มีเพื่อนหญิงสนิทกันส่งข้อความมาให้อ่านโดยบอกว่าเพื่อนที่เขาไปปฏิบัตินั่งสมาธิส่งมาให้อ่าน แล้วถามผมว่ามีความคิดเห็นอย่างไร
ผมตอบว่า "ภูมิธรรมของผมไปไม่ถึงรู้แบบนั้น"
ผมจึงนำข้อความมาโพสในกระทู้ ดังนี้ครับ เพื่อขอความเห็นจากสมาชิกในห้องศาสนาครับ
(* หมายเหตุ ผมขอความกรุณาแสดงความคิดเห็นเชิงหลักธรรมของศาสนาพุทธนะครับ เชิงปรัชญา เชิงปฏิเสธเรื่องชาติหน้าไม่มี เชิงปฏิเสธเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่มี เชิงปฏิเสธเทวดาสวรรค์นรกไม่มี เชิงวิทยาศาสตร์ เชิงศาสนาอื่นๆ ของดไว้ก่อนครับ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------
..ในวาระแห่งความตายของมนุษย์.. กายกับใจจะแยกขาดจากกัน..ใจหรือจิตผู้รู้จะดิ่งลงภวังคจิต..ภวังค์ก็คือภพ..ช่วงที่ใจตกลงภวังค์มี 2 เส้นทางไปคือ
1.เส้นทางที่ใจถูกครอบงำด้วยภวังคจิต...จะเกิดนิมิต 3 อย่าง คือ คตินิมิตหรือภพภูมิเบื้องหน้า,กรรมอารมณ์ คือภาพกรรมที่เคยทำทั้งในชาติก่อนและชาตินี้กรอกลับให้เห็นเป็นภาพเหมือนวิดีโอกรอกลับ,กรรมนิมิตอารมณ์ คือภาพกรรมหนักในชาติปัจจุบันปรากฏ...แต่ละคนจะเจอนิมิตแบบไหนบอกไม่ได้ แต่เจอแน่ 1 ใน 3 แบบนี้..จิตดวงสุดท้ายตายจริงกับภาพไหนไปตามนั้น ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นภาพกรรมลบเกือบ 100%...นั่นคือลงอบายแทบทั้งนั้นหากไม่ฝึกจิตหรือฝึกไม่ถึงขั้น
2.เส้นทางที่เหนือการทำงานของภวังคจิตหรือไม่ถูกครอบงำด้วยภวังคจิต..เป็นเส้นทางของผู้ฝึกจิตมาดี..สติจะช้อนใจเข้าสมาธิ..บางท่านกระดิกจิตเข้าฌานตายในฌานไปเป็นพรหม..บางท่านเข้าสมาธิที่พร้อมด้วยความบริสุทธิ์ + สงบตั้งมั่น + รู้ตัวทั่วพร้อม...ตายแล้วไปสวรรค์ชั้นต่างๆ(โดยทั่วไปพวกนี้ครูบาอาจารย์บอกว่าไปสวรรค์ชั้นดุสิตเสียมากกว่า)..บางท่านที่ชำนาญในการพิจารณาธรรมจะพลิกจากสมาธิพัฒนาสู่ใจที่เป็นมรรคถึงพร้อมด้วยพลังแห่งอินทรีย์เห็นกายใจไม่ใช่เราหรือเจริญโพชฌงค์จนตัวตายกลุ่มนี้อาจบรรลุธรรมระดับต่างๆก่อนตาย...ในข้อที่ 2 นี้เป็นเรื่องของผู้ที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น
..ประเด็นคำถามที่ว่าคนที่ตายแล้วไม่กลับบ้าน เงียบไปเลยนั้น..ก็เพราะจิตเปลี่ยนภพไปแล้ว..ตายปุ๊บก็เกิดปั๊บในภพภูมิใหม่ทันที
