08:52 06/05/2015
(RPT)INTERVIEW:CLSA คาดดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,750, มองการลงทุนภาครัฐหนุน
* มอง"Overweight"หุ้นไทย,เลือก KTB,TISCO เป็น Top Picks
* คาด EPS บจ.ไทยปีนี้โตเฉลี่ย 15-17%, GDP โต 3.5%
* ให้น้ำหนักกลุ่มธนาคาร"Overweight", ราคาหุ้นยังไม่สูง
* คาดดอกเบี้ยนโยบายปรับลงอีก 0.25% ใน ส.ค.
(ข่าวนี้ส่งครั้งแรกเมื่อ 30 เม.ย.)
โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร, วิภารัตน์ จันทราประภาเวช
กรุงเทพฯ--6 พ.ค.--รอยเตอร์
บล.ซี แอล เอส เอ(ประเทศไทย) หรือ CLSA ซึ่งเป็นโบรกเกอร์
ต่างชาติ มองตลาดหุ้นไทยในเชิงบวก โดยให้น้ำหนักมากกว่าตลาด หรือ
Overweight ซึ่งคาดดัชนีสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,750 จุด หรือขึ้นได้อีกราว 15%
ปัจจัยผลักดัน มาจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
หากมีความชัดเจน จะทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน
นอกจากนี้ ได้คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)
มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมภายในเดือน ส.ค.นี้
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
"เรามองว่า ดัชนีสิ้นปีนี้น่าจะไปแตะที่ 1,750 จุด ซึ่งในระดับดังกล่าว
จะมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 2.3 เท่า ซึ่งก็ค่อนข้างสูง แต่เราเชื่อว่าการใช้จ่าย
ของภาครัฐ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นตลาด" นายปริญทร์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ
CLSA ในไทย กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ดัชนีหุ้นไทยปิดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว บวก 0.28% มาที่ 1,526.74
นับตั้งแต่ต้นปีได้ปรับขึ้นเพียง 1.94% ในปีนี้
เขา กล่าวว่า การใช้จ่ายภาครัฐ จะส่งผลทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ต่างๆ รวมถึงมีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว เป็นอีกปัจจัย
หนึ่งที่ช่วยหนุนตลาด
เมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบแผน
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยปี 58-65 รวมทั้งสิ้น 1.91
ล้านล้านบาท
นายปริญทร์ คาดว่า กำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)
ในตลาดหุ้นไทยปีนี้ เติบโตโดยเฉลี่ย 15-17% จากปีก่อน และมองว่าอัตราการ
เติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 3.5%
เขา ยังคาดการณ์ว่า กนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
ภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการส่งออก และ เศรษฐกิจโดยรวม
"ด้วยแนวโน้มการส่งออกที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง...การกระตุ้น
การลงทุนภาครัฐ จะยังไม่น่าส่งผลได้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งถึงปีหน้า เราจึงคาดว่า
น่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งครั้งในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทำให้ระดับ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1.25%" นายปริญทร์ กล่าว
การประชุมล่าสุดของกนง.เมื่อวันพุธที่แล้ว ได้มีมติด้วยเสียง 5 ต่อ 2
ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 1.50% ซึ่งเป็นการปรับลด
เหนือความคาดหมายเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน หลังเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงกว่าที่คาดไว้
ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้ช่วยชดเชยการส่งออกและการบริโภคที่ลดลง
นายปริญทร์ ยังคาดว่า จะได้เห็นการอ่อนค่าของเงินบาทไปอยู่ที่ระดับ
33.75 บาทต่อดอลลาร์ในสิ้นปีนี้
บาท/ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ อ่อนค่าสุดที่ 32.96 ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุด
ในรอบเกือบ 4 เดือน นับตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.58
นายปริญทร์ กล่าวว่า บริษัทได้ให้น้ำหนัก overweight หุ้นกลุ่ม
ธนาคารพาณิชย์ของไทย เนื่องจากราคาหุ้นที่ไม่สูง
รวมถึงหุ้นธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ที่ให้ผลตอบแทนด้านเงินปันผลใน
ระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ในส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) ที่เพิ่มขึ้นใน
ไตรมาสแรกนั้น ไม่กังวล เนื่องจากมองว่าธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวัง
ในการปล่อยกู้ค่อนข้างมาก แต่จะกังวลเรื่องการเติบโตของสินเชื่อมากกว่า
เขา กล่าวว่า ได้เลือกหุ้น ธ.กรุงไทยKTB เป็นหุ้น Top
Picks เนื่องจากมองว่าจะได้ประโยชน์จากการปล่อยกู้ให้กับโครงการภาครัฐ
โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่หุ้นธนาคารขนาดเล็ก จะเลือกหุ้นบมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
<TISCO.BK> เพราะมองว่าจะได้รับผลดีจากการลดดอกเบี้ย
ส่วนกลุ่มอื่นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน โดยเลือกหุ้นบมจ.ปตท.
