อาจจะยาวหน่อยนะคะ ก่อนอื่นขอบอกข้อมูลคร่าวๆนะคะ เราอายุ 27 ปี สูง160ปลายๆ น้ำหนักอยู่ที่ 47-53 กิโลกรัมค่ะ ช่วงที่รู้สึกว่าสุขภาพปกติ ทานอาหารได้ดีก็จะขึ้นไปที่49-53 แต่ช่วงที่ร่างกายไม่แข็งแรงจะอยู่ที่47-48 (นี่คือปัจจุบัน) เคยมีลดฮวบลงไปอยู่ที่42 ครั้งเดียวในชีวิตคือครั้งที่ออกอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเป็นครั้งแรกค่ะ
รูปร่างเราเป็นคนผอม สูงตั้งแต่เด็กค่ะ มีโรคประจำตัวคือภูมิแพ้ แพ้อากาศ ก็ทานยารักษาตามอาการไม่ได้มีผลกระทบอะไรมาก ด้านการทำงาน ทำงานอยู่ในบริษัทต่างชาติ งานไม่ได้เครียดมาก แต่มีเรื่องสิ่งแวดล้อมรอบตัว(ผู้ร่วมงาน) ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และเครียดบ้างในบางครั้ง แต่ด้วยสวัสดิการและเงื่อนไขอื่นๆ เราก็โอเคสำหรับงานปัจจุบันค่ะ
เรื่องหนี้สินก็มีแค่ผ่อนรถ คำนวณรายรับรายจ่ายแล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพียงแต่นิสัยส่วนตัวเป็นคนคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย ทั้งๆที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องเอามาคิดก็คิดอยู่ได้ เป็นตั้งแต่เด็ก....ที่เล่าข้อมูลส่วนตัว เพราะคิดว่ามันจะโยงไปถึงโรคที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันค่ะ
ช่วงที่เราอายุประมาณ19-20 ปี มีปัญหาครอบครัวนิดหน่อยเลยทำให้เราต้องออกไปอยู่กับญาติ ตอนนั้นยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ปกติที่บ้านจะไปรับไปส่งตลอดแต่ด้วยปัญหาที่เกิดทำให้ไม่สะดวก เราเลยต้องไปอยู่บ้านญาติเพื่อเดินทางสะดวกขึ้น ประกอบกับเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ ก่อนหน้านั้นตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัยที่บ้านเลี้ยงดูมาแบบคุณหนูพอสมควรค่ะ
ถามว่าเครียดมั้ย ก็เครียดนะคะ แต่เราเป็นคนที่ค่อนข้างให้กำลังใจตัวเองก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงจะต้องขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าชีวิตแย่ จนย้ายไปอยู่กับญาติซักระยะ เราค่อนข้างชอบทำกิจกรรม ก็เลยกลับดึกบ้าง ทานข้าวไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา บางทีนอนเช้าตื่นบ่าย แล้วก็มีบ้างที่ไปดื่มกับเพื่อนตามภาษาเด็กมหาวิทยาลัย(แต่ไม่ได้ดื่มหนักหรือติดเที่ยวนะคะ การเรียนจัดว่าอยู่ในระดับดีค่ะ) ด้วยความที่ญาติเองก็ไม่ได้เอาใจใส่มาก ทำให้การทานอาหารของเราแย่ลงมาก
คราวนี้ขอเข้าเรื่องโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารนะคะ
วันนึง ขณะที่กำลังนั่งเรียนก็รู้สึกปวดท้อง เหมือนโดนบีบไส้ หน้ามืด เหงื่อออก เวียนหัว แล้วก็เหมือนจะท้องเสีย เลยขออาจารย์ไปห้องน้ำ รู้ตัวอีกทีคือตื่นมาเบลอๆแล้วมีคนมุง คือไปไม่ถึงห้องน้ำค่ะ เป็นลมไปตั้งแต่เดินออกจากห้องเรียนมาสามก้าว แล้วคณะเลยพาไปส่งโรงพยาบาลค่ะ สรุปว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร ยาที่ได้รับมาคือ Miracid + Motilium ทานเช้าเย็น เวลาเครียดๆก็จะรู้สึกคลื่นไส้มากกว่าปกติ แต่ไม่อาเจียนนะคะ อันนี้อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของเราที่ไม่ชอบให้อาหารมันออกมา เวลาคลื่นไส้ถ้าทนได้ก็จะทน อาการปวดท้องยังไม่เด่น ไม่แสบ มีจุกบ้าง มีกรดไหลย้อนบ้าง แต่น้อยค่ะ ช่วงนั้นเราทานอาหารน้อยลงจนน้ำหนักเหลือ42กิโลกรัม อาการเราเป็นแบบนี้อยู่ประมาณ2 ปีค่ะ ทานยาต่อเนื่องตลอด จนเรียนจบ และมาทำงานซักพัก (ย้ายกลับไปอยู่บ้าน) อาการก็หายไปเอง เราเลยหยุดยา
