นอนไม่หลับ อยู่ๆ Facebook มันแจ้งเตือนว่า วันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้วเราอดพูดมา 10 วัน
เราเลยแวะไปอ่านบันทึกตัวเองในอดีตมา แล้วอยากแชร์ เผื่อใครนึกอุตริอยากไปลองของมั่ง
30 เมษายน 2011 เวลา 8:50 น.
"ไม่พูด ไม่ฟังเพลง ไม่เขียนบันทึก ไม่อ่านหนังสือ (ไม่แม้จะหนังสือพระ)
และไม่แม้กระทั่งสวดมนต์ก่อนนอน .. เป็นเวลาสิบวัน!!!!"
แถมสถานที่ยังไม่ใช่วัดด้วย ดี!! จะได้ไม่กลัวผี 555
นอกจากนี้ก็ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาวก็ได้ ชุดสุภาพก็พอ
นั่นคือข้อตกลงที่ต้องยอมรับก่อนเข้าร่วมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของอาจารย์ goenka
ได้ยินครั้งแรกก็ เห้ย แปลกดี ฮ่าๆ ห้ามทุกอย่างที่ฉันชอบทำ ฉันจะอยู่ได้ไม๊ โรคจิตอยากลองกำเริบ = ="
และก็ไม่ใช่ลัทธิอะไรนะ เป็นการปฏิบัติธรรมะที่เป็นสากล มีพระ แม่ชี และชาวต่างชาติด้วย
เค้าบอกว่า ความสุขความทุกข์ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีทุกข์แบบฮินดู หรือสุขแบบคริสต์ ว๊าว
งั้นลองสมัครดู เพราะพี่ที่เคยไปแนะนำว่า ดี!!!
ห้ามทุกอย่าง แล้วยังจะรู้สึก ดี ได้ไงวะ (" )?
ก็สมัครไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว คอร์สการอบรมพวกนี้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า 3-4 เดือน
ตอนแรกสมัครไปศูนย์ที่ปราจีนกับแม่ แต่คอร์สช่วงที่เราว่างเต็ม เลยเปลี่ยนเป็นศูนย์สีมันตะ จ.ลำพูน แทน
ไม่ได้ชวนคนอื่นเลย เพราะคิดว่าคงไม่มีใครบ้าไปด้วยแน่ๆ = =
และยอมรับว่าเลือกจากสถานที่ เค้ามีศูนย์ปฏิบัติหลายจังหวัดมากก
เราเลือกลำพูน เพราะดูจากภาพแล้วสถานที่สวยดี บรรยากาศก็ดี
ช่วงจะสมัคร แม่เริ่มบ่นปวดหลัง ก็เลยไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวนี้หนูไปคนเดียวก็ได้ ไม่อยากพาแม่ไปทรมาน
ของแบบนี้ ต้องสมัครใจจริงๆ ใจต้องสู้เอง ลุยย !! ><
จริงๆ แล้ว เรามีรูปนุ่งขาวห่มขาวตั้งแต่ 3-4 ขวบนะ แม่ชอบพาเข้าวัดตั้งแต่เด็ก
แต่น่าจะบุญไม่นำพา เพราะแม่เล่าว่านี่ซนมากกกกกกกกก
เดี๋ยวก็ไปลื่นหัวแตกในห้องน้ำวัด ไปชวนแม่ชีคุยตอนนั่งสมาธิ โดนสะพานให้อาหารปลาหนีบมือ
ไปฉี่ใส่ถุงนอนที่นอนกับแม่ตอนไปปักกลดในป่ากันมั่ง สารพัดจะป่วน = ="
พอเติบโตมา วัดและศาสนาก็ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือแค่ตักบาตรบ้าง เวียนเทียนบ้าง
ใกล้วันจะไปเพิ่งเริ่มคิดได้ว่า เอ๊อ ฉันจะอยู่ยังไง ห้ามทุกอย่างแล้วฉันจะทำอะไร
อดฟังเพลง แล้วฉันจะนอนหลับไม๊ กังวลนู่น นี่ และนั่น
จนถึงวันไป.. เอาล่ะ
เราซื้อตั๋วโดยสารกับทางศูนย์เลย ขี้เกียจติดต่อหารถเอง
ก็มีคนเดินทางไปด้วยประมาณ 20 คน
มโนไว้ก่อนหน้านี้ว่า ต้องมีแต่รุ่นแม่ๆ ป้าๆ แน่ๆ
แต่ไม่ใช่แฮะ มีเด็กวัยรุ่นเยอะเหมือนกัน
มีเด็กแนวด้วย ฮา มีผู้ชายใส่เกงเดป แว่นใหญ่ มาอะไรแบบนี้ด้วยแฮะ
เรานั่งรถข้างๆ น้าคนหนึ่ง น้าใจดีมาก ให้กินองุ่นด้วย ^^
น้าบอกไปรอบที่สองแล้ว เราก็ถามน้าว่า ทำไมไปรอบสองล่ะคะ ?
คิดเอาไว้ว่า หนูขอแบ่งเวลาแค่สิบวันในชีวิตไปโดนห้ามพูดก็มากพอแล้วล่ะ =o=
พอไปถึง..
