ดูแล้วอินมาก นึกถึงวันวานสมัยเด็กๆ อยากหาเพื่อนมาระลึกความหลัง (เช็กอายุกันเนียนๆ 555)
...เราเป็นเด็กลพบุรีค่ะ ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะ แต่อยู่โซนๆชนบทไปอีก เลยไปแถบๆลำนารายณ์นู่น (ใครรู้จักบ้างนิ?) สังคมแถบนั้นก็จะแบ่งเป็นโซนที่ทำไร่ (ย่านนั้นไม่มีคนทำนาค่ะ มีแต่ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด) กับโซนตลาด เราเป็นเด็กโซนตลาดค่ะ ตากับยายมีห้องแถวอยู่สองห้อง ตาเราเปิดร้านตัดผม ยายเราขายผัดไทย+ล็อตเตอรี่ ส่วนแม่เราตอนแรกแกขอแบ่งห้องยายเปิดร้านขายเสื้อผ้าบูติก ต่อมาไปสอบบรรจุเป็นครู ตอนนี้แกเป็นอาจารย์สามแล้วค่ะ ไม่ไปสอบ ผอ.สักที แกบอกขี้เกียจ ยังสอนโรงเรียนเดิมแถวๆบ้านอยู่จนถึงทุกวันนี้ ส่วนพ่อเราเสียตั้งแต่เราเด็กๆ
ชีวิตเด็กโซนตลาดชีวิตจะป๊อบนิดนึง โรงเรียนรัฐบาลใกล้ๆบ้านก็มีนะ แต่ไม่ได้ๆ ต้องเรียนเอกชนเท่านั้น ตอนประถมเราเรียนที่โรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุดในย่านนั้นคือ นารายณ์วิทยา โรงเรียนของตระกูลวรปัญญา นักการเมืองที่ทรงอิทธิพลในลพบุรีสมัยนั้น ชีวิตประจำวันคือตื่นแต่เช้านั่งรถโรงเรียนไปเรียนที่โรงเรียนซึ่งห่างไปจากบ้านประมาณ 30 กิโล ได้เงินค่าขนมประมาณห้าบาท (ไม่มีค่าข้าวค่ะ มีอาหารกลางวันใส่ถาดหลุมที่โรงเรียน ขนมก็ห่อละสลึง น้ำอัดลมแก้วละบาท เหลือหยอดกระปุกชิลๆวันละบาทสองบาท) ตอนเย็นกลับมาบ้านก็มีของกินรออยู่เพียบ เป็นความภาคภูมิใจที่มีบ้านอยู่ในตลาด 5555 แต่ความอัดอั้นของเด็กตลาดก็มีนะคะ คือเราต้องรอตลาดวายจนค่ำๆนู่น ถึงจะมีพื้นที่ออกมาเล่นกระโดดยาง ตีแบด ฯลฯ กับเพื่อนแถวบ้าน
เมื่อคืนนั่งดูฉากที่ยายแย้มเลี้ยงดูยงยุทธ เราน้ำตารื้นเลยค่ะ คิดถึงยายมากกกก ยายเราเหมือนยายแย้มเด๊ะ ทั้งบุคลิก, ท่าทาง แม้แต่วิธีที่ดูแลเรา (ตอนแรกที่นั่งดูละครแม่เรายังทักเลยว่า อิแย้มเหมือนยายเลย ขนาดสโตรกในการด่ายังเป๊ะ! 555) คือตากับยายเราก็มาจากนครสวรรค์ค่ะ ตาเป็นคนปากน้ำโพ ส่วนยายเป็นสาวอุทัยธานี พอแม่เราเริ่มโตก็ขยับขยายย้ายมาหาที่ทางทำมาให้กินที่ลพบุรี จุดนี้ต้องชมคนทำละครค่ะ หรือแม้กระทั่งเจ้าของบทประพันธ์ ที่จับบุคลิกของคนต่างจังหวัดในยุคนั้นมาได้ละเอียดมาก ยายเราก็จะประมาณนั้นค่ะ ลูกชาวนา จบ ป.1 ปากร้ายใจดี พูดเมิงๆกูๆกับลูกหลานแบบนี้แหละ เป็นเรื่องปกติ บทจะด่าก็ด่าไส้ไหลเลย ไม่รู้ไปขุดคำด่ามาจากไหน ด่าได้เป็นชั่วโมง 555+ ส่วนตาเป็นลูกคนจีน ได้เรียนสูงหน่อย (ป.6 ก็เรียนสูงแล้วสำหรับสมัยนั้น) ตาเราก็จะซอฟท์ๆหน่อย นิ่มๆ ใจเย็น บุคลิกเหมือนพี่ยงค์ ยายด่าปุ๊บ เดินหนีปั๊บ พลิ้วมาก 555+ คนรุ่นตารุ่นยายเราจะมีเงินเก็บ มีที่ทางเยอะมากโดนไม่ต้องพึ่งธนาคาร อย่างตาจะเน้นเก็บเงินใส่กระป๋องซื้อที่ ส่วนยายเน้นซื้อทองใส่ถังขนม จะซื้อบ้านซื้อรถก็ซื้อเงินสด งดผ่อน ชีวิตไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีหนี้มีสิน ไม่มีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิต เหอๆๆ
ด้วยความที่พ่อเราเสียตั้งแต่เรายังเล็กมาก (คนแถวนั้นแต่งเขยเข้าบ้านค่ะ) ส่วนแม่ก็กำลังเรียนครูกลับบ้านบ้างเดือนละครั้ง ตากับยายเลยเลี้ยงเรามาเองกับมือ ยายจะหวงเรามาก ไข่ในหินเลย ห้ามนู่น ห้ามนี่ ห้ามนั่น ห้ามเล่นหมาเดี๋ยวมีเชื้อโรค, ตอนวันปีใหม่ห้ามจับ สคส. เดี๋ยวกากเพชรหลุดเข้าตา (แต่แกก็เอา สคส. มาขายช่วงปีใหม่นะ ฮ่า!) อาบน้ำก็อาบให้ตลอดจนเรา ป.4 อาบเองเดี๋ยวไม่สะอาด, ยิ่งเรื่องกินยิ่งเรื่องใหญ่ ตอนเด็กๆเราขี้โรค เป็นหวัดง่าย ท้องเสียง่าย พอเรากินอะไรแล้วท้องเสีย หรือร้องไห้งอแง แกจะไม่ให้กินอีกเลย เราเลยเป็นเด็กกินยากมาก ผลไม้กินไม่เป็น ผักก็กินไม่เป็น (ทุกวันนี้เริ่มกินได้บ้างแล้ว) กินปลาก็มานั่งแกะก้างให้ เราชอบกินอะไรแกจะทำไว้ให้เรากินคนเดียวหม้อใหญ่ๆเลย ตอนแรกไปโรงเรียนก็กินข้าวกลางวันของโรงเรียน แต่ด้วยความที่เราเป็นเด็กโดนสปอยล์จนนิสัยเสีย เวลาของกินไม่ถูกใจเราก็ไม่กิน ก็ผอมเอาๆ ยายเลยให้เลิกกินข้าวของโรงเรียน ทำปิ่นโตให้เราไปกินแบบวีไอพี ไก่ทอด, หมูทอด, มะกะโรนี, กุ้งชุบแป้งทอด, บะหมี่ลูกชิ้น ฯลฯ พวกเพื่อนๆจะมองปิ่นโตเราด้วยความริษยามาก ยายเรานี่ดุนะคะ ไม่ใช่ไม่ตีเรานะ แกทั้งตีทั้งด่า แต่ห้ามคนอื่นตีหรือด่าเราเด็ดขาด ไม่งั้นโดนแกอาฆาตไปสองเดือน "หลานกู กูด่า กูตีของกูได้คนเดียว!" ฮ่า!
