จากประเด็น "รถจักรยาน สมควรมาวิ่งบนถนนใหญ่หรือไม่"

จากกรณีจักรยานโดนรถยนต์ชนในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย และมีกรณีที่เป็นผลพวงจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เป็นที่โต้เถียงกันคือ “รถจักรยาน  สมควรมาวิ่งบนถนนใหญ่หรือไม่” กรณีนี้ถ้าว่ากันตามกฎหมายรถจักรยานถือเป็นพาหนะที่มีสิทธิ์ใช้ถนน แต่ควรจะวิ่งในช่องทางด้านซ้าย และชิดขอบทาง แต่เมื่อมองในแง่ของการต่อต้านผมจับกระแสความคิดหลักๆได้ 2 กระแสคือ

    รถจักรยานไม่สมควรมาวิ่งบนถนนเพราะมันอันตรายกระแสนี้มีเหตุผลครับแต่ไม่ตรงประเด็น ที่ว่ามีเหตุผลคือ รถจักรยานไม่มีส่วนใดของรถห่อหุ้มผู้ขับขี่ ซึ่งก็คล้ายกับรถจักรยานยนต์ แต่ต่างกันที่รถจักรยานทำความเร็วได้ต่ำ เมื่อเทียบกับพาหนะอื่นบนถนน นอกจากนั้นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย เช่นกระจกมองหลังก็ไม่มีหรือมีก็น้อยคันมาก แต่ในแง่ที่ว่าไม่ตรงประเด็นคือ จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจักรยานล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ เหตุเกิดจากผู้ขับขี่พาหนะอื่นอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมทั้งทางร่างกาย เช่น มึนเมาสุรา ง่วงนอน ทั้งทางจิตใจ เช่นความคึกคะนอง ความประมาท และความมักง่าย ดังนั้น ถ้ามองในมุมรถที่เป็นอันตรายจักรยานคือพาหนะที่มีโอกาสจะเป็นอันตรายต่อตัวผู้ขับขี่เองมากกว่า แต่ถ้าจะห้ามไม่ให้ใช้ถนนควรจะห้ามรถที่มีเครื่องยนต์ที่ขับขี่โดยคนที่สภาพไม่พร้อมมากกว่า และต่อยอดในเรื่องนี้ก็สามารถตอบคำถามที่ว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานจำเป็นต้องมีใบขับขี่หรือไม่ วัตถุประสงค์ของใบอนุญาติขับขี่มีเพื่อคัดกรองให้เฉพาะผู้ที่มีความสามารถ มีความรู้ในเรื่องกฏจราจรเท่านั้นที่จะสามารถขับขี่”ยานพาหนะที่มีเครื่องยนต์” บนถนนสาธารณะเหตุก็เพราะยานพาหนะที่มีเครื่องยนต์มีโอกาสสูงที่จะทำอันตรายแก่ผู้อื่น ซึ่งต่างกับจักรยาน รถเข็นหรือพาหนะที่ไม่มีเครื่องยนต์ที่มีความเร็วต่ำ โอกาสที่จะทำอันตรายร้ายแรงแก่ผู้อื่นก็น้อยลง

    อีกกระแสหนึ่งที่ต่อต้านการนำจักรยานมาขี่บนถนนคือ “ภาษีก็ไม่เสีย ยังมาวิ่งบนถนนให้แกะกะ” กระแสนี้ไร้สาระครับ มักเกิดจากคนที่มีโลกทัศน์แคบ และผมเดาว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่ทำให้คนไทยโดนแซวว่าค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน 7บรรทัดต่อปี มาว่ากันที่ภาษีรถของกรมการขนส่งทางบกในปี 2557 แจ้งว่ามีรายได้จากการจัดเก็บภาษีรถทุกประเภท เงินเพิ่มและค่าธรรมเนียม อยู่ที่ 28,719,249,567.97 บาท(สองหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยสิบเก้าล้านสองแสนสี่หมื่นเก้าพันห้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทเก้าสิบเจ็ดสตางค์) 1  มาดูค่าก่อสร้างถนนกันครับสำนักงบประมาณ ได้กำหนดราคาพื้นทางและผิวทาง2 ไว้ดังนี้ ถนนลาดยางสองชั้น ชั้น 6/9 ราคา 1,389,000 บาทต่อ กม., ถนนแอสฟัลติกคอนกรีต ชั้น 6/9 ราคา 1,968,000 บาทต่อ กม., ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้น 6/9 ราคา 2,667,000 บาทต่อ กม.,  ถนนคอนกรีตเสริมไม้ไผ่ ราคา 1,379,000 บาทต่อ กม.  โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาถนนขนาดผิวทางกว้าง 6ม. ไหล่ทางกว้างข้างละ 1.5ม.3  หรือมีแค่สองช่องจราจรนั่นเอง ถ้าจะเอาแบบ 4 ช่องหรือแปดช่องจราจรแบบถนนเชียงใหม่-หางดงก็คูณเข้าไป และราคานี้ยังไม่รวมพวกไฟจราจรด้วยนะครับ ตัวเลขถัดมาเรามาดูจำนวนความยาวถนนในประเทศไทย ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม4  ระยะทางในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงในปี 2556 อยู่ที่ 67,267กม. ระยะทางในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบทในปี 2558 อยู่ที่ 43,150กม. รวมของทั้งสองหน่วยงานอยู่ที่ 110,417กม. ทั้งนี้นับเฉพาะถนนคอนกรีต-ราดยาง ไม่นับถนนลูกรัง ทางก่อสร้าง ทางรักษาสภาพ และทางที่อยู่ในความดูและของหน่วยงานอื่น เช่นหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เอาหละตัวแปรครบแล้ว เรามาคำนวณแบบง่ายๆกัน รวมระยะทางของประเทศไทยทั้งสิ้น 110,417กม. เฉลี่ยค่าก่อสร้าง กม.ละ 1,859,750บาท รวมราคาค่าก่อสร้างถนน 204,354,262,750 บาท (สองแสนสี่พันสามร้อยห้าสิบสี่ล้านสองแสนหกหมื่นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาท) ในขณะที่รายได้ที่จัดเก็บได้จากรถอยู่ที่ 28,719,249,567.97 บาท เท่ากับว่าต้องใช้เงินภาษีเฉพาะส่วนนี้ 7.11 ปีถึงจะสร้างถนนได้ตามระยะทางทั้งหมด โดยมีข้อแม้อยู่ว่า ที่ดินต้องไม่มีค่าเวนคืน(ปกติค่าเวนคืนจะสูงกว่าค่าก่อสร้าง) ถนนที่สร้างเป็นถนน 2ช่องจราจร ไม่มีสัญญาณไฟจราจร ไฟส่องสว่าง ไม่มีสะพาน ทางข้าม และไม่มีการซ่อมบำรุง รถที่เสียภาษีจะต้องมาชำระทุกปีเพื่อให้มีรายได้ไม่น้อยกว่าที่นำมาคำนวณ แต่จากรายงานกรมขนส่งทางบกปี 2557 มีรถค้างชำระภาษี 29.79%5