...เช่น ลงนรก เป็นเดรัจฉาน กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นเทวดาเป็น พรหม..อยู่กับภพใหม่ บ้าจใหม่ตามผลของกรรมที่ทำ ไว้ไม่หวนกลับมาบ้านเดิมอีกเป็นเรื่องธรรมดา..ที่ญาติพบว่าเจอผู้ตายที่บ้านส่วนใหญ่เป็นเพราะจิตมันหลอนตนเอง..มโนเอา..ถ้าเป็นของจริงที่พบนั้นมักจะเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีโวซึ่งมาขอส่วนบุญ..บางทีก็มาปรากฏกายให้คนรู้จักที่พอสื่อจิตกันได้ ยกตัวอย่าง เปรตพ่อตู้อ้วนที่วัดถ้ำกองเพลของหลวงปู่ขาว อนาลโย..ปรากฏให้พระอาจารย์ทูล ขิปปัญโญ เห็นบอกว่าตอนตายมีอารมณ์โลภะครอบงำเพราะยังหาเงินสร้างส้วมให้วัดไม่เสร็จสิ้น..เมื่อพระอาจารย์ทูลท่านรับจะต่องานให้..แล้วอุทิศส่วนบุญให้เขาอนุโมทนา..เขาหมดห่วงรับบุญจิตก็พลิกสู่สุคติภูมิไป..ภพภูมิหลังความตายเป็นคลื่นพลังงานต่างมิติ..สัมผัสได้ด้วยการปรับคลื่นจิต..ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนฝึกจิต าดีแล้วสามารถปรับคลื่นพลังงานของจิตจูนหรือสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในคลื่นพลังงานต่างมิติได้.....อนุสติจากสัจธรรมข้อนี้คือเราไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท ควรศึกษาชีวิตหลังความตาย... กลไกทางดำเนินของจิตช่วงเปลี่ยนภพชาติให้เข้าใจ เพื่อที่จะได้เตรียมฝึกสติฝึกสมาธิเตรียมจิตใจไว้รับสถานการณ์เมื่ อวาระแห่งความตายมาถึง...ให้คุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ศาสนาเดียวที่ช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด..เจริญในธรรมครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอความคิดเห็น ข้อความจากไลน์เรื่อง "วาระแห่งความตายของมนุษย์"
ผมตอบว่า "ภูมิธรรมของผมไปไม่ถึงรู้แบบนั้น"
ผมจึงนำข้อความมาโพสในกระทู้ ดังนี้ครับ เพื่อขอความเห็นจากสมาชิกในห้องศาสนาครับ
(* หมายเหตุ ผมขอความกรุณาแสดงความคิดเห็นเชิงหลักธรรมของศาสนาพุทธนะครับ เชิงปรัชญา เชิงปฏิเสธเรื่องชาติหน้าไม่มี เชิงปฏิเสธเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่มี เชิงปฏิเสธเทวดาสวรรค์นรกไม่มี เชิงวิทยาศาสตร์ เชิงศาสนาอื่นๆ ของดไว้ก่อนครับ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------
..ในวาระแห่งความตายของมนุษย์.. กายกับใจจะแยกขาดจากกัน..ใจหรือจิตผู้รู้จะดิ่งลงภวังคจิต..ภวังค์ก็คือภพ..ช่วงที่ใจตกลงภวังค์มี 2 เส้นทางไปคือ
1.เส้นทางที่ใจถูกครอบงำด้วยภวังคจิต...จะเกิดนิมิต 3 อย่าง คือ คตินิมิตหรือภพภูมิเบื้องหน้า,กรรมอารมณ์ คือภาพกรรมที่เคยทำทั้งในชาติก่อนและชาตินี้กรอกลับให้เห็นเป็นภาพเหมือนวิดีโอกรอกลับ,กรรมนิมิตอารมณ์ คือภาพกรรมหนักในชาติปัจจุบันปรากฏ...แต่ละคนจะเจอนิมิตแบบไหนบอกไม่ได้ แต่เจอแน่ 1 ใน 3 แบบนี้..จิตดวงสุดท้ายตายจริงกับภาพไหนไปตามนั้น ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นภาพกรรมลบเกือบ 100%...นั่นคือลงอบายแทบทั้งนั้นหากไม่ฝึกจิตหรือฝึกไม่ถึงขั้น
