จุดเริ่มต้นของความดิ่ง
ก่อนเรียนจบ ผมมีความคิดที่คิดว่ายังไงๆ เราก็หางานทำได้อยู่เเล้ว ไม่ว่าจะตรงกับที่เรียนมั้ยยังไงก็ได้งาน…
ผมรับรู้ได้ถึงเสียงตะโกนที่ได้ยินไม่ชัดของชีวิตที่กำลังบอกผมว่า
ชีวิต: มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก รอเจอความโหดร้ายได้เลย
ความมั่นใจในตอนนั้นมันเกินร้อย เเต่ความเป็นจริงกลับตอกหน้า หลังเรียนจบผมเคว้งอยู่หลายวัน ลืมเล่าว่าช่วงเรียนผมทำคาเฟ่เป็นงานเสริม เเต่สุดท้ายก็เกาะงานนี้ไว้ได้ไม่นาน
… ช่วงเเรกๆยังเชื่อมั่นว่าเราต้องได้เเน่ เเต่ผ่านไปเดือน สองเดือน สามเดือน จนตอนนี้ผมอยู่ปลายเเถวของตลาดเเรงงาน ที่ต่อให้พยายามสมัครงานเท่าไหร่ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม
สุดท้ายช่วงเวลาที่บ่มเพาะความเศร้ามานาน มันก็โผล่ออกมา เหมือนเเมลงที่เริ่มได้กลิ่นน้ำหวานของเกสร
- - - -
ความรู้สึกเเย่ๆเเละความคาดหวังที่สัมผัสได้จากครอบครัว มันกัดกร่อนความมั่นใจที่มีเหมือนกำลังก่นด่าเด็กชายที่อยู่ในใจให้ร้องไห้เเบบไม่มีเหตุผล
ผมร้องไห้เเละเริ่มโทษตัวเอง ความผิดหวังทั้งหมดมันมาเเทนที่ความเชื่อเดิมที่เรามี
- - - -
ในเรื่องเเย่ๆยังมีสิ่งดีๆรออยู่
ผ่านไปไม่นาน หลังจากจมอยู่กับทุกข์ จำเด็กชายที่ผมพึ่งเล่าไปได้มั้ย ผมคุยกับเค้าราวกับไม่เคยได้คุยกันมาก่อน
ใช่เลย เพราะเราทุกคนล้วนอยู่กับสิ่งรอบตัวจนลืมไปว่าตัวคุณเองนั่นเเหละ คือคนที่ให้ทางออกคุณได้ คุณคือคนเดียวที่ควรจะรักเเละให้กำลังใจตัวเองมากที่สุด
ถ้าชีวิตเหมือนการเดินทาง เด็กคนนั้นคงกำลังนั่งรถไฟผ่านอุโมงค์มืดสนิทรอบตัวมีเเต่สีดำ ในนั้นคือช่วงเวลาที่ทำให้รู้จักตัวเอง เเละอีกไม่นานรถไฟต้องออกจากอุโมงค์มาเจอเเสงสว่างได้เเน่
เเสงที่ปลายอุโมงค์
หลังจากตกผลึกตัวเองซ้ำๆถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นเเละเลิกโทษความพยายามของตัวเอง คุณพยายามดีเเล้ว การไม่ถูกเลือกมันไม่ได้ทำให้คุณค่าของเราลดลงไป เเต่เราต่างหากที่ลดคุณค่าของความเป็นตัวเอง
เเละมันเเฟร์มากๆที่คุณจะรู้สึกเศร้าหรือขาดความมั่นใจ เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะรู้สึกเเบบนั้นเมื่อพบกับความผิดหวัง สิ่งสำคัญที่สุดคือ จงเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ หาที่ตั้งความหมายของชีวิตเเละยึดมันให้ได้นานที่สุด
ผมเชื่อว่าจะทำได้ You are the niche,and be your self
ความเชื่อของเด็กจบใหม่
ก่อนเรียนจบ ผมมีความคิดที่คิดว่ายังไงๆ เราก็หางานทำได้อยู่เเล้ว ไม่ว่าจะตรงกับที่เรียนมั้ยยังไงก็ได้งาน…
ผมรับรู้ได้ถึงเสียงตะโกนที่ได้ยินไม่ชัดของชีวิตที่กำลังบอกผมว่า
ชีวิต: มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก รอเจอความโหดร้ายได้เลย
ความมั่นใจในตอนนั้นมันเกินร้อย เเต่ความเป็นจริงกลับตอกหน้า หลังเรียนจบผมเคว้งอยู่หลายวัน ลืมเล่าว่าช่วงเรียนผมทำคาเฟ่เป็นงานเสริม เเต่สุดท้ายก็เกาะงานนี้ไว้ได้ไม่นาน
… ช่วงเเรกๆยังเชื่อมั่นว่าเราต้องได้เเน่ เเต่ผ่านไปเดือน สองเดือน สามเดือน จนตอนนี้ผมอยู่ปลายเเถวของตลาดเเรงงาน ที่ต่อให้พยายามสมัครงานเท่าไหร่ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม
สุดท้ายช่วงเวลาที่บ่มเพาะความเศร้ามานาน มันก็โผล่ออกมา เหมือนเเมลงที่เริ่มได้กลิ่นน้ำหวานของเกสร
- - - -
ความรู้สึกเเย่ๆเเละความคาดหวังที่สัมผัสได้จากครอบครัว มันกัดกร่อนความมั่นใจที่มีเหมือนกำลังก่นด่าเด็กชายที่อยู่ในใจให้ร้องไห้เเบบไม่มีเหตุผล
ผมร้องไห้เเละเริ่มโทษตัวเอง ความผิดหวังทั้งหมดมันมาเเทนที่ความเชื่อเดิมที่เรามี
- - - -
ในเรื่องเเย่ๆยังมีสิ่งดีๆรออยู่
ผ่านไปไม่นาน หลังจากจมอยู่กับทุกข์ จำเด็กชายที่ผมพึ่งเล่าไปได้มั้ย ผมคุยกับเค้าราวกับไม่เคยได้คุยกันมาก่อน
ใช่เลย เพราะเราทุกคนล้วนอยู่กับสิ่งรอบตัวจนลืมไปว่าตัวคุณเองนั่นเเหละ คือคนที่ให้ทางออกคุณได้ คุณคือคนเดียวที่ควรจะรักเเละให้กำลังใจตัวเองมากที่สุด
ถ้าชีวิตเหมือนการเดินทาง เด็กคนนั้นคงกำลังนั่งรถไฟผ่านอุโมงค์มืดสนิทรอบตัวมีเเต่สีดำ ในนั้นคือช่วงเวลาที่ทำให้รู้จักตัวเอง เเละอีกไม่นานรถไฟต้องออกจากอุโมงค์มาเจอเเสงสว่างได้เเน่
เเสงที่ปลายอุโมงค์
หลังจากตกผลึกตัวเองซ้ำๆถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นเเละเลิกโทษความพยายามของตัวเอง คุณพยายามดีเเล้ว การไม่ถูกเลือกมันไม่ได้ทำให้คุณค่าของเราลดลงไป เเต่เราต่างหากที่ลดคุณค่าของความเป็นตัวเอง
เเละมันเเฟร์มากๆที่คุณจะรู้สึกเศร้าหรือขาดความมั่นใจ เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะรู้สึกเเบบนั้นเมื่อพบกับความผิดหวัง สิ่งสำคัญที่สุดคือ จงเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ หาที่ตั้งความหมายของชีวิตเเละยึดมันให้ได้นานที่สุด
ผมเชื่อว่าจะทำได้ You are the niche,and be your self