    แล้วถ้าจะทำถนนให้เร็วกว่านี้ ดีกว่านี้จะเอาเงินมาจากไหน คำตอบก็คือ เอามาจากงบประมาณแผ่นดินที่จัดเก็บจากภาษีส่วนอื่นๆ เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ ซึ่งใครก็ตามที่มีรายได้พึงประเมิน มีการประกอบธุรกิจ มีการจับจ่ายซื้อของต้องมีหน้าที่ชำระภาษีตามกฏหมาย รวมถึง ตัวจักรยาน อะไหล่และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงยานวดที่ซื้อมาทาเมื่อปวดเมื่อยจากการปั่นจักรยานด้วย และถ้าเป็นโครงการใหญ่ๆที่เรียกกันว่าเมกะโปรเจ็ค ก็ต้องกู้เงินมาทำหนี้ที่เกิดก็กลายเป็นหนี้สาธารณะที่คนไทยทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบไม่เว้นแม้แต่ลุงมายายมีที่อยู่ในดงในเขาที่ช่วงชีวิตหนึ่งแทบไม่ได้แม้แต่จะมาเดินริมถนนหลวงใหญ่ๆ ยังไม่นับทรัพยากรธรรมชาติที่คนในชาติมีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่จะต้องถูกตัดถูกทำลายเพื่อสร้างถนน ดังนั้นผมถึงได้เห็นว่าความคิดที่ว่า “ภาษีก็ไม่เสีย ยังมาวิ่งบนถนนให้แกะกะ” เป็นความคิดของคนที่มีโลกทัศน์แคบ ไม่ชอบหาความรู้มากรั่นกรองความคิดของตัวเอง และถึงแม้จะไม่เสียภาษีจริง ไม่ว่าจะเป็นจักรยาน คนจรจัดเดินริมถนน หรือแม้แต่สุนัขข้างถนน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปขับรถไล่ชนไล่เหยียบเค้า

    สรุปประเด็น “รถจักรยาน  สมควรมาวิ่งบนถนนใหญ่หรือไม่” ผมเห็นว่าสังคมไม่ควรมีการโต้เถียงกันในเรื่องนี้ แต่ควรจะมีความเห็นพ้องกันว่า “คนที่ไม่มีความพร้อมไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่ควรมาขับขี่รถบนถนน” ถ้ามีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักที่อยู่นอาการมึนเมา พักผ่อนไม่เพียงพอ ควรจะห้ามปรามไม่ให้ออกมาขับขี่รถ ถ้ามีญาติหรือคนรู้จักมีความคึกคะนอง ประมาท  ควรจะห้ามปรามไม่ให้ออกมาขับขี่รถ เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น และถนนสาธารณะทุกคนมีสิทธิ์ใช้ตราบที่คุณปฏิบัติตามกฏ และควรมีจิตสำนึกสาธารณะ ความเอื้ออาทรต่อกันเพื่อสังคมที่ดี

อ้างอิง
1.    รายงานกรมการขนส่งทางบกประจำปี 2557 หน้า 83
(http://www.dlt.go.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=4921:-2557&catid=144:yearlyreport&Itemid=93)
2.    บัญชีราคามาตรฐานสิ่งก่อสร้าง (งานผิวทางและพื้นทาง) สำนักงบประมาณ
(http://www.bb.go.th/bb/support/Std/Construc/Construc49/16.htm)
3.    รายละเอียดสิ่งก่อสร้าง (งานผิวทางและพื้นทาง) สำนักงบประมาณ
(http://www.bb.go.th/bb/support/Std/Construc/Construc49/descp_con/descp_c16-1.htm)
4.    ระยะทางในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม
(http://vigportal.mot.go.th/portal/site/PortalMOT/stat/index6URL/)
5.    รายงานสถิติการขนส่ง ปี 2557 กรมการขนส่งทางบก หน้า27
(http://apps.dlt.go.th/statistics_web/brochure/statreport114.pdf)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่