เราทำงานที่แรกอยู่ประมาณ3ปี เริ่มอวบขึ้น ทานอาหารได้ปกติ หรืออาจจะเยอะกว่าปกติ ข้าวหนึ่งจาน จากที่ทานไม่ถึงครึ่งก็ทานได้หมดจาน ต่อขนมได้ เรายังงดน้ำอัดลมนะคะ มีดื่มสังสรรค์บ้างตามสไตล์บริษัทต่างชาติ ไม่บ่อยค่ะ แต่เราก็เริ่มรู้สึว่า53กิโลกรัมทำให้เรารู้สึกอึดอัด ประกอบกับไม่ได้เอะใจเรื่องโรคกระเพาะอาหารแล้ว ก็เลยไม่ค่อยทานข้าวเย็น มีจะทานเป็นสลัด หรือของเบาๆบ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรค่ะ น้ำหนักก็ไม่ได้ลดลงมากเท่าไหร่ ปีสุดท้ายของการทำงานที่นี่ มีดื่มน้ำอัดลมบ้าง หลังจากนั้นเราก็ย้ายงานค่ะ
การทำงานที่ที่2 ของเรานี่ เราคาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เราออกอาการมาก เราทำงานที่นี่ช่วงเดือนมิถุนายนปี 56 เป็นบริษัทเกี่ยวกับอสังหา เนื้องานค่อนข้างเครียด เพราะเป้าหมายคือการหาลูกค้า ทำยอด ซึ่งการโทรตามตื้อเป็นอะไรที่ขัดกับนิสัยเรามาก เข้าไปแรกๆ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ค่อยมีคนสอนงาน ถูกให้รับผิดชอบดูแลลูกค้า เครียดมากจนถึงขนาดเก็บไปฝัน และรู้สึกว่าตื่นมาแล้วไม่อยากออกไปทำงาน การทานข้าวไม่เป็นเวลาเพราะสลับกันไปพัก ส่วนมากจะบ่าย2-3 โมง
ช่วงนั้นเราก็รู้ตัวว่าเครียดแล้วก็มีอาการคลื่นไส้ค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้หาหมอหรือทานยาอะไร จนเดือนสิงหาคม มีวันนึงที่เราต้องไปต่างประเทศด้วยเรื่องงาน สรุปว่าเช้านั้นเราเป็นลมค่ะ เดินทางไม่ได้ เข้าโรงพยาบาล งานก็เสีย เราก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม หลังจากตรวจแล้วได้ความว่า เครียดลงกระเพาะ นี่คือโรคกระเพาะกลับมาเยือนเราเป็นครั้งที่ 2 ค่ะ คราวนี้ทั้งรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนทุกเช้า ทานข้าวไม่ค่อยได้ อ่อนเพลียแทบจะตลอดเวลา รู้สึกปวดๆหัว (อาจเพราะเครียด) ทานได้น้อยลง ทานอะไรก็ไม่อร่อย เราก็กลับมาทาน Miracid+Motilium เหมือนเดิมค่ะ (หาหมอนะคะ ไม่ได้ทานเอง)
อ้อ ลืมบอกไปว่า เราเป็นคนที่มีอาการท้องผูกตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เวลาใกล้ๆประจำเดือนมาก็จะมีท้องเสีย สลับท้องผูกบ้าง แต่วันปกตินี่ท้องผูกขนาดที่ถ้าไม่ทานยาก็ยากมากที่จะถ่ายเองได้ เราทานยาถ่ายทุกคืนวันศุกร์แทบทุกสัปดาห์ ถ้าไม่ได้ออกไปไหนวันเสาร์
กลับมาที่กระเพาะนะคะ เราทานยามาเรื่อยๆจนถึงใกล้ๆจะปลายปี ก็ยังรู้สึกปวดท้อง คลื่นไส้ ทานอาหารไม่ลง อ่อนเพลียอยู่ ก็เลยไปพบแพทย์อีก คราวนี้แพทย์บอกว่าเราเป็นโรคลำไส้อักเสบ แต่ส่วนตัวเรายังรู้สึกได้ว่ากระเพาะไม่ปกติ ก็เลยทานยากระเพาะควบคู่ลำไส้ไปด้วย ปลายปีนั้นเราตัดสินใจลาออกจากงานค่ะ เพราะรู้ว่าสุขภาพจิตเราไม่ค่อยดี ทำให้ร่างกายเราแย่ไปด้วย