ก็รับศีล 5 ส่วนคนที่เคยมาแล้วให้รับศีล 8 แล้วก็เริ่มไม่พูด ณ บัดนั้น
และฉันก็ได้รู้ว่าวันๆ เค้าให้ทำอะไร ??
เราไปโดยที่ไม่รู้ว่า "วิปัสสนา" และ "กรรมฐาน" แปลว่าอะไร
จนกระทั่งไปที่นั่น ชื่อโครงการก็บอกอยู่ว่า "กรรมฐาน"
มันแปลว่า นั่งสมาธิไงคะะะะ
ทั้งวันก็เลยต้องนั่งสมาธิ ตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงสามทุ่ม
รวมเวลาแล้วก็วันละ 10 ชั่วโมงครึ่ง (แต่มีเวลาพักนะ - -")
แต่ก็แม่จ้าวววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!!
ชีวิตที่เคยอยู่ไม่สุขของฉานนนน ให้นั่งอยู่นิ่งๆ อ่ะนะ
ดังนั้นปัญหาการถูกห้ามพูด ห้ามฟังเพลง ห้ามๆๆๆๆ ก็ไม่ได้ถูกใส่ใจ
ฉันสนใจแค่ต้องนั่งสมาธิๆ ยอมรับว่าปวดหลังมาก และมากขึ้นทุกวัน
จนเวลาล่วงเลยผ่านไป เวลาเริ่มเข้าที่เข้าทาง การนั่งนานๆเริ่มไม่ปวดหลัง
คงจะเริ่ม ชิน นั่นเอง = =
แต่ชอบนะ ชอบวิธีการสอน เข้าใจ และสากล ไม่งมงาย มีเหตุผลดี
ให้นั่งสังเกตลมหายใจตัวเอง ต่อมาก็สังเกตความรู้สึกในร่างกาย
โดยไม่ต้องท่องพุท-โธ หรือเข้า-ออก เพื่อให้ตัวเองเกิดสมาธิ
แต่ให้เราฝึกรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกายเราเองได้จริงๆ
ตั้งแต่คนเราลืมตาดูโลกมา เราก็มักจะใช้ตาของเรามองแต่คนอื่น
เพราะคนนั้นคนนี้ ฉันถึงต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น
เราไม่ค่อยมองตัวเองกันเท่าไหร่
เราจึงต้องหัดสังเกตตัวเองบ้าง พิจารณาตัวเองบ้าง
และนั่งไปนานๆ ก็คิดได้ว่า
โห่วว นี่วันๆฉันหายใจเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย !!!! =O=
แถมยังกินข้าวเยอะอีก แค่นั่งสังเกตตัวเองdHใช้พลังงานเยอะเหมือนกันแฮะ
อาหารจะเป็นมังสวิรัติทุกมื้อ ซึ่งปกติเราก็กินมังสวิรัติทุกวันจันทร์อยู่แล้ว
แต่อาหารที่นี่อร่อยมากกกกกก หลากหลาย มีขนม มีทุกอย่าง อิ่มหนำเลย
ตอนหนึ่งทุ่มหลังนั่งสมาธิตอนเย็น ก็จะเปิดเทปธรรมะบรรยายให้ฟัง
ชอบช่วงนี้สุด เพราะจะอธิบายทุกอย่าง เคลียร์
ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมห้ามแบบนี้ ทำไมเรารู้สึกแบบนั้น
และก็มีนิทาน เรื่องเล่าสนุกๆ ทุกวันเลย ชอบ แบบคิดได้ดีอ่ะ
แล้วประเด็นคือ ก่อนเริ่มปฏิบัติ เค้ายึดโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าตัง
เราก็ดันเอานาฬิกาใส่ไปในถุงฝากของด้วย
คุณพระ ตลอด 10 วัน ชีวิตที่ไม่มีนาฬิกา ไม่รู้วันเวลา ผ่านไปด้วยการเดาจากท้องฟ้า
และเสียงกระดิ่งที่เค้าเคาะบอก เราต้องเดาเอาว่าเสียงเคาะนี้หมายถึงให้ลงไปทานข้าว หรือให้ลงไปนั่งสมาธิ
ทุกๆ วันตารางเวลาส่วนมากก็เป็นแบบเดิมทุกวัน คือ
นั่งสมาธิเช้ามืด (แต่เราแอบหลับ ช่วงนี้เราจะไม่ออกไปนั่งสมาธิ 55 มันเช้าไปง่า)
อาบน้ำ
ทานอาหารเช้า
นั่งสมาธิช่วงสาย
ทานอาหารเที่ยง
นั่งสมาธิ
ทานอาหารเย็น
นั่งสมาธิ
ฟังเทปบรรยายธรรม กับนิทานสอน
จนกระทั่งวันที่ 4 ที่บอร์ดติดป้ายไว้ว่าเป็นวันวิปัสสนา!
