คืออยากเล่าก่อนกว่า ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาปีสามจะขึ้นปีสี่ละ แต่ผมยังรู้สึกว่าชีวิตไม่มีเป้าหมายอะไรเลย แบบดูเลื่อนลอย นึกออกไหม
เรียนไปวันๆ ถ้าให้ย้อนหลังไปเลยตั้งแต่ๆเด็ก ชีวิตผมพ่อแม่ทุ่มเทมีอะไรให้ทุกอย่าง หรืออาจจะไม่เคยแข่งขันอะไรกับใครเลย หลายๆคนเรียน
จบมาก็ฝันว่าอยากจะมีบ้าน มีรถ มีโน่นนี่ ของใช้ราคาแพง อะไรแบบนี้ใช่ไหม แต่ทำไมผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ตอนนี้ผมบ้านก็มีสองหลังใน
กทม.รถที่บ้านก็มีให้ขับมาตั้งแต่ ม.6 แล้วผมก็รู้สึกโอเคกับมันแล้ว (คือบอกไม่ได้จะอวดนะ อยากให้เห็นภาพชัดเจน) อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็น
คนฟุ้งเฟ้ออะไรเท่าไหร่คือไม่ได้หลงไหลคลั้งไคล้ กับของราคาแพง แบรนด์เนม แบบวัยรุ่นหรือคนในยุคปัจจุเป็นกัน มีแค่ไหนก็พอแค่นั้น
ให้เล่าย้อนไปถึงตอนมัธยมที่บ้านก็พาไปสอบโรงเรียนรัฐมีชื่อแห่งนึง ผมก็ไปสอบๆแล้วก็ติดพอติดก็เรียนไปเรื่อยๆแบบนั้นอีกจนจบ
พอเข้ามหาลัยก็ยังไม่รู้จะเรียนอะไรอีก เลยยื่นแอดมิชชั่นไปส่งๆไปติดม.สีเขียว ซึ่งติดก็ยังไม่รู้เลยว่าคณะเรียนแล้วจบไปทำอะไร
พอเป็นแบบนั้นที่บ้านก็โน้มน้าวให้มาเรียน ABAC เพราะลูกเพื่อนๆเขาเรียน เผื่อจบมาจะได้มาทำงานกับที่บ้านได้ ผมก็เลยไปเรียนตามที่บ้าน
พอเข้ามาก็นั่นแหละ เจอเพื่อนๆสังคมที่ชีวิตเหมือนกันอีก คือเด็กส่วนมากที่นี่ไม่ค่อยมีเป้าหมายอะไรสักเท่าไหร่ คือที่บ้านมีพร้อมหมดจบไปก็ไ
ปจะมาทำงานที่บ้านกัน หรือ อะไรก็ได้ที่ต้องทำธุรกิจ(แต่ไม่รู้ธุรกิจอะไร) เรียกได้ว่าต่างคนต่างเลื่อนลอยไม่รุ้จะไปทำอะไรกัน
ซึ่งพอไปเทียบกับเพื่อนที่อื่น เขาดูจริงจังมีเป็นหมายชีวิตแน่นอน จบไปต้องได้แบบนี้ ทำแบบนี้ เช่นทำอยากทำงานในบริษัทท๊อปของประเทศ
อยากเป็นอาจารย์ อยากเป็นอัยการ อยากเป็นวิศวะ บลาๆๆ พูดตรงๆผมอิจฉาพวกเขาจัง ทำไมชีวิตเขาดูขับเคลื่อนไปได้ไกลกว่าผมอีก
แต่ผมยังแบบเรียกว่าเหมือนเด็กมากๆเลยถ้าเทียบกับพวกเขา แต่ข้อดีของผม(ไม่รู้ว่าข้อดีป่าว) ผมเป็นคนเก็บเงินเก่งนะแบบออมเงินเก่งอ่ะ