มกราคมปีต่อมา เราได้งานใหม่ค่ะ เป็นงานที่ใกล้บ้านขึ้น แต่ค่อนข้างกดดันนิดๆเพราะเป็นบริษัทก่อตั้งใหม่ มีแค่เรากับนายต่างชาติอยู่กัน 2-3 คน ก็เครียดบ้าง พอไปทำงานได้ไม่ถึงเดือน เราเป็นลมอีกครั้ง ล้มในห้องน้ำที่บ้านหามเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วค่ะ เป็นโรงพยาบาลประกันสังคมใกล้บ้าน เค้าก็วินิจฉัยว่าเราเป็นโรคกระเพาะอีก และให้ยาที่เหมือน Miracid+Motilium มา แต่เป็นแบบราคาต่ำกว่า ซึ่งเรารู้สึกว่าอาการระดับเรามันเอาไม่อยู่แล้ว เราเลยไปกลับหาหมอที่ร.พ.ประจำ(เป็นโรงพยาบาลเอกชนแถวอนุเสาวรีย์ค่ะ ที่เดียวกับที่หามาตั้งแต่มหาวิทยาลัย) แล้วก็ทานยาต่อไป
ตลอดเวลามานี้เราไม่หยุดยาเลยนะคะ ทานอาหารตรงเวลา ระวังเรื่องของเผ็ดและน้ำอัดลมตลอด เราเริ่มรู้สึกว่าทานยาโรคกระเพาะ2ตัว ก็ยังคลื่นไส้ทุกเช้า ทานได้น้อยลง แต่น้ำหนักไม่ได้ลดมาก อยู่ที่ 48-50 พอลองหยุดทาน ไม่เกิน 5 วันก็จะแสบร้อนท้อง และกรดหลั่งมาถึงคอ จนต้องกลับมาทานใหม่ มีอาการปวดท้อง ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นลำไส้อักเสบ+กระเพาะอาหาร คุณหมอแนะนำให้เปลี่ยนจาก Miracid มาเป็น Nexium 1 เม็ดค่ะ เราเลิกทาน Motilium ไปเพราะรู้สึกว่าไม่ได้ช่วยให้หายคลื่นไส้เท่าไหร่ คุณหมอบอกว่ายากระเพาะให้ทานตามอาการ หายให้หยุด (ซึ่งเราหยุดไปทีไร ไม่เกิน 5 วันมันจะเริ่มกลับมาทุกที โดนเริ่มจากแสบท้อง>กรดไหลย้อน) ส่วนยาลำไส้คุณหมอจะให้มาสำหรับ 2 สัปดาห์ หมดก็คือหมด เป็นก็ไปหาใหม่
สุดท้ายเราเครียดและกลัวเป็นมะเร็งมาก เดือนมิถุนายนในปีนั้นเลยไปส่องกล้องค่ะ แต่ส่องแค่กระเพาะอาหารนะคะ เพราะไม่ได้สงสัยเรื่องลำไส้เลย ผลการส่องกล้องคือ กระเพาะแดง ไม่มีแผล ยาที่ได้มาเป็น Nexium และสั่งให้ทานตามอาการเหมือนเดิม พอเรารู้สึกดีขึ้น หยุดยา ไม่เกิน 5 วันก็จะมีอาการอีก เลยต้องทานต่อเรื่อยๆค่ะ แต่เราก็ไม่ลดความพยายามที่จะลองหยุดยานะคะ แต่หยุดทีไรก็นั่นแหละค่ะ 5 วันมันจะกลับมา say hello เราทันที ตรงนี้เราจะทาน Nexium ก็ต่อเมื่ออาหารหนัก เพราะราคาค่อนข้างสูง พออาการเริ่มดีจะกลับมาทานแค่ Miracid เช้า 1 เม็ดก็เอาอาการอยู่ในระดับนึงค่ะ
ช่วงเดือนมีนาคมปีเดียวกัน เราเริ่มมีอาการนอนหลับไม่สนิท ฝันบ่อย หลับๆตื่นๆ และตื่นเช้ากว่าปกติค่ะ บางทีตี 4 จนค่อนข้างกระทบกับการทำงานเพราะรู้สึกปวดหัว เพลีย เหมือนไม่ได้นอน เราลองหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตกลัวว่าจะเป็นอาการของโรคซึมเศร้า เราเลยตัดสินใจไปพบแพทย์เฉพาะทางในเดือนถัดมา
คุณหมอบอกว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแต่อาจจะเพราะว่าเป็นคนที่คิดมาก หรือเครียดสะสม เลยทำให้เกิดอาการ ยาที่ได้มาคือ Rivotril 2mg หักครึ่งทานวันละ 1mg ก่อนนอน ซึ่งเราทานแล้วก็ไม่หลับสนิท แต่ฝันน้อยลง มีอาการมึนๆ ไม่สดชื่น เหมือนจะเป็นลมตลอดเวลา จนถึงตอนนี้เราก็ยังทานยาตัวนี้อยู่ร่วมกับ Cyproheptadine 1 เม็ดก่อนนอน(เพิ่งมาทานเพิ่ม 2-3เดือนนี้ เพราะเราบอกหมอว่าอยากทานอาหารให้มากขึ้นซึ่งทานแล้วก็ไม่มีผลเรื่องอยากอาหารเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณหมอยังไม่ให้หยุด)