(จะมีบอร์ดติดบอกว่าแต่ละวันๆ ทำอะไร ให้มาอ่าน)
ฉันก็ เห้ย วิปัสสนา แปลว่า "ตอบ" รึป่าว? (ก็ปุจฉาแล้วก็วิปัสสนา)
เย่ๆๆๆ งั้นตอนบ่ายที่บอกว่าสอนวิปัสสนาก็ไม่ต้องนั่งสมาธิแล้วดิ แถมให้พูดด้วย
ซะที่ไหนล่ะ ช๊อคกว่าเดิม!
วิปัสสนา คือ ขณะนั่งสมาธิ ห้ามขยุกขยิกตัวเลยยยยยย ในชั่วโมงบังคับ 1 ชั่วโมง
แต่ในเวลาอื่นนอกจากชั่วโมงบังคับ จะสามารถขยับได้ แต่ให้พยายามน้อยที่สุด
O_o"
ก็เพิ่งกลับมาเสิร์ชกูเกิลที่บ้านว่า ที่แปลว่าถามตอบนั่นมัน
ปุจฉา กับ "วิสัจฉนา" (= = )
แล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป ทุกวัน ทุกวัน ,,
สารภาพว่า ขณะนั่งสมาธิ ฉันแอบร้องเพลง(ในใจนะ)บ้าง
ไอ่เรื่องอื่นไม่คิดได้ แต่พอเพลงมันลอยเข้าหัวมาทีไร เพลินนนทุกที
ถ้าเพลงคือกิเลส หนูขอกิเลสเป็นเพลงละกันนะคะ ><
จนถึงวันสุดท้ายวันที่สิบ วันที่เค้าอนุญาตให้พูดได้ เอาโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์คืน
ได้โทรศัพท์ปุ้บ โทรหาแม่คนแรกเลย
ตอนแรกที่พูดคือ เสียงไม่มี พูดแล้วเสียงไม่ค่อยออกเลย แหบบบมาก
และพูดไปสักพักก็เวียนหัว จนต้องนั่งพัก
แต่สังเกตดูคนอื่นเค้าไม่เวียนหัวแบบเราแฮะ = ="
คราวนี้ค๊าา บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปมากกกกกกก
เสียงคุยฟุ้งดัง ๕๕๕ คุยเหมือนรู้จักกันมาห้าปีสิบปี
น้าๆ พี่ๆ บอกว่าคอร์สนี้เด็กเยอะ
แล้วก็มีพี่ๆ น้าๆ สี่ห้าคน เดินมาพูดกับเรา ประมาณว่า
"โอ้ย เป็นไงบ้างหนู เก่งนะ ไม่หนีกลับ"
(เคยมีคนหนีกลับด้วย ฮาา แต่คอร์สเราไม่มี)
"น้าแอบให้กำลังใจอยู่นะ กลัวหนูไม่ไหว"
พี่อีกคนก็บอก "พี่ลุ้นอยู่ว่าเราจะไหวไม๊ เห็นนั่งทำหน้าเหมือนอยากกลับบ้าน"
ตายละ บอกฉันงี้หลายคน จนฉันแบบ ฮาา ป่าวค่ะ ไม่ได้คิดเรื่องกลับบ้าน
แต่นั่งจ๋องแบบนั้น เพราะปวดหลัง พอช่วงเบรกจะชอบมานั่งพิงเสาลำพัง ฮ่าๆๆ
และปลื้มมากตรงนี้ มีแต่คนคิดว่าฉันอยู่มัธยม!! กรี๊ดดด นี่เด็กมหา'ลัยนะ
ขนาดน้องที่อยู่มัธยมยังคิดว่ารุ่นเดียวกันเลย บร้าาาหรอ
ฮ่าๆ เพราะหน้าฉันเด็ก หรือบุคลิกการแต่งตัวฉันมันไม่โตก็ไม่รุ = =
แต่ช๊อคกว่า ตรงที่มีพี่คนสวยสามคน สวยมาก ขาว หุ่นดีมาก
ตอนแรกคิด ต้องเพิ่งเรียนจบแน่เลย ต้องเป็นแบบเด็กเหนือ เรียนนาฏศิลป์ นางรำไรงี้
พอได้คุยกัน อ๋าวว พี่คนนึงมีลูกแล้วสามคน อายุ 33-34 แล้ว มาจากกรุงเทพ
และก็มีพี่ๆ น้าๆ อีกหลายคนที่เห็นครั้งแรกเห้ย ต้องเป็นคนเรียบร้อยแน่เลย
พอได้พูด ได้คุยก็ โหยย ฮามาก พูดเก่งมาก
มีพี่คนนึงจบนิเทศจุฬานานแล้วล่ะ มาคอร์สนี้เป็นครั้งที่สามของปีนี้นะ!! โหวววววว
แต่พี่เค้าคุยสนุกมากก น่ารักมากก
คนเรานี่นะ ดูกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ อะมิตตาพุท = ="
ก็นั่งคุยกันถึงสาเหตุที่แต่ละคนมาที่นี่
ส่วนมากก็แม่ขอให้มา มีน้องคนนึงแม่ขอเป็นของขวัญวันเกิด เจ๋งอ่ะ