ส่วนตาเราก็ประคบประหงมเราไม่ใช่น้อยในแบบของแกค่ะ ถือเป็นขั้วตรงข้ามกับยาย ตาจะพยายามสอนเราหลายๆอย่าง ตั้งแต่เขียนหนังสือ, คิดเลข, คัดลายมือ ไปจนถึงงานบ้านง่ายๆ (ตอนเด็กๆเราหัวดีกว่าเด็กวัยเดียวกัน เพราะตาเริ่มสอนให้เราอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อนุบาล) ถึงเราจะเป็นเด็กสปอยล์ขนาดไหนแต่ข้อดีของเราคือเราเรียนเก่ง เรียกได้ว่าหัวดีสุดในตำบล แต่ก็ป่วยออดๆแอดๆ คล้ายๆเจ้ายงยุทธ ...แต่จะเจ็บจะป่วยยังไง ถ้าไม่ขนาดต้องส่งโรงบาล ตากับยายจะไม่ให้เราขาดเรียนเด็ดขาด แต่จะส่งตาเราไปเป็นหน่วยพยาบาลรอเราอยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน แกจะมีตะกร้าเล็กๆใส่ผ้าขนหนู กระบอกน้ำร้อน ยาต่างๆ ข้าวต้ม แล้วก็ขนมเล็กๆน้อยๆ เอาไว้แจกเด็กๆในโรงเรียนแก้เขิน (แกนั่งเฝ้าเราที่ม้านั่งข้างนอกห้องเรียนค่ะ บางทีเด็กคนอื่นก็เดินผ่านไปผ่านมาแบบสงสัยว่าตาแกเป็นใคร มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้นทั้งวัน 555) ถ้าเป็นช่วงสอบ ต่อให้เราไม่ป่วย ตาก็จะปิดร้านมานั่งเฝ้าประจำการอยู่ดี เผื่อเราป่วยขึ้นมาตอนสอบ เดี๋ยวจะทำข้อสอบไม่เสร็จ
พอโตขึ้นเราสอบติดโรงเรียนมัธยมต้นที่ได้ชื่อว่าสอบเข้ายากที่สุดในตัวจังหวัด (สอบกันห้าพันกว่า รับแค่เก้าสิบ) แต่อยู่ห่างจากบ้านไปเป็นร้อยโล ยายไม่อยากให้เราเดินทางเหนื่อย เลยถึงขนาดจะย้ายบ้านไปอยู่ในตัวเมืองให้เราได้เรียนหนังสือ แต่โชคดีที่ตากับแม่เบรกแกไว้ แกอยากให้เรารู้จักพึ่งพาดูแลตัวเองได้บ้าง ก็ทะเลาะกับยายบ้านจะแตกอยู่เป็นเดือน ในที่สุดก็ตัดสินใจเช่าบ้านให้เราอยู่ แล้วให้ป้าเราที่มีบ้านอยู่ในตัวเมืองแวะมาดูเราบ้าง แกจะได้สบายใจ เสาร์-อาทิตย์ก็กลับบ้าน
ทุกวันนี้ตากับยายจากเราไปแล้ว เรายังคิดถึงพวกท่านมากๆ ยิ่งดูละครยิ่งคิดถึง ว่าครั้งนึงเคยมีคนที่รักเรา ประคบประหงมเรามากขนาดนี้ ถึงบางทีจะสปอยล์เราเกินไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าแกทำไปเพราะความรักความหวังดีทั้งนั้น
แล้วชีวิตเพื่อนๆในยุคนั้นเป็นยังไงบ้างคะ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายของคุณน่ารักขนาดไหน มาแชร์กันนะ ^^
เด็กต่างจังหวัดที่เกิดในเจเนอเรชั่นเดียวกับรุ่นลูกในสุดแค้นแสนรัก มาย้อนความหลังกันค่ะ
...เราเป็นเด็กลพบุรีค่ะ ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะ แต่อยู่โซนๆชนบทไปอีก เลยไปแถบๆลำนารายณ์นู่น (ใครรู้จักบ้างนิ?) สังคมแถบนั้นก็จะแบ่งเป็นโซนที่ทำไร่ (ย่านนั้นไม่มีคนทำนาค่ะ มีแต่ไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด) กับโซนตลาด เราเป็นเด็กโซนตลาดค่ะ ตากับยายมีห้องแถวอยู่สองห้อง ตาเราเปิดร้านตัดผม ยายเราขายผัดไทย+ล็อตเตอรี่ ส่วนแม่เราตอนแรกแกขอแบ่งห้องยายเปิดร้านขายเสื้อผ้าบูติก ต่อมาไปสอบบรรจุเป็นครู ตอนนี้แกเป็นอาจารย์สามแล้วค่ะ ไม่ไปสอบ ผอ.สักที แกบอกขี้เกียจ ยังสอนโรงเรียนเดิมแถวๆบ้านอยู่จนถึงทุกวันนี้ ส่วนพ่อเราเสียตั้งแต่เราเด็กๆ