ปัจจุบันยาช่วยหลับที่เราทานคือ Rivotril 0.5+ Cyproheptadine ค่ะ ถ้าเครียดมากก็จะตื่นบ่อย แต่ถ้าปกติก็จะตื่นน้อย ถ้าไม่ทานเลยคือตื่นจนเรียกว่าแทบไม่ได้นอน แต่ก็ไม่เคยมีคืนไหนที่หลับสนิทแล้วก็ไม่ฝันนะคะ เราพยายามปรับยากับหมอ ปรับมาหลายตัว เพราะเราเองค่อนข้างไวต่อยากลุ่มนี้ ทั้งคลืนไส้ ปากแห้ง ง่วงแต่นอนไม่หลับก็มี จนมาลงตัวที่ปัจจุบันคือเหมาะกับร่างกายเราที่สุดค่ะ แม้จะยังไม่หลับสนิทก็ตาม แต่ก็ยังหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้ คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกายเพิ่มเติม ซึ่งก็พยายามอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องเครียด บอกตรงๆเลยนะคะ บางทีตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเครียดอะไร แต่มันส่งผลไวต่อทั้งการนอน และระบบทางเดินอาหารมาก
กลับมาที่ระบบทางเดินอาหารนะคะ ในช่วงหลังจากเป็นลมเราก็ปวดท้องบ่อยอีกค่ะ ไปหาคุณหมอประจำ คุณหมอสงสัยว่าคงไม่ใช่ลำไส้อักเสบ แต่เป็น IBS เลยให้ยา colofac+deanxit มา ซึ่งทานแล้วก็จะดีขึ้นค่ะ แต่ก็มีอาการอยู่เรื่อยๆ อาการของเราคือจะเหมือนอาการก่อนเป็นประจำเดือนคือปวดท้อง ท้องเสีย สลับท้องผูก ทานอาหารไม่ค่อยลง อ่อนเพลีย ยิ่งช่วงใกล้ประจำเดือน อาการจะแย่มากๆกว่าเดิมหลายเท่า หมอบอกว่า IBS หรือโรคลำไส้แปรปรวนเป็นโรคที่ไม่หายแต่เราต้องปรับตัว เราได้ยาถ่ายมาด้วย เป็นตัว M.O.M แต่หลังๆนี้พยายามไม่ทานแล้วถ่ายเองให้ได้ อาจจะไม่ทุกวันแต่ก็ดีขึ้นค่ะ กลายเป็นว่าเป็นทั้งกระเพาะอาหาร และลำไส้
ยาที่ทานปัจจุบันคือ Miracid+Colofac (แรกๆได้ Colofacหลังๆเป็นColpermin)+Rivotril 0.5+Cyproheptadine ต่อวัน (เวลากรดไหลย้อนจะทานกาวิสคอนร่วมด้วย) ซึ่งเราเองก็ไม่อยากทานยามาก แม้คุณหมอจะบอกว่า มันไม่มีผลต่อร่างกายมากก็เถอะ เราเลยพยายามทานให้น้อยที่สุด แล้วก็เริ่มหันมาออกกำลังกายค่ะ
เล่ายาวมากๆ อาจจะมีข้ามไปบ้าง แต่การกลับมาเป็นโรคกระเพาะอาหารครั้งที่ 2 + ลำไส้แปรปรวน + นอนหลับไม่สนิทของเราส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำงาน และสภาพจิตใจค่อนข้างมาก มีช่วงทีเรากังวลมากเรื่องลำไส้อักเสบจนไม่อยากออกไปไหน กลัวไปเจอเพื่อนแล้วจะไม่สนุก ปวดท้อง ทานอาหารไม่ได้ จนระแวงว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า ปรึกษาหมอก็ยืนยันว่าเราไม่ได้เป็น หลายๆครั้งเราเครียดเรื่องโรคที่เป็นมากจนกรดหลั่งกว่าเดิม แล้วก็นอนไม่หลับยิ่งกว่าเดิม เป็นคนเซนซิทีฟเรื่องความคิดมากกว่าเดิม มีอะไรก็จะเก็บมาคิด แล้วก็เครียดลงกระเพาะลงลำไส้ไปอีก
ส่วนตัวที่คิดว่าไม่หายซักทีก็เพราะเครียดเรื่องความป่วยของตัวเองนี่แหละ แต่ก็ไม่หมดกำลังใจนะคะ หลายครั้งที่พยายามจะเลิกทานยาลดกรด Miracid แต่ไม่เกิน 5 วันก็จะกลับมามีอาการ ทำให้เป็นใหม่ ส่วน IBS ช่วงที่ไม่มีอาการ เราก็ไม่ทาน ก็โอเคค่ะ พอใกล้ๆประจำเดือนจะมา ช่วงที่มันแปรปรวนมากสุด เราก็จะทานดักไว้ หรือบางทีอยู่ๆมันจะเป็นมันก็เป็นแบบไม่ให้สัญญาณ ปวดขึ้นมาซะงั้น ถามว่ามันดีขึ้นมั้ย อาจจะไม่ แต่ก็ไม่ได้แย่ลง กลายเป็นว่าทุกวันนี้ตัวเองต้องมากังวลหลายโรค แถมทุกยังรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัวบ่อย ไม่ค่อยมีแรง ทานอาหารได้น้อยแทบจะตลอดเวลาเลยค่ะ ไม่มีวันที่ตื่นมาแล้วสดชื่น
ที่เล่ามาทั้งหมดคือแชร์เผื่อมีใครที่มีประสบการณ์คล้ายๆกับเราจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เผื่อเป็นแนวทางในการปรับตัวและใช้ชีวิตได้ เคยได้ยินว่าหลายๆคนเป็นโรคคล้ายๆกันนี้จนต้องออกจากงาน แต่สำหรับเราแล้วเรายังชอบทำงานอยู่นะคะ เลือกที่จะสู้กับโรค เพื่อที่จะให้ใช้ชีวิตเป็นปกติได้แบบไม่ต้องหนีค่ะ
