[[อุทาหรณ์สอนใจคนชอบเที่ยว]] 9 ชั่วโมงที่เกือนเอาชีวิตไปทิ้งไว้ก้นทะเล!!!

ไปเจอเรื่องราวน่าสนใจที่เพื่อนๆแชร์ต่อกันใน FB มาครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ และเตือนใจใครหลายๆคนได้ครับ เรื่องราวต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริงนะครับ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเองครับ ยาวหน่อยนะครับ แต่อยากให้อ่านกัน

ตอนที่ 1
"เรือเล็กที่ไม่พร้อม ที่บรรทุกคนเกินขีดจำกัด ที่ไม่มีเสื้อชูชีพ
ที่เครื่องยนตร์เก่าและไร้การบำรุง ที่ไม่มีอุปกรณ์ช่างใด
ที่ไต๋ไม่มีประสบการณ์ในทะเลน้ำลึก ที่ไม่มีอุปกรณ์วิทยุสื่อสาร
ที่อยู่ในน่านน้ำหางพายุ ที่ไม่เคยออกไปไกลจากชายฝั่งเป็นสิบกิโล
ไม่ควรออกจากฝั่ง!!!"

15 เมษายน 2558 วันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ อาผมโทรไปเช่าเรือตกปลาที่ชะอำ เค้าชวนพ่อผมให้ไปพักผ่อนด้วยกัน ผมติดงานกองเบ้อเริ่มจึงปฏิเสธไป แต่ไม่รู้ทำไม ใจคอมันไม่ค่อยดี ผมตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายรีบขับรถจากกรุงเทพตามไป โดยหยิบเสื้อชูชีพที่ซื้อเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วไปด้วย พอไปถึงก็เห็นทุกคนแฮปปี้มีความสุขกัน เก็บอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือเตรียมออกไปล่าปลาทะเล มีผม ป๊า อาตี๋เล็ก เฌอ(ลูกอาผม) และเพื่อนๆเฌออีก 4 คน รวมชาวคณะทั้งสิ้น 8 คน

ที่ท่าเรือ
ทุกคนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ต่างพากันขนของลงไปบนเรืออย่างเงียบๆ ผมรู้ได้ทันทีว่าในใจทุกคนคงมีคำว่า " ยิ้มแล้วไง!" ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง เพราะเรือที่อยู่ตรงหน้าเราขณะนั้น มีขนาดเล็กเป็นเห็บหมาเมื่อเทียบกับท้องทะเลที่รอเราอยู่ข้างหน้า ผมแอบคิดถอดใจไม่ลงเรือ แต่เมื่อผมเห็นป๊าผมที่เดินขึ้นเรือไปแล้ว ผมหันหลังกลับไม่ได้จริงๆ ได้แต่คิดในใจว่าอย่างน้อยก็น่าจะช่วยอะไรป๊าได้บ้าง

จากประสบการณ์ที่ผมเคยออกเรือตกปลาทะเลมาสิบกว่าครั้ง มันทำให้ผมร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งห่างจากฝั่งมากเท่าไหร่ ผมยิ่งกระวน กระวายมากเท่านั้น เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผิดปกติ
ไม่ว่าจะเป็นขนาดของเรือที่น่าจะจุคนได้แค่ 4-6 คน แต่นี่รวมทั้งลำมีคนมากถึง 10 ชีวิต (ไต๋ก๋งเรือกับเด็กเรืออีกหนึ่งคน)
สอง ผมไม่เห็นมีเรือลำไหนออกทะเลมาพร้อมๆกับเราเลย เหมือนทุกลำต่างพากันจอดหลบอะไรซักอย่าง
สาม ทั้งเรือไม่มีเสื้อชูชีพของเรือซักตัวเลย! มีเพียงเสื้อชูชีพ 4 ตัวที่ผมเอามาจากบ้านเท่านั้น!
และยังมีเรื่องต่างๆที่ไม่ปกติอีกมากมาย เอาเป็นว่าในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการเตรียมคันเบ็ด บ้างก็จิบเหล้าเคล้าลมเล บ้างก็ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดิน หากมีใครสังเกตดีๆก็จะเห็นว่า ผมนิ่งเงียบไม่พูดอะไรซักคำ!