ส่วนน้องอีกคนโควต้าติดแพทย์ แม่ก็เลยแนะนำให้มาก่อนเปิดเทอมเรียนหมอ
น้าๆ ป้าๆ บางคนก็บอกอยากมาสะสมบุญ จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ประมาณนั้น
แต่สำหรับฉัน ไม่ได้คิดอยากได้บุญหรอกนะ
ถ้าความหมายของ "บุญกับบาป" ต่างจาก "เหตุและผล"
เราก็ขอเชื่อเรื่องเหตุที่ทำให้เกิดผลมากกว่า
มีไม่กี่คนที่เป็นเหมือนฉัน คืออยากมารู้เอง อยากลอง
จริงๆ แล้วฉันก็อยากได้ไอเดียด้วย อยากเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
เกิดมาทั้งที ไม่อยากใช้ชีวิตแบบไม่เข้าใจอะไรๆ
ไม่เข้าใจความเป็นคน อยู่งงอารมณ์ไปวันๆ
แต่ก็หลายครั้ง ที่เข้าใจ แต่ทำไม่ได้ = ="
แต่ก็ไม่อยากถึงขนาดปลงสังขาร ละทางโลก เพราะยังอยากใช้ชีวิตอยู่กับโลกนี้
แต่อยากมีชีวิตแบบเข้าใจ อยู่กับอะไรๆ มากมายบนโลกนี้อย่างมีความสุข และมีสติ
"สติ" คือสิ่งที่ฉันพยายามให้ตัวเองมีมาตลอด (นี่พยายามแล้ว)
และก็กลัวว่าจะโตขึ้นไปเป็นคนไม่ดีแบบนั้นเป็นแบบนี้
กลัวไม่มีสติ กลัวทำอะไรผิดและพลาด เพราะชอบทำ ฮาา
ตอนนี้พอคิดอยากปลูกฝังอะไรดีๆ ให้ตัวเองไว้ก่อนได้บ้างก็อยากลองดู
เผื่อจะช่วยอะไรได้ มั่ง 5555
ฉันว่านะ พระพุทธเจ้าท่านเก่งมากอ่ะ ท่านเข้าใจชีวิต ธรรมะคือเรื่องราวการใช้ชีวิตนะจริงๆ แล้ว
นี่ถ้าอาจารย์วิชาศาสนาสอนพวกเรื่องนิทานสนุกแบบนี้ ไม่ใช่ให้ท่องบาลี ปะติปะกะ อะไรนะ
ฉันคงชอบวิชานี้ ไม่ชอบภาษาบาลี ไม่เข้าใจ ภาษาไทยฟังแล้วยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย
แบบคิดเหมือนกันว่า นั่งสวดมนต์ทำไม เอาเวลาไปปฏิบัติอะไรดีๆ เลยไม่ดีกว่าหรอ
แต่ก็เข้าใจว่าเพื่อเป็นกุศโลบาย ให้มีสติ หรือคงให้คนอยากมาทำบุญอะไรสักอย่าง
แต่มีพี่คนนึงบอกว่า สวดมนต์เพื่อขอบคุณพระพุทธเจ้า อ่ออ
แล้วก็กลับบ้านพร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่กว่าตัว
ลองเอาไปชั่งน้ำหนักมา กระเป๋าที่เราแบกมาหนัก 15 กิโล = =
แบกไปไหนก็โดนแซว ฮาา คนอื่นเค้าเอามาใบเล็กเกิ๊นน ><
ก็กะอยู่สิบวัน ไม่ต้องซักผ้า ไม่ต้องอะไรเลย เหลือใช้ด้วยซ้ำ
กลับบ้านนนนน พอถึงท่ารถสมบัติทัวร์ คุณน้าใจดีคนนึงก็ให้ติดรถแท๊กซี่ไปลงรถใต้ดินจตุจักรด้วย
แล้วก็มันส์ตรงนี้ แท๊กซี่ขับพาวนไปนู่นนนน นนน = ="
เอ๊อ ก็คิดว่าตัวเองน่าจะมีสติขึ้นมาบ้าง พอออกจาก MRT
ยังจะเดินออกผิดช่องอีก ไปโผล่วัดหัวลำโพงแทน = =
ก็เลยแวะซื้อเฉาก๊วยนมสดหน่อย เสียดายไปลำพูนทั้งที
ไม่ได้แวะไปกินเฉาก๊วยหร่อยสุดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง T T
ไม่เป็นไร กินเฉาก๊วยวัดหัวลำโพงก็ได้
คุณคนขายเห็นฉันแบกเป้ยักษ์ ก็ทักว่าเราไปเที่ยวเข้าป่ากางเต้นท์มาหรอ
เหมือนเพื่อนเค้าเลย เพื่อนเค้าไปมาหลายที่ พูดไปนู่นนี่
เราก็ยิ้มเหอๆ
เออะ ถ้าบอกว่าหนูไปปฏิบัติธรรมมา..
จะเชื่อหนูไม๊ (= =" )?