ไม่รู้จะมีใครอ่านจบรึเปล่า ยาวมาก หากใช้ภาษาผิดตรงไหนก็ต้องขอโทษด้วย ขอบคุณมากๆค่ะ
ปรึกษาคนที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้แปรปรวน ที่รักษาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหายค่ะ
รูปร่างเราเป็นคนผอม สูงตั้งแต่เด็กค่ะ มีโรคประจำตัวคือภูมิแพ้ แพ้อากาศ ก็ทานยารักษาตามอาการไม่ได้มีผลกระทบอะไรมาก ด้านการทำงาน ทำงานอยู่ในบริษัทต่างชาติ งานไม่ได้เครียดมาก แต่มีเรื่องสิ่งแวดล้อมรอบตัว(ผู้ร่วมงาน) ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และเครียดบ้างในบางครั้ง แต่ด้วยสวัสดิการและเงื่อนไขอื่นๆ เราก็โอเคสำหรับงานปัจจุบันค่ะ
เรื่องหนี้สินก็มีแค่ผ่อนรถ คำนวณรายรับรายจ่ายแล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพียงแต่นิสัยส่วนตัวเป็นคนคิดมาก คิดเล็กคิดน้อย ทั้งๆที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องเอามาคิดก็คิดอยู่ได้ เป็นตั้งแต่เด็ก....ที่เล่าข้อมูลส่วนตัว เพราะคิดว่ามันจะโยงไปถึงโรคที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันค่ะ
ช่วงที่เราอายุประมาณ19-20 ปี มีปัญหาครอบครัวนิดหน่อยเลยทำให้เราต้องออกไปอยู่กับญาติ ตอนนั้นยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ปกติที่บ้านจะไปรับไปส่งตลอดแต่ด้วยปัญหาที่เกิดทำให้ไม่สะดวก เราเลยต้องไปอยู่บ้านญาติเพื่อเดินทางสะดวกขึ้น ประกอบกับเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ ก่อนหน้านั้นตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัยที่บ้านเลี้ยงดูมาแบบคุณหนูพอสมควรค่ะ
ถามว่าเครียดมั้ย ก็เครียดนะคะ แต่เราเป็นคนที่ค่อนข้างให้กำลังใจตัวเองก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงจะต้องขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าชีวิตแย่ จนย้ายไปอยู่กับญาติซักระยะ เราค่อนข้างชอบทำกิจกรรม ก็เลยกลับดึกบ้าง ทานข้าวไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา บางทีนอนเช้าตื่นบ่าย แล้วก็มีบ้างที่ไปดื่มกับเพื่อนตามภาษาเด็กมหาวิทยาลัย(แต่ไม่ได้ดื่มหนักหรือติดเที่ยวนะคะ การเรียนจัดว่าอยู่ในระดับดีค่ะ) ด้วยความที่ญาติเองก็ไม่ได้เอาใจใส่มาก ทำให้การทานอาหารของเราแย่ลงมาก
คราวนี้ขอเข้าเรื่องโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารนะคะ
วันนึง ขณะที่กำลังนั่งเรียนก็รู้สึกปวดท้อง เหมือนโดนบีบไส้ หน้ามืด เหงื่อออก เวียนหัว แล้วก็เหมือนจะท้องเสีย เลยขออาจารย์ไปห้องน้ำ รู้ตัวอีกทีคือตื่นมาเบลอๆแล้วมีคนมุง คือไปไม่ถึงห้องน้ำค่ะ เป็นลมไปตั้งแต่เดินออกจากห้องเรียนมาสามก้าว แล้วคณะเลยพาไปส่งโรงพยาบาลค่ะ สรุปว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร ยาที่ได้รับมาคือ Miracid + Motilium ทานเช้าเย็น เวลาเครียดๆก็จะรู้สึกคลื่นไส้มากกว่าปกติ แต่ไม่อาเจียนนะคะ อันนี้อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของเราที่ไม่ชอบให้อาหารมันออกมา เวลาคลื่นไส้ถ้าทนได้ก็จะทน อาการปวดท้องยังไม่เด่น ไม่แสบ มีจุกบ้าง มีกรดไหลย้อนบ้าง แต่น้อยค่ะ ช่วงนั้นเราทานอาหารน้อยลงจนน้ำหนักเหลือ42กิโลกรัม อาการเราเป็นแบบนี้อยู่ประมาณ2 ปีค่ะ ทานยาต่อเนื่องตลอด จนเรียนจบ และมาทำงานซักพัก (ย้ายกลับไปอยู่บ้าน) อาการก็หายไปเอง เราเลยหยุดยา