PTT และบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอลPTTGC เพราะได้
รับผลดีจากการปฏิรูปพลังงาน
ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เลือกหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์LH,
บมจ.เอพี(ไทยแลนด์)AP และบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตทPS
ขณะที่กลุ่มสื่อสารนั้น ได้ให้น้ำหนัก underweight แต่ก็เลือกหุ้น
บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่นTRUE เพราะคาดว่าปีนี้ผลประกอบการจะกลับมามี
ทิศทางที่ดี
เขา กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่าง
ต่อเนื่อง ก็ต่อเมื่อการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีการ
ลงทุนอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น และจะส่งผลทำให้นักลงทุน
ต่างชาติหันมาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
"เมื่อไหร่ภาพการลงทุนของภาครัฐ ในโครงสร้างพื้นฐานมีความชัดเจน
ก็เชื่อได้ว่า จะทำให้ต่างชาติมีความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น"นายปริญทร์ กล่าว
**รุกธุรกิจวาณิชธนกิจ
นายปริญทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัททำธุรกิจด้านหลักทรัพย์,วาณิชธนกิจ
และงานด้านวิจัย โดยในส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักนั้น ขณะนี้มี
ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 3% โดยลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบัน
จากต่างประเทศ ขณะที่สถาบันในประเทศจะมีบ้าง
ขณะที่ธุรกิจด้านวาณิชธนกิจในปีนี้ จะรุกมากขึ้น ซึ่งจะดำเนินในการ
เป็นที่ปรึกษาการเงิน
รวมถึงการเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเสนอขายหุ้น
ครั้งแรกให้ประชาชนทั่วไป(IPO) ซึ่งในปีนี้จะรุกมากขึ้น และอาจจะร่วมขายหุ้น
IPO ของบริษัทโอสถสภาด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างการนำบริษัท
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีบล.บัวหลวง และ บล.ภัทร เป็น
ที่ปรึกษาทางการเงิน--จบ--
(โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร รายงานและเรียบเรียง--บร--)
((wirat.buranakanokthanasan@thomsonreuters.com;
CLSA มองตลาดหุ้นไทยหลังจากนีเป็นอย่างไร UPDATE มาให้ล่าสุดจ้า จากโดเรม่อน
(RPT)INTERVIEW:CLSA คาดดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,750, มองการลงทุนภาครัฐหนุน
* มอง"Overweight"หุ้นไทย,เลือก KTB,TISCO เป็น Top Picks
* คาด EPS บจ.ไทยปีนี้โตเฉลี่ย 15-17%, GDP โต 3.5%
* ให้น้ำหนักกลุ่มธนาคาร"Overweight", ราคาหุ้นยังไม่สูง
* คาดดอกเบี้ยนโยบายปรับลงอีก 0.25% ใน ส.ค.
(ข่าวนี้ส่งครั้งแรกเมื่อ 30 เม.ย.)
โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร, วิภารัตน์ จันทราประภาเวช
กรุงเทพฯ--6 พ.ค.--รอยเตอร์
บล.ซี แอล เอส เอ(ประเทศไทย) หรือ CLSA ซึ่งเป็นโบรกเกอร์
ต่างชาติ มองตลาดหุ้นไทยในเชิงบวก โดยให้น้ำหนักมากกว่าตลาด หรือ
Overweight ซึ่งคาดดัชนีสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,750 จุด หรือขึ้นได้อีกราว 15%
ปัจจัยผลักดัน มาจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
หากมีความชัดเจน จะทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน
นอกจากนี้ ได้คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)
มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมภายในเดือน ส.ค.นี้
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
"เรามองว่า ดัชนีสิ้นปีนี้น่าจะไปแตะที่ 1,750 จุด ซึ่งในระดับดังกล่าว
จะมีราคาต่อมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 2.3 เท่า ซึ่งก็ค่อนข้างสูง แต่เราเชื่อว่าการใช้จ่าย
ของภาครัฐ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นตลาด" นายปริญทร์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ
CLSA ในไทย กล่าวกับ"รอยเตอร์"
ดัชนีหุ้นไทยปิดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว บวก 0.28% มาที่ 1,526.74
นับตั้งแต่ต้นปีได้ปรับขึ้นเพียง 1.94% ในปีนี้
เขา กล่าวว่า การใช้จ่ายภาครัฐ จะส่งผลทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ต่างๆ รวมถึงมีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว เป็นอีกปัจจัย
หนึ่งที่ช่วยหนุนตลาด
เมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบแผน
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยปี 58-65 รวมทั้งสิ้น 1.91
ล้านล้านบาท
นายปริญทร์ คาดว่า กำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS)ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)
ในตลาดหุ้นไทยปีนี้ เติบโตโดยเฉลี่ย 15-17% จากปีก่อน และมองว่าอัตราการ
เติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 3.5%