เราใช้เวลาวิ่งเรือประมาณชั่วโมงเศษๆ ในที่สุดก็มาถึงหมายตกปลาที่แรก ผมแอบเช็คประสบการณืไต้ก๋งเรือด้วยการถามเรื่องไซส์ตะกั่ว ซึ่งแกก็ตอบมาได้น่าผิดหวังตามคาด ตะกั่วไซส์ที่แกบอกให้ใช้มีขนาดเบาเกินไปมาก ทำให้มันไหลไปตามกระแสน้ำที่อยู่หน้าดิน ผมรู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ไต้ก๋งเรือตกปลามืออาชีพ ยิ่งพอเห็นวิธีการเกี่ยวเหยื่อกุ้งเป็นของแกแล้ว ยิ่งน่าโมโหกว่าเก่า กุ้งเป็นๆ แต่เกี่ยวให้เป็นกุ้งตาย แถมบีบหัวมันอีกต่างหาก แล้วจะไปหาซื้อกุ้งเป็นมาเพื่อ!

หมายแรกเราได้ปลามา 2-3 ตัว แค่พอได้ถ่ายรูปได้เฮกันนิดหน่อย กลุ่มเด็กหนุ่มวัยรุ่นเพื่อนๆเฌอ เริ่มพากันให้อาหารปลารอบเรือ ด้วยการอ้วกทุกสิ่งในกระเพาะออกไป เพราะคลื่อลมแรงที่โยกเรือเห็บหมาลำนี้ ขนาดผมที่ลงเรือมาเป็นสิบๆครั้ง ยังมีอาการกระอักกระอ่วนเลย สมาชิกในทีมเริ่มพากันสลบไสลล้มนอนทีละคน ทีละคน ผมเองก็หนีไปงีบในเก๋งเหมือนกัน

"ย้ายหมายดีกว่า" ไต้ก๋งเรือบอกจะพาออกไปที่ลึกกว่านี้ จะได้เจอปลาไซส์ใหญ่ๆ ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เดินไปหยิบเสื้อชูชีพออกจากถุง ผมเลือกตัวที่ดีที่สุดส่งให้ป๊าแล้วกระซิบบอกแกเบาๆ "ใส่ชูชีพไว้นะป๊า ต้นว่าไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ" เหมือนป๊าเองก็จะรู้สึกเหมือนกัน แกคว้าไปใส่เงียบๆโดยไม่ตอบอะไร ผมหยิบเสื้อชูชีพอีกตัวขึ้นมาสวม ในใจผมปั่นป่วนไปหมด ความรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังเผชิญทำให้ผมเครียดแทบอ้วก เพราะมันเกิดคำถามขึ้นในหัวผมว่า "ชูชีพอีกสองตัว ผมจะให้ใคร!”


ตอนที่ 2 "ก่อนพายุมา ฟ้าจะสงบ"
เราเข้าหมายที่สองตอนประมาณ 4 ทุ่ม ณ.ตอนนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจจะถือคันเบ็ดอีกแล้ว ผมได้แต่คอยนั่งสังเกตดูยอดคลื่นที่พัดผ่าน จากประสบการณืของผมที่เคยออกทะเลกับไต้มด ไต้ก๋งชื่อดังแห่งท้องทะเลแสมสาร
"ไอ้หนู เอ็งรู้จักคลื่นหัวหงอกรึเปล่า"
"เอ่อ ไม่รู้จักครับ"
"อยู่ในทะเล ต้องรู้จักทะเล คลื่นหัวหงอกคือคลื่นเตือนว่าจะมีคลื่นแรงตามมา เอ็งดูที่ยอดคลื่นพวกนั้นสิ เห็นมั้ยว่ามันเรียบๆไม่มีอะไร แต่ถ้ามันมีฟองขาวฟอดบนยอดล่ะก้อ นั่นแหละคลื่นหัวหงอก ถอนสมอแล้วเตรียมเผ่นได้เลย 555"
ผมยังจำน้ำเสียงห้วนๆของไต๋มดได้ดี