ชีวิตเด็กโซนตลาดชีวิตจะป๊อบนิดนึง โรงเรียนรัฐบาลใกล้ๆบ้านก็มีนะ แต่ไม่ได้ๆ ต้องเรียนเอกชนเท่านั้น ตอนประถมเราเรียนที่โรงเรียนเอกชนที่ดีที่สุดในย่านนั้นคือ นารายณ์วิทยา โรงเรียนของตระกูลวรปัญญา นักการเมืองที่ทรงอิทธิพลในลพบุรีสมัยนั้น ชีวิตประจำวันคือตื่นแต่เช้านั่งรถโรงเรียนไปเรียนที่โรงเรียนซึ่งห่างไปจากบ้านประมาณ 30 กิโล ได้เงินค่าขนมประมาณห้าบาท (ไม่มีค่าข้าวค่ะ มีอาหารกลางวันใส่ถาดหลุมที่โรงเรียน ขนมก็ห่อละสลึง น้ำอัดลมแก้วละบาท เหลือหยอดกระปุกชิลๆวันละบาทสองบาท) ตอนเย็นกลับมาบ้านก็มีของกินรออยู่เพียบ เป็นความภาคภูมิใจที่มีบ้านอยู่ในตลาด 5555 แต่ความอัดอั้นของเด็กตลาดก็มีนะคะ คือเราต้องรอตลาดวายจนค่ำๆนู่น ถึงจะมีพื้นที่ออกมาเล่นกระโดดยาง ตีแบด ฯลฯ กับเพื่อนแถวบ้าน
เมื่อคืนนั่งดูฉากที่ยายแย้มเลี้ยงดูยงยุทธ เราน้ำตารื้นเลยค่ะ คิดถึงยายมากกกก ยายเราเหมือนยายแย้มเด๊ะ ทั้งบุคลิก, ท่าทาง แม้แต่วิธีที่ดูแลเรา (ตอนแรกที่นั่งดูละครแม่เรายังทักเลยว่า อิแย้มเหมือนยายเลย ขนาดสโตรกในการด่ายังเป๊ะ! 555) คือตากับยายเราก็มาจากนครสวรรค์ค่ะ ตาเป็นคนปากน้ำโพ ส่วนยายเป็นสาวอุทัยธานี พอแม่เราเริ่มโตก็ขยับขยายย้ายมาหาที่ทางทำมาให้กินที่ลพบุรี จุดนี้ต้องชมคนทำละครค่ะ หรือแม้กระทั่งเจ้าของบทประพันธ์ ที่จับบุคลิกของคนต่างจังหวัดในยุคนั้นมาได้ละเอียดมาก ยายเราก็จะประมาณนั้นค่ะ ลูกชาวนา จบ ป.1 ปากร้ายใจดี พูดเมิงๆกูๆกับลูกหลานแบบนี้แหละ เป็นเรื่องปกติ บทจะด่าก็ด่าไส้ไหลเลย ไม่รู้ไปขุดคำด่ามาจากไหน ด่าได้เป็นชั่วโมง 555+ ส่วนตาเป็นลูกคนจีน ได้เรียนสูงหน่อย (ป.6 ก็เรียนสูงแล้วสำหรับสมัยนั้น) ตาเราก็จะซอฟท์ๆหน่อย นิ่มๆ ใจเย็น บุคลิกเหมือนพี่ยงค์ ยายด่าปุ๊บ เดินหนีปั๊บ พลิ้วมาก 555+ คนรุ่นตารุ่นยายเราจะมีเงินเก็บ มีที่ทางเยอะมากโดนไม่ต้องพึ่งธนาคาร อย่างตาจะเน้นเก็บเงินใส่กระป๋องซื้อที่ ส่วนยายเน้นซื้อทองใส่ถังขนม จะซื้อบ้านซื้อรถก็ซื้อเงินสด งดผ่อน ชีวิตไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีหนี้มีสิน ไม่มีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิต เหอๆๆ
ด้วยความที่พ่อเราเสียตั้งแต่เรายังเล็กมาก (คนแถวนั้นแต่งเขยเข้าบ้านค่ะ) ส่วนแม่ก็กำลังเรียนครูกลับบ้านบ้างเดือนละครั้ง ตากับยายเลยเลี้ยงเรามาเองกับมือ ยายจะหวงเรามาก ไข่ในหินเลย ห้ามนู่น ห้ามนี่ ห้ามนั่น ห้ามเล่นหมาเดี๋ยวมีเชื้อโรค, ตอนวันปีใหม่ห้ามจับ สคส. เดี๋ยวกากเพชรหลุดเข้าตา (แต่แกก็เอา สคส. มาขายช่วงปีใหม่นะ ฮ่า!) อาบน้ำก็อาบให้ตลอดจนเรา ป.4 อาบเองเดี๋ยวไม่สะอาด, ยิ่งเรื่องกินยิ่งเรื่องใหญ่ ตอนเด็กๆเราขี้โรค เป็นหวัดง่าย ท้องเสียง่าย พอเรากินอะไรแล้วท้องเสีย หรือร้องไห้งอแง แกจะไม่ให้กินอีกเลย เราเลยเป็นเด็กกินยากมาก ผลไม้กินไม่เป็น ผักก็กินไม่เป็น (ทุกวันนี้เริ่มกินได้บ้างแล้ว) กินปลาก็มานั่งแกะก้างให้ เราชอบกินอะไรแกจะทำไว้ให้เรากินคนเดียวหม้อใหญ่ๆเลย ตอนแรกไปโรงเรียนก็กินข้าวกลางวันของโรงเรียน แต่ด้วยความที่เราเป็นเด็กโดนสปอยล์จนนิสัยเสีย เวลาของกินไม่ถูกใจเราก็ไม่กิน ก็ผอมเอาๆ ยายเลยให้เลิกกินข้าวของโรงเรียน ทำปิ่นโตให้เราไปกินแบบวีไอพี ไก่ทอด, หมูทอด, มะกะโรนี, กุ้งชุบแป้งทอด, บะหมี่ลูกชิ้น ฯลฯ พวกเพื่อนๆจะมองปิ่นโตเราด้วยความริษยามาก ยายเรานี่ดุนะคะ ไม่ใช่ไม่ตีเรานะ แกทั้งตีทั้งด่า แต่ห้ามคนอื่นตีหรือด่าเราเด็ดขาด ไม่งั้นโดนแกอาฆาตไปสองเดือน "หลานกู กูด่า กูตีของกูได้คนเดียว!" ฮ่า!