เขา ยังคาดการณ์ว่า กนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25%
ภายในเดือน ส.ค.นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการส่งออก และ เศรษฐกิจโดยรวม
"ด้วยแนวโน้มการส่งออกที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง...การกระตุ้น
การลงทุนภาครัฐ จะยังไม่น่าส่งผลได้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งถึงปีหน้า เราจึงคาดว่า
น่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีกหนึ่งครั้งในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทำให้ระดับ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1.25%" นายปริญทร์ กล่าว
การประชุมล่าสุดของกนง.เมื่อวันพุธที่แล้ว ได้มีมติด้วยเสียง 5 ต่อ 2
ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 1.50% ซึ่งเป็นการปรับลด
เหนือความคาดหมายเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน หลังเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงกว่าที่คาดไว้
ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้ช่วยชดเชยการส่งออกและการบริโภคที่ลดลง
นายปริญทร์ ยังคาดว่า จะได้เห็นการอ่อนค่าของเงินบาทไปอยู่ที่ระดับ
33.75 บาทต่อดอลลาร์ในสิ้นปีนี้
บาท/ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ อ่อนค่าสุดที่ 32.96 ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุด
ในรอบเกือบ 4 เดือน นับตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.58
นายปริญทร์ กล่าวว่า บริษัทได้ให้น้ำหนัก overweight หุ้นกลุ่ม
ธนาคารพาณิชย์ของไทย เนื่องจากราคาหุ้นที่ไม่สูง
รวมถึงหุ้นธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ที่ให้ผลตอบแทนด้านเงินปันผลใน
ระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ในส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) ที่เพิ่มขึ้นใน
ไตรมาสแรกนั้น ไม่กังวล เนื่องจากมองว่าธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวัง
ในการปล่อยกู้ค่อนข้างมาก แต่จะกังวลเรื่องการเติบโตของสินเชื่อมากกว่า
เขา กล่าวว่า ได้เลือกหุ้น ธ.กรุงไทยKTB เป็นหุ้น Top
Picks เนื่องจากมองว่าจะได้ประโยชน์จากการปล่อยกู้ให้กับโครงการภาครัฐ
โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่หุ้นธนาคารขนาดเล็ก จะเลือกหุ้นบมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
<TISCO.BK> เพราะมองว่าจะได้รับผลดีจากการลดดอกเบี้ย
ส่วนกลุ่มอื่นที่แนะนำ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน โดยเลือกหุ้นบมจ.ปตท.
PTT และบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอลPTTGC เพราะได้
รับผลดีจากการปฏิรูปพลังงาน
ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เลือกหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์LH,
บมจ.เอพี(ไทยแลนด์)AP และบมจ.พฤกษา เรียลเอสเตทPS
ขณะที่กลุ่มสื่อสารนั้น ได้ให้น้ำหนัก underweight แต่ก็เลือกหุ้น
บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่นTRUE เพราะคาดว่าปีนี้ผลประกอบการจะกลับมามี
ทิศทางที่ดี
เขา กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่าง
ต่อเนื่อง ก็ต่อเมื่อการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีการ
ลงทุนอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น และจะส่งผลทำให้นักลงทุน
ต่างชาติหันมาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
"เมื่อไหร่ภาพการลงทุนของภาครัฐ ในโครงสร้างพื้นฐานมีความชัดเจน
ก็เชื่อได้ว่า จะทำให้ต่างชาติมีความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น"นายปริญทร์ กล่าว
**รุกธุรกิจวาณิชธนกิจ
นายปริญทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัททำธุรกิจด้านหลักทรัพย์,วาณิชธนกิจ
และงานด้านวิจัย โดยในส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นรายได้หลักนั้น ขณะนี้มี
ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 3% โดยลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสถาบัน
จากต่างประเทศ ขณะที่สถาบันในประเทศจะมีบ้าง
ขณะที่ธุรกิจด้านวาณิชธนกิจในปีนี้ จะรุกมากขึ้น ซึ่งจะดำเนินในการ
เป็นที่ปรึกษาการเงิน
รวมถึงการเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นเสนอขายหุ้น
ครั้งแรกให้ประชาชนทั่วไป(IPO) ซึ่งในปีนี้จะรุกมากขึ้น และอาจจะร่วมขายหุ้น
IPO ของบริษัทโอสถสภาด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างการนำบริษัท
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีบล.บัวหลวง และ บล.ภัทร เป็น
ที่ปรึกษาทางการเงิน--จบ--
(โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร รายงานและเรียบเรียง--บร--)
((wirat.buranakanokthanasan@thomsonreuters.com;