"ได้ละเว้ย ไอ้หลาม ไอ้หลาม!" เสียงอาตี๋เล็กเรียกความคึกครื้นกับคืนมาได้ชั่วขณะ ปลาฉลามทรายความยาวศอกครึ่งถูกพิชิตขึ้นมา "อย่างนี้ต้องรีบน็อคมันก่อน!" เด็กเรือพูดพลางหยิบท่อนไม้ขนาดสองฟุตขึ้นมา "ตุบ!ตุบ!ตุบ!!" ฉลามร้ายดิ้นสะบัดด้วยความเจ็บปวดก่อนจะนิ่งไป มีเพียงคลีบเหงือกที่ยังเผยอให้รู้เป็นสัญญาณชีวิต ผมรู้สึกอึดอัดเหมือนจะอ้วกยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ผมก็เคยเห็นช๊อตฆาตกรรมแบบนี้มาหลายครั้ง แต่กับครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง มันมีความรู้สึกประหลาดๆอย่างบอกไม่ถูก ผมเริ่มรู้สึก..กลัว

เรายังคงได้ปลาขึ้นมาอีกเล็กน้อย จนปลาเริ่มกินห่างตัวไปเรื่อยๆ ไต๋จึงบอกให้ทุกคนเก็บคันเบ็ดเพื่อย้ายหมาย "วี้ดดดดดดด" เสียงแหลมยาวที่ผมเข้าใจว่าคือสัญญาณให้เก็บเบ็ด"วี้ดดดด วี้ดดดดดดด" มันดังขึ้นอีก 2-3 ครั้ง ผมชักไม่สบายใจ "สตาร์ทไม่ติดแฮะ" ไต๋บ่นออกมาเบาๆแต่ผมได้ยินเหมือนเสียงตะโกนจากลำโพง 20 นิ้ว! แกเปิดฝาท้องเรือลงไปมุดดูเครื่องยนต์ "ยิ้มเอ้ย!! ห่าราก! สายไดยิ้มมาขาดอะไรตอนนี้ว้า!”

กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ผมนั่งดูไต๋กับเด็กเรือช่วยกันซ่อมเครื่อง อาการเบื้องต้นคือสายไดสตาร์ทขาดตรงตำแหน่งขั้วพอดี เค้าจึงพยายามหาสายไฟมาต่อเพื่อสตาร์ท ไม่ว่าจะเป็นสายไฟเล็กๆ สายไฟใหญ่ๆ สายทองแดง หรือแม้แต่การตอกตะปูเข้าไปที่ขั้วไดสตาร์ท ซึ่งไม่ว่าจะใช้วัสดุอะไรมาต่อ ทุกครั้งที่ลองสตาร์ทก็จะเกิดไฟลุกพรึ่บขึ้นมา โดยเฉพาะครั้งสุดท้าย ไฟลุกไหม้ขึ้นจนน่าตกใจ
"ยิ้มเอ้ย! มาขาดอะไรตอนนี้ว้า ไม่เป็นไรไม่เป็นไร งั้นตกปลาฆ่าเวลาไปก่อน"
"เดี๋ยวก่อนนะไต๋ แล้วเราจะกลับยังไง?"
"เดี๋ยวให้เรือพรรคพวกมาลากกลับเข้าฝั่งให้"
"กี่โมงครับ?"
"เดี๋ยวเค้าก็ออกมาแล้ว"
"กี่โมง!"
"ก็ประมาณตีสองตีสามนู่นแหละ แต่กว่าจะมาถึงก็คงตีห้า เรือกู้ปูมันช้า ต้องรอหน่อย"
"เฮ้ย! พวกผมรอไม่ไหวหรอก นี่ก็เมาเรือกันจะแย่แล้ว เสื้อชูชีพก็ไม่มีซักตัว ผมว่าไต๋รีบโทรไปเรียกใครก็ได้ให้ออกมาช่วยหน่อย จะคิดตังค์เท่าไหร่ก็ว่ามา เดี๋ยวถึงฝั่งแล้วผมจะไปกดเงินมาให้"
"อืม ป่านนี้ไม่มีใครออกมาหรอกม้าง เที่ยงคืนกว่าแล้วด้วยสิ ตกปลาไปก่อนเหอะ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว"
"ไม่ตกแล้ว! ไม่มีใครตกแล้ว เมาเรือกันหมดแล้ว ไต๋โทรไปเรียกคนมาช่วยเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า จะสปีดโบ๊ตหรืออะไรก็โทรไปเรียกมาเลย!"
"เอ่อ อ่า งั้นรอแป๊บนึงละกันนะ"
ขณะที่ไต๋กำลังโทรคุยกับพรรคพวก อาตี๋เล็กก็เดินมากระซิบผมว่าช่วยเอาเสื้อชูชีพใส่ให้ลูกแกด้วย ผมรีบคว้าเสื้อมาให้เฌอใส่ตามที่แกบอกในทันที