เราทำงานที่แรกอยู่ประมาณ3ปี เริ่มอวบขึ้น ทานอาหารได้ปกติ หรืออาจจะเยอะกว่าปกติ ข้าวหนึ่งจาน จากที่ทานไม่ถึงครึ่งก็ทานได้หมดจาน ต่อขนมได้ เรายังงดน้ำอัดลมนะคะ มีดื่มสังสรรค์บ้างตามสไตล์บริษัทต่างชาติ ไม่บ่อยค่ะ แต่เราก็เริ่มรู้สึว่า53กิโลกรัมทำให้เรารู้สึกอึดอัด ประกอบกับไม่ได้เอะใจเรื่องโรคกระเพาะอาหารแล้ว ก็เลยไม่ค่อยทานข้าวเย็น มีจะทานเป็นสลัด หรือของเบาๆบ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรค่ะ น้ำหนักก็ไม่ได้ลดลงมากเท่าไหร่ ปีสุดท้ายของการทำงานที่นี่ มีดื่มน้ำอัดลมบ้าง หลังจากนั้นเราก็ย้ายงานค่ะ
การทำงานที่ที่2 ของเรานี่ เราคาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เราออกอาการมาก เราทำงานที่นี่ช่วงเดือนมิถุนายนปี 56 เป็นบริษัทเกี่ยวกับอสังหา เนื้องานค่อนข้างเครียด เพราะเป้าหมายคือการหาลูกค้า ทำยอด ซึ่งการโทรตามตื้อเป็นอะไรที่ขัดกับนิสัยเรามาก เข้าไปแรกๆ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ค่อยมีคนสอนงาน ถูกให้รับผิดชอบดูแลลูกค้า เครียดมากจนถึงขนาดเก็บไปฝัน และรู้สึกว่าตื่นมาแล้วไม่อยากออกไปทำงาน การทานข้าวไม่เป็นเวลาเพราะสลับกันไปพัก ส่วนมากจะบ่าย2-3 โมง
ช่วงนั้นเราก็รู้ตัวว่าเครียดแล้วก็มีอาการคลื่นไส้ค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้หาหมอหรือทานยาอะไร จนเดือนสิงหาคม มีวันนึงที่เราต้องไปต่างประเทศด้วยเรื่องงาน สรุปว่าเช้านั้นเราเป็นลมค่ะ เดินทางไม่ได้ เข้าโรงพยาบาล งานก็เสีย เราก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม หลังจากตรวจแล้วได้ความว่า เครียดลงกระเพาะ นี่คือโรคกระเพาะกลับมาเยือนเราเป็นครั้งที่ 2 ค่ะ คราวนี้ทั้งรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนทุกเช้า ทานข้าวไม่ค่อยได้ อ่อนเพลียแทบจะตลอดเวลา รู้สึกปวดๆหัว (อาจเพราะเครียด) ทานได้น้อยลง ทานอะไรก็ไม่อร่อย เราก็กลับมาทาน Miracid+Motilium เหมือนเดิมค่ะ (หาหมอนะคะ ไม่ได้ทานเอง)
อ้อ ลืมบอกไปว่า เราเป็นคนที่มีอาการท้องผูกตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เวลาใกล้ๆประจำเดือนมาก็จะมีท้องเสีย สลับท้องผูกบ้าง แต่วันปกตินี่ท้องผูกขนาดที่ถ้าไม่ทานยาก็ยากมากที่จะถ่ายเองได้ เราทานยาถ่ายทุกคืนวันศุกร์แทบทุกสัปดาห์ ถ้าไม่ได้ออกไปไหนวันเสาร์
กลับมาที่กระเพาะนะคะ เราทานยามาเรื่อยๆจนถึงใกล้ๆจะปลายปี ก็ยังรู้สึกปวดท้อง คลื่นไส้ ทานอาหารไม่ลง อ่อนเพลียอยู่ ก็เลยไปพบแพทย์อีก คราวนี้แพทย์บอกว่าเราเป็นโรคลำไส้อักเสบ แต่ส่วนตัวเรายังรู้สึกได้ว่ากระเพาะไม่ปกติ ก็เลยทานยากระเพาะควบคู่ลำไส้ไปด้วย ปลายปีนั้นเราตัดสินใจลาออกจากงานค่ะ เพราะรู้ว่าสุขภาพจิตเราไม่ค่อยดี ทำให้ร่างกายเราแย่ไปด้วย
มกราคมปีต่อมา เราได้งานใหม่ค่ะ เป็นงานที่ใกล้บ้านขึ้น แต่ค่อนข้างกดดันนิดๆเพราะเป็นบริษัทก่อตั้งใหม่ มีแค่เรากับนายต่างชาติอยู่กัน 2-3 คน ก็เครียดบ้าง พอไปทำงานได้ไม่ถึงเดือน เราเป็นลมอีกครั้ง ล้มในห้องน้ำที่บ้านหามเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วค่ะ เป็นโรงพยาบาลประกันสังคมใกล้บ้าน เค้าก็วินิจฉัยว่าเราเป็นโรคกระเพาะอีก และให้ยาที่เหมือน Miracid+Motilium มา แต่เป็นแบบราคาต่ำกว่า ซึ่งเรารู้สึกว่าอาการระดับเรามันเอาไม่อยู่แล้ว เราเลยไปกลับหาหมอที่ร.พ.ประจำ(เป็นโรงพยาบาลเอกชนแถวอนุเสาวรีย์ค่ะ ที่เดียวกับที่หามาตั้งแต่มหาวิทยาลัย) แล้วก็ทานยาต่อไป
