซบะอย่างออกรสชาติ ให้มีเสียง ซวบบบบ ซาบบบบ  ซู๊บบบ... แล้วต้องรับ
ประทานให้หมด  แทนคำขอบคุณที่เขามีน้ำใจ เลี้ยงอาหารอันแสนแพงให้พวกเรารับประทานจนอิ่มหนำ

พวกเราทานจนอิ่มไนำสำราญ ส่วนผมอิ่มหนำแต่หนาวเท้าเหลือเกิน (เคยสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมดาราญี่ปุ่น
โดยเฉพาะสาวๆ กี่เรื่อง กี่เรื่อง  จะใส่ถุงเท้า  เสี่ยได้รู้ก็วันนี้ นี่เอง.) จากนั้นเราก็เดินไป เพื่อเข้าชม พิพิธภัณฑ์
จลิบลิ...ย่านนิทากะ แถวชานเมืองโตเกียว (ก็สตูดิโอที่เป็นค่ายทำเอมิเนชั่นของญี่ปุ่นน่ะครับ)  ที่นี่เราต้องซื้อ
ตั๋วก่อนล่วงหน้า (ไม่รู้กี่วัน แต่ต้องให้คนที่อยู่ญี่ปุ่น ซื้อที่ร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่ใช่ 7-11 เอ๋อ ลอว์สัน ) ผู้ใหญ่
1,000 y วัยรุ่น (คือวัยของผม) 700 y ส่วนเด็ก  100 y   (ตอนที่ผมแลกเงินมาใช้ จะอยู่ในอัตรา 27 บาทต่อ
100 y ตอนนั้นทางมัสจัง เขาซื้อตั๋วไว้แล้ว  แต่บังเอิญว่า ลืมของหลานไปหนึ่งคน คือมัตจัง มีหลานสองคน
มีตั๋วสำหรับ หลานหนึ่งคน  แล้วซื้อตั๋วหน้าสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้..

เด็กชาย ทาคุมิ จึงต้องเสียสละให้น้องวัย 2 ขวบ ชื่อทาเครุ  แต่ก่อนจะเข้าไป ทาคุมิก็ร้องห่มร้องไห้ จนพนัก
งานต้อนรับสาว น่าตาน่ารัก  มองไปยังสต๊าฟอีกสองคน เพื่อจะหาทางช่วยพวกเรา แต่ชายสองคนได้แต่ถอน
หายใจดังเฮือกกกกก...(เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ...ทาคุมิคุง  คุณไม่ได้...ไปต่อ) แล้วผมก็เห็นอีกส่วนหนึ่งจะว่า
ดี  ก็ต้องว่าดีครับ เพราะกฎ ก็ต้องเป็นกฎ  ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ถ้าหากไม่ทำตามกฎของเรา...คุณก็จะไม่
เดินผ่านดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา

พวกผมได้แต่เดินจากเด็กน้อยทาคุมิ ที่น่าสงสาร ที่ผมเห็นก็คือ ภาพซุปเปอร์สโลว์โมชั่น เด็กชายที่ยื่นมือคว้า
อากาศธาตุ โดยมีมัสจังรวบเอวน้อยๆ..ของทาคุมิ เด็กชายวัย 5 ปี ที่น่าสงสาร  ถ้าคุณนึกไม่ออก โปรดนึกถึง
เรื่องโอชิน  ตอนที่พี่สาวจะจากไปจากบ้าน  แล้วโอชินวิ่งตาม บรรยากาศตอนนั้นเป็นแบบเรื่องนั้นจริงๆ ผมนั้น
ดวงตาโศกเศร้า ราวกับว่า เด็กชายผู้นั้นโดนกลั่นแกล้งจากโชคชะตา  แต่พอผมหันหน้ากับมา รอยยิ้มที่แสดง
ถึงความโล่งอก ก็ปรากฎ อยู่บนใบหน้า  ถ้าเป็นหนัง ก็โปรดคิดถึง ตัวโกงที่แสดงอาการต่อหน้า เป็นโศกเศร้า
ยามที่พระเอก ประสบเคราะห์กรรม แต่พอหันหน้ากลับมา โดยมาก ตัวโกงเหล่านั้น จะ... หัวเราะ...ดัง...หึๆๆๆ.
"สมน้ำมะหน้าแกนัก...เจ้า ขุนเชน...หึๆๆๆ..."
แต่ผิดกันที่ความจริง ผมไม่ได้หัวเราะ  ทั้งที่ใจอยากจะหัวเราะออกมาเป็นคำว่า
"เสียใจด้วยนะ ทาคุมิคุง  อดมาซนตรงนี้เลย...หึๆๆๆ"
เพราะอะไรหรือครับ เพราะทาคุมิคุง ซนเป็นลิงครับ...ซนสุดๆ แล้วคนจิตใจดี รูปหล่อ หุ่นดี สุขภาพจิต..อึม..ดี
ก็ได้เน๊อะ... จะรับมือความซน ระดับ มหากาฬ ได้อย่างไร  แต่ทาเครุ ว่าง่ายครับ ว่าง่ายมาก มากจริงๆ  คือแก
ชอบให้อุ้มครับ  ผมอุ้มน้องทาเครุ ระหว่าง ชมทุกสิ่งอย่างภายในนั้น ทั้งขึ้นบันได วนความสูง...ผมไม่อยากจะ
นึก เพราะผมเป็นคนกลัวความสูงครับ  แต่ทำไม ไม่มีใครกลัวเหมือนผมกลัว

ทุกคนเดินชมอย่างตื่นเต้น ตระการตา รวมทั้งทาเครุด้วย ส่วนผม มีแต่ความตื่นตระหนก  จะขาแข้งสั่นไปหมด
ลองจินตนาการชายรูปร่างผมสูงสง่างาม ราวคุณชายพุดทิพัด ต้องอุ้มเด็ก สองขวบ น้ำหนัก ไม่หนักเท่าไหร่  
แต่ที่ผม ต้องทำก็คือยิ้มอย่างสดใส  จะได้ให้เด็กน้อย เห็นแต่ความกล้าแกร่ง ใจจิตวิญญาณ นักรบไทย ที่ไม่
เคยเกรงต่อสิ่งใด...ยกเว้น ความสูง  หนู  แมลงสาบ งูเห่าได้...หมาพันธ์ดุๆ ทุกตัวที่มันพร้อมจะออกวิ่งไปกับ
เรา ในตอนที่เราปั่นจักรยานอยู่บนถนน  พูดถึงจักรยาน ผมคงต้องลดๆ ลงหน่อยแล้ว หรือสึกกลัวขึ้นมาอย่าง
ฉับพลัน เพราะมีข่าว เพื่อนร่วมอุดมการ ต้องจากไป หลายต่อหลายคน....

แต่แล้ว ผมก็ผ่านมันไปได้ แต่เสียงที่ทำให้ผม ตื่นตระหนก ถึงขีดสุดก็คือ.... "เอาอีก...เอาอีก...เอาอีก"
ตอนนั้นผมอยากถาม ทาคุมิคุงอย่าง อารมณ์เสียว่า.."ทีเมื่อตะกี้ ถามต้องหลายคำ ก็ส่ายหัว ทำไมคำนี้
ถึงได้พูดชัดนัก...หาาาา..." แต่ผมจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไร  นอกจากคำว่า..."เฮ้ย!..ใครก็ได้ ช่วยพา
ทาเครุคุงไปเดิน บันไดวน อีกรอบ...(เพราะเค้า...ไม่ชะบายยยย)..."

จบดีกว่า...ถ้ามีอะไรที่ผมประทับใจ ใน 10 วันที่ไปตระเวน เจเปน  หยิกปึ้ง  ญี่ปุ่น ผมจะมาหล่าวให้ฟังใหม่
ขอให้ทุกท่านนอนหลับฝันดี  มีความสุขนะขอรับ...

เสี่ยภูวีร์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่