"ไม่มีใครออกมาง่ะ เค้าบอกตีสามนู่นแหละถึงจะออก" ไต๋หันมาบอกบทสรุปให้ผมฟัง วินาทีนั้นผมไม่สนอะไรแล้ว ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์คว้าขึ้นมาโทรหาแม่ผมที่อยู่บนฝั่ง
"ฮัลโหล แม่เหรอ! แม่ยังไม่นอนใช่มั้ย แม่ฟังดีๆนะ เรือสตาร์ทไม่ติด! ไดสตาร์ทไหม้! ตอนนี้อยู่ห่างจากฝั่งประมาณสิบกิโล! บนเรือไม่มีชูชีพซักตัว! แม่ช่วยออกไปตามใครมาช่วยที จะเหมาเรือสปีดโบ๊ตมาเลยก็ได้ หรือไม่ก็ไปแจ้งพวกหน่วยบรรเทาสาธารณะภัยก็ได้นะแม่นะ ช่วยต้นหน่อยนะแม่"

ผมวางสายจากแม่เพื่อเซฟแบตเตอรี่ที่มีเหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว น้ำเสียงแม่ที่ตกใจยิ่งพาให้ผมเครียด แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ นอกจากนั่งจ้องโทรศัพท์เพื่อรอให้แม่ติดต่อกลับมา และในบางขณะผมก็พักสายตาด้วยการมองคลื่นในท้องทะเล และนั่นเองที่ทำให้ผมได้พบกับมัน คลื่นหัวหงอกเริ่มมาทักทายเราแล้ว!


ตอนที่ 3 "ลงเรือลำเดียวกัน"
คลื่นหัวหงอกเริ่มมาทักทายเราทีละนิดทีละนิด ผมร้อนใจแต่แสดงอาการไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างต้องโกลาหลแน่นอน เรือของเราเริ่มโยกขึ้นลงสูงขึ้นเรื่อยๆ
"ไต๋ติดต่อใครไปอีกรึยัง!" ผมตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแข็งกร้าว
"เอ่อ เด่ยวก่อนนะ กำลังตามพรรคพวกอยู่"

"ด๊อนท์วอรรี่ อะเบ๊าท์เดอะติ้ง เอฟเวอริ่งเติ้ลติง อิส กอนนา บี ออไรท์" เสียงริงโทนบ็อบ มาเล่ย์ จากมือถือของผมดังขึ้น
"ฮัลโหล ว่าไงแม่"
"ต้น! นี่แม่อยู่กับตำรวจนะ! เดี๋ยวเค้ากำลังประสานงานให้นะ ต้นเป็นไงบ้างลูก!"
"ก็ไม่ค่อยดีครับ คลื่นเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆเมาเรือสลบกันไปหมดแล้วแม่"
"แล้วป๊ากับอาตี๋เล็กล่ะ"
"ป๊าใส่ชูชีพแล้ว แต่แกไม่พูดอะไรเลย ส่วนอาตี๋เล็กเมา แต่ตอนนี้นิ่งเงียบเลย ต้นว่าแกสองคนคงรู้แล้วล่ะว่าเหตุการณ์มันไม่ปกติแล้ว"
"ดูแลตัวเองดีๆนะลูก คุณตำรวจเค้ากำลังโทรเข้าไปคุยกับไต๋เรือต้นแล้ว"
"โอเคครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะแม่ ต้นเซฟแบตเตอรี่ก่อน"
"เออๆ แม่โทรเข้าคนอื่นไม่ได้เลย ไม่มีสัญญาณกันซักคนเลย"
"ของต้นก็มีสัญญาณแค่สองขีดเอง งั้นต้นเซฟแบตก่อนนะแม่ ได้เรื่องยังไงแล้วรีบโทรมานะครับ"
"จ๊ะๆๆ แม่รักลูกนะ"
"ครับแม่"
ไม่รู้ทำไมในหัวผมถึงคิดว่านี่คือการบอกรักแม่ครั้งสุดท้าย ในหัวผมมีแต่คำว่า ตาย!ตาย!ตาย!! ผมแอบไปยืนตรงกาบเรือที่แสงไฟส่องไม่ถึง ผมรู้ตัวว่าตัวเองหน้าเสียอย่างแน่นอน และผมก็ไม่อยากให้ใครเห็นมัน