ตลอดเวลามานี้เราไม่หยุดยาเลยนะคะ ทานอาหารตรงเวลา ระวังเรื่องของเผ็ดและน้ำอัดลมตลอด เราเริ่มรู้สึกว่าทานยาโรคกระเพาะ2ตัว ก็ยังคลื่นไส้ทุกเช้า ทานได้น้อยลง แต่น้ำหนักไม่ได้ลดมาก อยู่ที่ 48-50 พอลองหยุดทาน ไม่เกิน 5 วันก็จะแสบร้อนท้อง และกรดหลั่งมาถึงคอ จนต้องกลับมาทานใหม่ มีอาการปวดท้อง ซึ่งคุณหมอบอกว่าเป็นลำไส้อักเสบ+กระเพาะอาหาร คุณหมอแนะนำให้เปลี่ยนจาก Miracid มาเป็น Nexium 1 เม็ดค่ะ เราเลิกทาน Motilium ไปเพราะรู้สึกว่าไม่ได้ช่วยให้หายคลื่นไส้เท่าไหร่ คุณหมอบอกว่ายากระเพาะให้ทานตามอาการ หายให้หยุด (ซึ่งเราหยุดไปทีไร ไม่เกิน 5 วันมันจะเริ่มกลับมาทุกที โดนเริ่มจากแสบท้อง>กรดไหลย้อน) ส่วนยาลำไส้คุณหมอจะให้มาสำหรับ 2 สัปดาห์ หมดก็คือหมด เป็นก็ไปหาใหม่
สุดท้ายเราเครียดและกลัวเป็นมะเร็งมาก เดือนมิถุนายนในปีนั้นเลยไปส่องกล้องค่ะ แต่ส่องแค่กระเพาะอาหารนะคะ เพราะไม่ได้สงสัยเรื่องลำไส้เลย ผลการส่องกล้องคือ กระเพาะแดง ไม่มีแผล ยาที่ได้มาเป็น Nexium และสั่งให้ทานตามอาการเหมือนเดิม พอเรารู้สึกดีขึ้น หยุดยา ไม่เกิน 5 วันก็จะมีอาการอีก เลยต้องทานต่อเรื่อยๆค่ะ แต่เราก็ไม่ลดความพยายามที่จะลองหยุดยานะคะ แต่หยุดทีไรก็นั่นแหละค่ะ 5 วันมันจะกลับมา say hello เราทันที ตรงนี้เราจะทาน Nexium ก็ต่อเมื่ออาหารหนัก เพราะราคาค่อนข้างสูง พออาการเริ่มดีจะกลับมาทานแค่ Miracid เช้า 1 เม็ดก็เอาอาการอยู่ในระดับนึงค่ะ
ช่วงเดือนมีนาคมปีเดียวกัน เราเริ่มมีอาการนอนหลับไม่สนิท ฝันบ่อย หลับๆตื่นๆ และตื่นเช้ากว่าปกติค่ะ บางทีตี 4 จนค่อนข้างกระทบกับการทำงานเพราะรู้สึกปวดหัว เพลีย เหมือนไม่ได้นอน เราลองหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตกลัวว่าจะเป็นอาการของโรคซึมเศร้า เราเลยตัดสินใจไปพบแพทย์เฉพาะทางในเดือนถัดมา
คุณหมอบอกว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแต่อาจจะเพราะว่าเป็นคนที่คิดมาก หรือเครียดสะสม เลยทำให้เกิดอาการ ยาที่ได้มาคือ Rivotril 2mg หักครึ่งทานวันละ 1mg ก่อนนอน ซึ่งเราทานแล้วก็ไม่หลับสนิท แต่ฝันน้อยลง มีอาการมึนๆ ไม่สดชื่น เหมือนจะเป็นลมตลอดเวลา จนถึงตอนนี้เราก็ยังทานยาตัวนี้อยู่ร่วมกับ Cyproheptadine 1 เม็ดก่อนนอน(เพิ่งมาทานเพิ่ม 2-3เดือนนี้ เพราะเราบอกหมอว่าอยากทานอาหารให้มากขึ้นซึ่งทานแล้วก็ไม่มีผลเรื่องอยากอาหารเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณหมอยังไม่ให้หยุด)
ปัจจุบันยาช่วยหลับที่เราทานคือ Rivotril 0.5+ Cyproheptadine ค่ะ ถ้าเครียดมากก็จะตื่นบ่อย แต่ถ้าปกติก็จะตื่นน้อย ถ้าไม่ทานเลยคือตื่นจนเรียกว่าแทบไม่ได้นอน แต่ก็ไม่เคยมีคืนไหนที่หลับสนิทแล้วก็ไม่ฝันนะคะ เราพยายามปรับยากับหมอ ปรับมาหลายตัว เพราะเราเองค่อนข้างไวต่อยากลุ่มนี้ ทั้งคลืนไส้ ปากแห้ง ง่วงแต่นอนไม่หลับก็มี จนมาลงตัวที่ปัจจุบันคือเหมาะกับร่างกายเราที่สุดค่ะ แม้จะยังไม่หลับสนิทก็ตาม แต่ก็ยังหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้ คุณหมอแนะนำให้ออกกำลังกายเพิ่มเติม ซึ่งก็พยายามอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องเครียด บอกตรงๆเลยนะคะ บางทีตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเครียดอะไร แต่มันส่งผลไวต่อทั้งการนอน และระบบทางเดินอาหารมาก