2.เส้นทางที่เหนือการทำงานของภวังคจิตหรือไม่ถูกครอบงำด้วยภวังคจิต..เป็นเส้นทางของผู้ฝึกจิตมาดี..สติจะช้อนใจเข้าสมาธิ..บางท่านกระดิกจิตเข้าฌานตายในฌานไปเป็นพรหม..บางท่านเข้าสมาธิที่พร้อมด้วยความบริสุทธิ์ + สงบตั้งมั่น + รู้ตัวทั่วพร้อม...ตายแล้วไปสวรรค์ชั้นต่างๆ(โดยทั่วไปพวกนี้ครูบาอาจารย์บอกว่าไปสวรรค์ชั้นดุสิตเสียมากกว่า)..บางท่านที่ชำนาญในการพิจารณาธรรมจะพลิกจากสมาธิพัฒนาสู่ใจที่เป็นมรรคถึงพร้อมด้วยพลังแห่งอินทรีย์เห็นกายใจไม่ใช่เราหรือเจริญโพชฌงค์จนตัวตายกลุ่มนี้อาจบรรลุธรรมระดับต่างๆก่อนตาย...ในข้อที่ 2 นี้เป็นเรื่องของผู้ที่ปฏิบัติธรรมเท่านั้น
..ประเด็นคำถามที่ว่าคนที่ตายแล้วไม่กลับบ้าน เงียบไปเลยนั้น..ก็เพราะจิตเปลี่ยนภพไปแล้ว..ตายปุ๊บก็เกิดปั๊บในภพภูมิใหม่ทันที
...เช่น ลงนรก เป็นเดรัจฉาน กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นเทวดาเป็น พรหม..อยู่กับภพใหม่ บ้าจใหม่ตามผลของกรรมที่ทำ ไว้ไม่หวนกลับมาบ้านเดิมอีกเป็นเรื่องธรรมดา..ที่ญาติพบว่าเจอผู้ตายที่บ้านส่วนใหญ่เป็นเพราะจิตมันหลอนตนเอง..มโนเอา..ถ้าเป็นของจริงที่พบนั้นมักจะเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีโวซึ่งมาขอส่วนบุญ..บางทีก็มาปรากฏกายให้คนรู้จักที่พอสื่อจิตกันได้ ยกตัวอย่าง เปรตพ่อตู้อ้วนที่วัดถ้ำกองเพลของหลวงปู่ขาว อนาลโย..ปรากฏให้พระอาจารย์ทูล ขิปปัญโญ เห็นบอกว่าตอนตายมีอารมณ์โลภะครอบงำเพราะยังหาเงินสร้างส้วมให้วัดไม่เสร็จสิ้น..เมื่อพระอาจารย์ทูลท่านรับจะต่องานให้..แล้วอุทิศส่วนบุญให้เขาอนุโมทนา..เขาหมดห่วงรับบุญจิตก็พลิกสู่สุคติภูมิไป..ภพภูมิหลังความตายเป็นคลื่นพลังงานต่างมิติ..สัมผัสได้ด้วยการปรับคลื่นจิต..ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนฝึกจิต าดีแล้วสามารถปรับคลื่นพลังงานของจิตจูนหรือสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในคลื่นพลังงานต่างมิติได้.....อนุสติจากสัจธรรมข้อนี้คือเราไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท ควรศึกษาชีวิตหลังความตาย... กลไกทางดำเนินของจิตช่วงเปลี่ยนภพชาติให้เข้าใจ เพื่อที่จะได้เตรียมฝึกสติฝึกสมาธิเตรียมจิตใจไว้รับสถานการณ์เมื่ อวาระแห่งความตายมาถึง...ให้คุ้มค่ากับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ศาสนาเดียวที่ช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด..เจริญในธรรมครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------