ปล. นี่เว็บไซต์นะ เผื่อใครอยากลอง
http://www.thaidhamma.net/index.php
ขอให้โชคดี
คิดว่าจะอยู่ได้ไหม ถ้าไม่ได้พูดเลยยยยย ตลอด 10 วัน
เราเลยแวะไปอ่านบันทึกตัวเองในอดีตมา แล้วอยากแชร์ เผื่อใครนึกอุตริอยากไปลองของมั่ง
30 เมษายน 2011 เวลา 8:50 น.
"ไม่พูด ไม่ฟังเพลง ไม่เขียนบันทึก ไม่อ่านหนังสือ (ไม่แม้จะหนังสือพระ)
และไม่แม้กระทั่งสวดมนต์ก่อนนอน .. เป็นเวลาสิบวัน!!!!"
แถมสถานที่ยังไม่ใช่วัดด้วย ดี!! จะได้ไม่กลัวผี 555
นอกจากนี้ก็ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาวก็ได้ ชุดสุภาพก็พอ
นั่นคือข้อตกลงที่ต้องยอมรับก่อนเข้าร่วมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของอาจารย์ goenka
ได้ยินครั้งแรกก็ เห้ย แปลกดี ฮ่าๆ ห้ามทุกอย่างที่ฉันชอบทำ ฉันจะอยู่ได้ไม๊ โรคจิตอยากลองกำเริบ = ="
และก็ไม่ใช่ลัทธิอะไรนะ เป็นการปฏิบัติธรรมะที่เป็นสากล มีพระ แม่ชี และชาวต่างชาติด้วย
เค้าบอกว่า ความสุขความทุกข์ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีทุกข์แบบฮินดู หรือสุขแบบคริสต์ ว๊าว
งั้นลองสมัครดู เพราะพี่ที่เคยไปแนะนำว่า ดี!!!
ห้ามทุกอย่าง แล้วยังจะรู้สึก ดี ได้ไงวะ (" )?
ก็สมัครไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว คอร์สการอบรมพวกนี้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า 3-4 เดือน
ตอนแรกสมัครไปศูนย์ที่ปราจีนกับแม่ แต่คอร์สช่วงที่เราว่างเต็ม เลยเปลี่ยนเป็นศูนย์สีมันตะ จ.ลำพูน แทน
ไม่ได้ชวนคนอื่นเลย เพราะคิดว่าคงไม่มีใครบ้าไปด้วยแน่ๆ = =
และยอมรับว่าเลือกจากสถานที่ เค้ามีศูนย์ปฏิบัติหลายจังหวัดมากก
เราเลือกลำพูน เพราะดูจากภาพแล้วสถานที่สวยดี บรรยากาศก็ดี
ช่วงจะสมัคร แม่เริ่มบ่นปวดหลัง ก็เลยไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวนี้หนูไปคนเดียวก็ได้ ไม่อยากพาแม่ไปทรมาน
ของแบบนี้ ต้องสมัครใจจริงๆ ใจต้องสู้เอง ลุยย !! ><
จริงๆ แล้ว เรามีรูปนุ่งขาวห่มขาวตั้งแต่ 3-4 ขวบนะ แม่ชอบพาเข้าวัดตั้งแต่เด็ก
แต่น่าจะบุญไม่นำพา เพราะแม่เล่าว่านี่ซนมากกกกกกกกก
เดี๋ยวก็ไปลื่นหัวแตกในห้องน้ำวัด ไปชวนแม่ชีคุยตอนนั่งสมาธิ โดนสะพานให้อาหารปลาหนีบมือ
ไปฉี่ใส่ถุงนอนที่นอนกับแม่ตอนไปปักกลดในป่ากันมั่ง สารพัดจะป่วน = ="
พอเติบโตมา วัดและศาสนาก็ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือแค่ตักบาตรบ้าง เวียนเทียนบ้าง
ใกล้วันจะไปเพิ่งเริ่มคิดได้ว่า เอ๊อ ฉันจะอยู่ยังไง ห้ามทุกอย่างแล้วฉันจะทำอะไร
อดฟังเพลง แล้วฉันจะนอนหลับไม๊ กังวลนู่น นี่ และนั่น
จนถึงวันไป.. เอาล่ะ
เราซื้อตั๋วโดยสารกับทางศูนย์เลย ขี้เกียจติดต่อหารถเอง
ก็มีคนเดินทางไปด้วยประมาณ 20 คน
มโนไว้ก่อนหน้านี้ว่า ต้องมีแต่รุ่นแม่ๆ ป้าๆ แน่ๆ
แต่ไม่ใช่แฮะ มีเด็กวัยรุ่นเยอะเหมือนกัน
มีเด็กแนวด้วย ฮา มีผู้ชายใส่เกงเดป แว่นใหญ่ มาอะไรแบบนี้ด้วยแฮะ
เรานั่งรถข้างๆ น้าคนหนึ่ง น้าใจดีมาก ให้กินองุ่นด้วย ^^
น้าบอกไปรอบที่สองแล้ว เราก็ถามน้าว่า ทำไมไปรอบสองล่ะคะ ?
คิดเอาไว้ว่า หนูขอแบ่งเวลาแค่สิบวันในชีวิตไปโดนห้ามพูดก็มากพอแล้วล่ะ =o=
พอไปถึง..