"ต้น มีเสื้อชูชีพเหลือให้อาซักตัวมั้ย" อาตี๋เล็กพยุงร่างตัวเองเดินมาขอเสื้อชูชีพกับผม ผมดีใจที่แกอยากจะใส่มัน ผมรีบหยิบเสื้อชูชีพตัวสุดท้ายมาใส่ให้อาของผมทันที ผมดีใจที่ผม, ป๊า, เฌอ และอาตี๋เล็กได้ใส่เสื้อชูชีพกันเรียบร้อย  แต่ไม่รู้ทำไม อีกใจนึงมันกลับตะโกนด่าผมเสียงก้องว่า "แล้วจะปล่อยคนที่เหลือให้ตายรึไง!"

ผมเชื่อมาตลอดว่าผมไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว ผมเชื่อมาตลอดว่าคนเราควรมีน้ำใจให้แก่กัน และทุกคนมีความเท่าเทียมกัน แต่ ณ.วินาทีนั้น เหมือนซาตานเข้ามาครอบคลุมจิตใจผม ผมเห็นแก่ตัวอย่างเหลือเชื่อ ในหัวลึกๆของผมบอกกับตัวเองว่า ชูชีพมีแค่สี่ตัว! คนรอดมีได้แค่สี่คน!

เสียงริงโทนบ๊อบ มาเล่ย์ ดังขึ้นอีกครั้ง
"ฮัลโหล ว่าไงแม่!"
"คุณตำรวจเค้าประสานงานไปที่กองเรือของในหลวงให้แล้ว เรือจอดอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล เค้ากำลังเช็คให้อยู่ น่าจะเอาเรือออกไปช่วยได้ในครึ่งชั่วโมงนะ"
ทันทีที่ได้ยินคำว่า "ในหลวง" ผมรู้สึกเหมือนโดนกระชากวิญญาณซาตานออกไปจากตัว ผมคิดอะไรออกไป! ผมเริ่มมองหาวัสดุที่สามารถลอยน้ำได้ ผมเริ่มจับมันมาเข้าหมวดหมู่ด้วยกัน ชนิดว่าคว้าได้ภายในไม่เกินสามวินาที ผมเริ่มวางแผนในหัวว่าจะให้โฟมกับใคร จะให้ถังน้ำกับใคร จะให้ถุงกันน้ำที่ลอยน้ำได้กับใคร และสุดท้าย ผมจะหาอะไรที่จะช่วยไต๋และลูกเรือได้บ้าง ก็เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่

"ฮัลโหล๋ ครับๆๆ ไต๋พูดครับ ไม่ครับ เดี๋ยวพรรคพวกออกมารับครับ ไม่เป็นไรครับ เค้ากำลังตกปลากันสนุกเลยครับ ปลากำลังฉวยเลยครับ ขอบคุณครับ" ..ไอ้ไต๋เชี่ยยิ้มโกหกตำรวจ!

ยังไม่จบนะครับ ขออนุญาตต่อด้านล่างครับ
-------------------------------------------------------

Credit เรื่องราวจากคุณ Narongchai
สามารถติดตามเครื่องราวแบบเต็มๆจากนี่เลยครับ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153226580224324&set=a.10153226587134324&type=3&theater
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่