กลับมาที่ระบบทางเดินอาหารนะคะ ในช่วงหลังจากเป็นลมเราก็ปวดท้องบ่อยอีกค่ะ ไปหาคุณหมอประจำ คุณหมอสงสัยว่าคงไม่ใช่ลำไส้อักเสบ แต่เป็น IBS เลยให้ยา colofac+deanxit มา ซึ่งทานแล้วก็จะดีขึ้นค่ะ แต่ก็มีอาการอยู่เรื่อยๆ อาการของเราคือจะเหมือนอาการก่อนเป็นประจำเดือนคือปวดท้อง ท้องเสีย สลับท้องผูก ทานอาหารไม่ค่อยลง อ่อนเพลีย ยิ่งช่วงใกล้ประจำเดือน อาการจะแย่มากๆกว่าเดิมหลายเท่า หมอบอกว่า IBS หรือโรคลำไส้แปรปรวนเป็นโรคที่ไม่หายแต่เราต้องปรับตัว เราได้ยาถ่ายมาด้วย เป็นตัว M.O.M แต่หลังๆนี้พยายามไม่ทานแล้วถ่ายเองให้ได้ อาจจะไม่ทุกวันแต่ก็ดีขึ้นค่ะ กลายเป็นว่าเป็นทั้งกระเพาะอาหาร และลำไส้
ยาที่ทานปัจจุบันคือ Miracid+Colofac (แรกๆได้ Colofacหลังๆเป็นColpermin)+Rivotril 0.5+Cyproheptadine ต่อวัน (เวลากรดไหลย้อนจะทานกาวิสคอนร่วมด้วย) ซึ่งเราเองก็ไม่อยากทานยามาก แม้คุณหมอจะบอกว่า มันไม่มีผลต่อร่างกายมากก็เถอะ เราเลยพยายามทานให้น้อยที่สุด แล้วก็เริ่มหันมาออกกำลังกายค่ะ
เล่ายาวมากๆ อาจจะมีข้ามไปบ้าง แต่การกลับมาเป็นโรคกระเพาะอาหารครั้งที่ 2 + ลำไส้แปรปรวน + นอนหลับไม่สนิทของเราส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำงาน และสภาพจิตใจค่อนข้างมาก มีช่วงทีเรากังวลมากเรื่องลำไส้อักเสบจนไม่อยากออกไปไหน กลัวไปเจอเพื่อนแล้วจะไม่สนุก ปวดท้อง ทานอาหารไม่ได้ จนระแวงว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า ปรึกษาหมอก็ยืนยันว่าเราไม่ได้เป็น หลายๆครั้งเราเครียดเรื่องโรคที่เป็นมากจนกรดหลั่งกว่าเดิม แล้วก็นอนไม่หลับยิ่งกว่าเดิม เป็นคนเซนซิทีฟเรื่องความคิดมากกว่าเดิม มีอะไรก็จะเก็บมาคิด แล้วก็เครียดลงกระเพาะลงลำไส้ไปอีก
ส่วนตัวที่คิดว่าไม่หายซักทีก็เพราะเครียดเรื่องความป่วยของตัวเองนี่แหละ แต่ก็ไม่หมดกำลังใจนะคะ หลายครั้งที่พยายามจะเลิกทานยาลดกรด Miracid แต่ไม่เกิน 5 วันก็จะกลับมามีอาการ ทำให้เป็นใหม่ ส่วน IBS ช่วงที่ไม่มีอาการ เราก็ไม่ทาน ก็โอเคค่ะ พอใกล้ๆประจำเดือนจะมา ช่วงที่มันแปรปรวนมากสุด เราก็จะทานดักไว้ หรือบางทีอยู่ๆมันจะเป็นมันก็เป็นแบบไม่ให้สัญญาณ ปวดขึ้นมาซะงั้น ถามว่ามันดีขึ้นมั้ย อาจจะไม่ แต่ก็ไม่ได้แย่ลง กลายเป็นว่าทุกวันนี้ตัวเองต้องมากังวลหลายโรค แถมทุกยังรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดหัวบ่อย ไม่ค่อยมีแรง ทานอาหารได้น้อยแทบจะตลอดเวลาเลยค่ะ ไม่มีวันที่ตื่นมาแล้วสดชื่น
ที่เล่ามาทั้งหมดคือแชร์เผื่อมีใครที่มีประสบการณ์คล้ายๆกับเราจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เผื่อเป็นแนวทางในการปรับตัวและใช้ชีวิตได้ เคยได้ยินว่าหลายๆคนเป็นโรคคล้ายๆกันนี้จนต้องออกจากงาน แต่สำหรับเราแล้วเรายังชอบทำงานอยู่นะคะ เลือกที่จะสู้กับโรค เพื่อที่จะให้ใช้ชีวิตเป็นปกติได้แบบไม่ต้องหนีค่ะ
ไม่รู้จะมีใครอ่านจบรึเปล่า ยาวมาก หากใช้ภาษาผิดตรงไหนก็ต้องขอโทษด้วย ขอบคุณมากๆค่ะ