ส่วนตาเราก็ประคบประหงมเราไม่ใช่น้อยในแบบของแกค่ะ ถือเป็นขั้วตรงข้ามกับยาย ตาจะพยายามสอนเราหลายๆอย่าง ตั้งแต่เขียนหนังสือ, คิดเลข, คัดลายมือ ไปจนถึงงานบ้านง่ายๆ (ตอนเด็กๆเราหัวดีกว่าเด็กวัยเดียวกัน เพราะตาเริ่มสอนให้เราอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อนุบาล) ถึงเราจะเป็นเด็กสปอยล์ขนาดไหนแต่ข้อดีของเราคือเราเรียนเก่ง เรียกได้ว่าหัวดีสุดในตำบล แต่ก็ป่วยออดๆแอดๆ คล้ายๆเจ้ายงยุทธ ...แต่จะเจ็บจะป่วยยังไง ถ้าไม่ขนาดต้องส่งโรงบาล ตากับยายจะไม่ให้เราขาดเรียนเด็ดขาด แต่จะส่งตาเราไปเป็นหน่วยพยาบาลรอเราอยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน แกจะมีตะกร้าเล็กๆใส่ผ้าขนหนู กระบอกน้ำร้อน ยาต่างๆ ข้าวต้ม แล้วก็ขนมเล็กๆน้อยๆ เอาไว้แจกเด็กๆในโรงเรียนแก้เขิน (แกนั่งเฝ้าเราที่ม้านั่งข้างนอกห้องเรียนค่ะ บางทีเด็กคนอื่นก็เดินผ่านไปผ่านมาแบบสงสัยว่าตาแกเป็นใคร มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้นทั้งวัน 555) ถ้าเป็นช่วงสอบ ต่อให้เราไม่ป่วย ตาก็จะปิดร้านมานั่งเฝ้าประจำการอยู่ดี เผื่อเราป่วยขึ้นมาตอนสอบ เดี๋ยวจะทำข้อสอบไม่เสร็จ
พอโตขึ้นเราสอบติดโรงเรียนมัธยมต้นที่ได้ชื่อว่าสอบเข้ายากที่สุดในตัวจังหวัด (สอบกันห้าพันกว่า รับแค่เก้าสิบ) แต่อยู่ห่างจากบ้านไปเป็นร้อยโล ยายไม่อยากให้เราเดินทางเหนื่อย เลยถึงขนาดจะย้ายบ้านไปอยู่ในตัวเมืองให้เราได้เรียนหนังสือ แต่โชคดีที่ตากับแม่เบรกแกไว้ แกอยากให้เรารู้จักพึ่งพาดูแลตัวเองได้บ้าง ก็ทะเลาะกับยายบ้านจะแตกอยู่เป็นเดือน ในที่สุดก็ตัดสินใจเช่าบ้านให้เราอยู่ แล้วให้ป้าเราที่มีบ้านอยู่ในตัวเมืองแวะมาดูเราบ้าง แกจะได้สบายใจ เสาร์-อาทิตย์ก็กลับบ้าน
ทุกวันนี้ตากับยายจากเราไปแล้ว เรายังคิดถึงพวกท่านมากๆ ยิ่งดูละครยิ่งคิดถึง ว่าครั้งนึงเคยมีคนที่รักเรา ประคบประหงมเรามากขนาดนี้ ถึงบางทีจะสปอยล์เราเกินไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าแกทำไปเพราะความรักความหวังดีทั้งนั้น
แล้วชีวิตเพื่อนๆในยุคนั้นเป็นยังไงบ้างคะ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายของคุณน่ารักขนาดไหน มาแชร์กันนะ ^^