แต่บางครั้งก็คิดว่าเงินที่ออมๆไว้จะเอาไปทำไรดี บางครั้งยังเคยคิดเลยนะเอาไปบริจาคดีไหม ผมเป็นคนขี้สงสารคนอื่น
ว่าไหม? การที่มีทุกอย่างพร้อมมันทำชีวิตดูเฉื่อยๆเลื่อนลอยไม่มีเป้าหมายไงไม่รู้
เรียนไปวันๆ ถ้าให้ย้อนหลังไปเลยตั้งแต่ๆเด็ก ชีวิตผมพ่อแม่ทุ่มเทมีอะไรให้ทุกอย่าง หรืออาจจะไม่เคยแข่งขันอะไรกับใครเลย หลายๆคนเรียน
จบมาก็ฝันว่าอยากจะมีบ้าน มีรถ มีโน่นนี่ ของใช้ราคาแพง อะไรแบบนี้ใช่ไหม แต่ทำไมผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ตอนนี้ผมบ้านก็มีสองหลังใน
กทม.รถที่บ้านก็มีให้ขับมาตั้งแต่ ม.6 แล้วผมก็รู้สึกโอเคกับมันแล้ว (คือบอกไม่ได้จะอวดนะ อยากให้เห็นภาพชัดเจน) อีกอย่างผมก็ไม่ได้เป็น
คนฟุ้งเฟ้ออะไรเท่าไหร่คือไม่ได้หลงไหลคลั้งไคล้ กับของราคาแพง แบรนด์เนม แบบวัยรุ่นหรือคนในยุคปัจจุเป็นกัน มีแค่ไหนก็พอแค่นั้น
ให้เล่าย้อนไปถึงตอนมัธยมที่บ้านก็พาไปสอบโรงเรียนรัฐมีชื่อแห่งนึง ผมก็ไปสอบๆแล้วก็ติดพอติดก็เรียนไปเรื่อยๆแบบนั้นอีกจนจบ
พอเข้ามหาลัยก็ยังไม่รู้จะเรียนอะไรอีก เลยยื่นแอดมิชชั่นไปส่งๆไปติดม.สีเขียว ซึ่งติดก็ยังไม่รู้เลยว่าคณะเรียนแล้วจบไปทำอะไร
พอเป็นแบบนั้นที่บ้านก็โน้มน้าวให้มาเรียน ABAC เพราะลูกเพื่อนๆเขาเรียน เผื่อจบมาจะได้มาทำงานกับที่บ้านได้ ผมก็เลยไปเรียนตามที่บ้าน
พอเข้ามาก็นั่นแหละ เจอเพื่อนๆสังคมที่ชีวิตเหมือนกันอีก คือเด็กส่วนมากที่นี่ไม่ค่อยมีเป้าหมายอะไรสักเท่าไหร่ คือที่บ้านมีพร้อมหมดจบไปก็ไ
ปจะมาทำงานที่บ้านกัน หรือ อะไรก็ได้ที่ต้องทำธุรกิจ(แต่ไม่รู้ธุรกิจอะไร) เรียกได้ว่าต่างคนต่างเลื่อนลอยไม่รุ้จะไปทำอะไรกัน
ซึ่งพอไปเทียบกับเพื่อนที่อื่น เขาดูจริงจังมีเป็นหมายชีวิตแน่นอน จบไปต้องได้แบบนี้ ทำแบบนี้ เช่นทำอยากทำงานในบริษัทท๊อปของประเทศ
อยากเป็นอาจารย์ อยากเป็นอัยการ อยากเป็นวิศวะ บลาๆๆ พูดตรงๆผมอิจฉาพวกเขาจัง ทำไมชีวิตเขาดูขับเคลื่อนไปได้ไกลกว่าผมอีก
แต่ผมยังแบบเรียกว่าเหมือนเด็กมากๆเลยถ้าเทียบกับพวกเขา แต่ข้อดีของผม(ไม่รู้ว่าข้อดีป่าว) ผมเป็นคนเก็บเงินเก่งนะแบบออมเงินเก่งอ่ะ
แต่บางครั้งก็คิดว่าเงินที่ออมๆไว้จะเอาไปทำไรดี บางครั้งยังเคยคิดเลยนะเอาไปบริจาคดีไหม ผมเป็นคนขี้สงสารคนอื่น