ก็รับศีล 5 ส่วนคนที่เคยมาแล้วให้รับศีล 8 แล้วก็เริ่มไม่พูด ณ บัดนั้น
และฉันก็ได้รู้ว่าวันๆ เค้าให้ทำอะไร ??
เราไปโดยที่ไม่รู้ว่า "วิปัสสนา" และ "กรรมฐาน" แปลว่าอะไร
จนกระทั่งไปที่นั่น ชื่อโครงการก็บอกอยู่ว่า "กรรมฐาน"
มันแปลว่า นั่งสมาธิไงคะะะะ
ทั้งวันก็เลยต้องนั่งสมาธิ ตั้งแต่ตีสี่ครึ่งถึงสามทุ่ม
รวมเวลาแล้วก็วันละ 10 ชั่วโมงครึ่ง (แต่มีเวลาพักนะ - -")
แต่ก็แม่จ้าวววววววววววววววววววววววววววววววววววววว!!
ชีวิตที่เคยอยู่ไม่สุขของฉานนนน ให้นั่งอยู่นิ่งๆ อ่ะนะ
ดังนั้นปัญหาการถูกห้ามพูด ห้ามฟังเพลง ห้ามๆๆๆๆ ก็ไม่ได้ถูกใส่ใจ
ฉันสนใจแค่ต้องนั่งสมาธิๆ ยอมรับว่าปวดหลังมาก และมากขึ้นทุกวัน
จนเวลาล่วงเลยผ่านไป เวลาเริ่มเข้าที่เข้าทาง การนั่งนานๆเริ่มไม่ปวดหลัง
คงจะเริ่ม ชิน นั่นเอง = =
แต่ชอบนะ ชอบวิธีการสอน เข้าใจ และสากล ไม่งมงาย มีเหตุผลดี
ให้นั่งสังเกตลมหายใจตัวเอง ต่อมาก็สังเกตความรู้สึกในร่างกาย
โดยไม่ต้องท่องพุท-โธ หรือเข้า-ออก เพื่อให้ตัวเองเกิดสมาธิ
แต่ให้เราฝึกรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกายเราเองได้จริงๆ
ตั้งแต่คนเราลืมตาดูโลกมา เราก็มักจะใช้ตาของเรามองแต่คนอื่น
เพราะคนนั้นคนนี้ ฉันถึงต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น
เราไม่ค่อยมองตัวเองกันเท่าไหร่
เราจึงต้องหัดสังเกตตัวเองบ้าง พิจารณาตัวเองบ้าง
และนั่งไปนานๆ ก็คิดได้ว่า
โห่วว นี่วันๆฉันหายใจเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย !!!! =O=
แถมยังกินข้าวเยอะอีก แค่นั่งสังเกตตัวเองdHใช้พลังงานเยอะเหมือนกันแฮะ
อาหารจะเป็นมังสวิรัติทุกมื้อ ซึ่งปกติเราก็กินมังสวิรัติทุกวันจันทร์อยู่แล้ว
แต่อาหารที่นี่อร่อยมากกกกกก หลากหลาย มีขนม มีทุกอย่าง อิ่มหนำเลย
ตอนหนึ่งทุ่มหลังนั่งสมาธิตอนเย็น ก็จะเปิดเทปธรรมะบรรยายให้ฟัง
ชอบช่วงนี้สุด เพราะจะอธิบายทุกอย่าง เคลียร์
ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมห้ามแบบนี้ ทำไมเรารู้สึกแบบนั้น
และก็มีนิทาน เรื่องเล่าสนุกๆ ทุกวันเลย ชอบ แบบคิดได้ดีอ่ะ
แล้วประเด็นคือ ก่อนเริ่มปฏิบัติ เค้ายึดโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าตัง
เราก็ดันเอานาฬิกาใส่ไปในถุงฝากของด้วย
คุณพระ ตลอด 10 วัน ชีวิตที่ไม่มีนาฬิกา ไม่รู้วันเวลา ผ่านไปด้วยการเดาจากท้องฟ้า
และเสียงกระดิ่งที่เค้าเคาะบอก เราต้องเดาเอาว่าเสียงเคาะนี้หมายถึงให้ลงไปทานข้าว หรือให้ลงไปนั่งสมาธิ
ทุกๆ วันตารางเวลาส่วนมากก็เป็นแบบเดิมทุกวัน คือ
นั่งสมาธิเช้ามืด (แต่เราแอบหลับ ช่วงนี้เราจะไม่ออกไปนั่งสมาธิ 55 มันเช้าไปง่า)
อาบน้ำ
ทานอาหารเช้า
นั่งสมาธิช่วงสาย
ทานอาหารเที่ยง
นั่งสมาธิ
ทานอาหารเย็น
นั่งสมาธิ
ฟังเทปบรรยายธรรม กับนิทานสอน
จนกระทั่งวันที่ 4 ที่บอร์ดติดป้ายไว้ว่าเป็นวันวิปัสสนา!
(จะมีบอร์ดติดบอกว่าแต่ละวันๆ ทำอะไร ให้มาอ่าน)
ฉันก็ เห้ย วิปัสสนา แปลว่า "ตอบ" รึป่าว? (ก็ปุจฉาแล้วก็วิปัสสนา)
เย่ๆๆๆ งั้นตอนบ่ายที่บอกว่าสอนวิปัสสนาก็ไม่ต้องนั่งสมาธิแล้วดิ แถมให้พูดด้วย
ซะที่ไหนล่ะ ช๊อคกว่าเดิม!
วิปัสสนา คือ ขณะนั่งสมาธิ ห้ามขยุกขยิกตัวเลยยยยยย ในชั่วโมงบังคับ 1 ชั่วโมง
แต่ในเวลาอื่นนอกจากชั่วโมงบังคับ จะสามารถขยับได้ แต่ให้พยายามน้อยที่สุด
O_o"
ก็เพิ่งกลับมาเสิร์ชกูเกิลที่บ้านว่า ที่แปลว่าถามตอบนั่นมัน
ปุจฉา กับ "วิสัจฉนา" (= = )
แล้วทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป ทุกวัน ทุกวัน ,,
สารภาพว่า ขณะนั่งสมาธิ ฉันแอบร้องเพลง(ในใจนะ)บ้าง
ไอ่เรื่องอื่นไม่คิดได้ แต่พอเพลงมันลอยเข้าหัวมาทีไร เพลินนนทุกที
ถ้าเพลงคือกิเลส หนูขอกิเลสเป็นเพลงละกันนะคะ ><
จนถึงวันสุดท้ายวันที่สิบ วันที่เค้าอนุญาตให้พูดได้ เอาโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์คืน
ได้โทรศัพท์ปุ้บ โทรหาแม่คนแรกเลย
ตอนแรกที่พูดคือ เสียงไม่มี พูดแล้วเสียงไม่ค่อยออกเลย แหบบบมาก
และพูดไปสักพักก็เวียนหัว จนต้องนั่งพัก
แต่สังเกตดูคนอื่นเค้าไม่เวียนหัวแบบเราแฮะ = ="
คราวนี้ค๊าา บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปมากกกกกกก
เสียงคุยฟุ้งดัง ๕๕๕ คุยเหมือนรู้จักกันมาห้าปีสิบปี
น้าๆ พี่ๆ บอกว่าคอร์สนี้เด็กเยอะ
แล้วก็มีพี่ๆ น้าๆ สี่ห้าคน เดินมาพูดกับเรา ประมาณว่า
"โอ้ย เป็นไงบ้างหนู เก่งนะ ไม่หนีกลับ"
(เคยมีคนหนีกลับด้วย ฮาา แต่คอร์สเราไม่มี)
"น้าแอบให้กำลังใจอยู่นะ กลัวหนูไม่ไหว"
พี่อีกคนก็บอก "พี่ลุ้นอยู่ว่าเราจะไหวไม๊ เห็นนั่งทำหน้าเหมือนอยากกลับบ้าน"
ตายละ บอกฉันงี้หลายคน จนฉันแบบ ฮาา ป่าวค่ะ ไม่ได้คิดเรื่องกลับบ้าน
แต่นั่งจ๋องแบบนั้น เพราะปวดหลัง พอช่วงเบรกจะชอบมานั่งพิงเสาลำพัง ฮ่าๆๆ
และปลื้มมากตรงนี้ มีแต่คนคิดว่าฉันอยู่มัธยม!! กรี๊ดดด นี่เด็กมหา'ลัยนะ
ขนาดน้องที่อยู่มัธยมยังคิดว่ารุ่นเดียวกันเลย บร้าาาหรอ
ฮ่าๆ เพราะหน้าฉันเด็ก หรือบุคลิกการแต่งตัวฉันมันไม่โตก็ไม่รุ = =
แต่ช๊อคกว่า ตรงที่มีพี่คนสวยสามคน สวยมาก ขาว หุ่นดีมาก
ตอนแรกคิด ต้องเพิ่งเรียนจบแน่เลย ต้องเป็นแบบเด็กเหนือ เรียนนาฏศิลป์ นางรำไรงี้
พอได้คุยกัน อ๋าวว พี่คนนึงมีลูกแล้วสามคน อายุ 33-34 แล้ว มาจากกรุงเทพ
และก็มีพี่ๆ น้าๆ อีกหลายคนที่เห็นครั้งแรกเห้ย ต้องเป็นคนเรียบร้อยแน่เลย
พอได้พูด ได้คุยก็ โหยย ฮามาก พูดเก่งมาก
มีพี่คนนึงจบนิเทศจุฬานานแล้วล่ะ มาคอร์สนี้เป็นครั้งที่สามของปีนี้นะ!! โหวววววว
แต่พี่เค้าคุยสนุกมากก น่ารักมากก
คนเรานี่นะ ดูกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ อะมิตตาพุท = ="
ก็นั่งคุยกันถึงสาเหตุที่แต่ละคนมาที่นี่
ส่วนมากก็แม่ขอให้มา มีน้องคนนึงแม่ขอเป็นของขวัญวันเกิด เจ๋งอ่ะ
ส่วนน้องอีกคนโควต้าติดแพทย์ แม่ก็เลยแนะนำให้มาก่อนเปิดเทอมเรียนหมอ
น้าๆ ป้าๆ บางคนก็บอกอยากมาสะสมบุญ จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ประมาณนั้น
แต่สำหรับฉัน ไม่ได้คิดอยากได้บุญหรอกนะ
ถ้าความหมายของ "บุญกับบาป" ต่างจาก "เหตุและผล"
เราก็ขอเชื่อเรื่องเหตุที่ทำให้เกิดผลมากกว่า
มีไม่กี่คนที่เป็นเหมือนฉัน คืออยากมารู้เอง อยากลอง
จริงๆ แล้วฉันก็อยากได้ไอเดียด้วย อยากเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ
เกิดมาทั้งที ไม่อยากใช้ชีวิตแบบไม่เข้าใจอะไรๆ
ไม่เข้าใจความเป็นคน อยู่งงอารมณ์ไปวันๆ
แต่ก็หลายครั้ง ที่เข้าใจ แต่ทำไม่ได้ = ="
แต่ก็ไม่อยากถึงขนาดปลงสังขาร ละทางโลก เพราะยังอยากใช้ชีวิตอยู่กับโลกนี้
แต่อยากมีชีวิตแบบเข้าใจ อยู่กับอะไรๆ มากมายบนโลกนี้อย่างมีความสุข และมีสติ
"สติ" คือสิ่งที่ฉันพยายามให้ตัวเองมีมาตลอด (นี่พยายามแล้ว)
และก็กลัวว่าจะโตขึ้นไปเป็นคนไม่ดีแบบนั้นเป็นแบบนี้
กลัวไม่มีสติ กลัวทำอะไรผิดและพลาด เพราะชอบทำ ฮาา
ตอนนี้พอคิดอยากปลูกฝังอะไรดีๆ ให้ตัวเองไว้ก่อนได้บ้างก็อยากลองดู
เผื่อจะช่วยอะไรได้ มั่ง 5555
ฉันว่านะ พระพุทธเจ้าท่านเก่งมากอ่ะ ท่านเข้าใจชีวิต ธรรมะคือเรื่องราวการใช้ชีวิตนะจริงๆ แล้ว
นี่ถ้าอาจารย์วิชาศาสนาสอนพวกเรื่องนิทานสนุกแบบนี้ ไม่ใช่ให้ท่องบาลี ปะติปะกะ อะไรนะ
ฉันคงชอบวิชานี้ ไม่ชอบภาษาบาลี ไม่เข้าใจ ภาษาไทยฟังแล้วยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย
แบบคิดเหมือนกันว่า นั่งสวดมนต์ทำไม เอาเวลาไปปฏิบัติอะไรดีๆ เลยไม่ดีกว่าหรอ
แต่ก็เข้าใจว่าเพื่อเป็นกุศโลบาย ให้มีสติ หรือคงให้คนอยากมาทำบุญอะไรสักอย่าง
แต่มีพี่คนนึงบอกว่า สวดมนต์เพื่อขอบคุณพระพุทธเจ้า อ่ออ
แล้วก็กลับบ้านพร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่กว่าตัว
ลองเอาไปชั่งน้ำหนักมา กระเป๋าที่เราแบกมาหนัก 15 กิโล = =
แบกไปไหนก็โดนแซว ฮาา คนอื่นเค้าเอามาใบเล็กเกิ๊นน ><
ก็กะอยู่สิบวัน ไม่ต้องซักผ้า ไม่ต้องอะไรเลย เหลือใช้ด้วยซ้ำ
กลับบ้านนนนน พอถึงท่ารถสมบัติทัวร์ คุณน้าใจดีคนนึงก็ให้ติดรถแท๊กซี่ไปลงรถใต้ดินจตุจักรด้วย
แล้วก็มันส์ตรงนี้ แท๊กซี่ขับพาวนไปนู่นนนน นนน = ="
เอ๊อ ก็คิดว่าตัวเองน่าจะมีสติขึ้นมาบ้าง พอออกจาก MRT
ยังจะเดินออกผิดช่องอีก ไปโผล่วัดหัวลำโพงแทน = =
ก็เลยแวะซื้อเฉาก๊วยนมสดหน่อย เสียดายไปลำพูนทั้งที
ไม่ได้แวะไปกินเฉาก๊วยหร่อยสุดในเมืองมนุษย์อีกครั้ง T T
ไม่เป็นไร กินเฉาก๊วยวัดหัวลำโพงก็ได้
คุณคนขายเห็นฉันแบกเป้ยักษ์ ก็ทักว่าเราไปเที่ยวเข้าป่ากางเต้นท์มาหรอ
เหมือนเพื่อนเค้าเลย เพื่อนเค้าไปมาหลายที่ พูดไปนู่นนี่
เราก็ยิ้มเหอๆ
เออะ ถ้าบอกว่าหนูไปปฏิบัติธรรมมา..
จะเชื่อหนูไม๊ (= =" )?
ปล. นี่เว็บไซต์นะ เผื่อใครอยากลอง
http://www.thaidhamma.net/index.php
ขอให้โชคดี