วันนี้ได้ไปร่วมงานวิ่งมาครับ เลยลองเอาประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง
เริ่มตั้งแต่การปล่อยตัวนักวิ่ง...น่าจะปล่อยช้าไปราว ๆ 20 นาทีได้ ส่วนตัวผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร วอร์มยืดเส้นยืดสายเบา ๆ ไม่ปล่อยก็ยืนรองง ๆ กันไป แต่เพื่อนนักวิ่งที่เค้าจริงจังไง วอร์มร่างกายอย่างดี บางคนวอร์มเสร็จจนเหงื่อที่เปียกไปทั่วหลังในตอนแรกแทบจะแห้ง ที่ทาพวกน้ำมันมวยอะไรกันก็ไม่น่าจะแค่ซึมเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อน่าจะซึมเข้าไปจนสามารถไหลกลับมาเป็นเหงื่อกันเลยทีเดียว
พอยืนรอไปนาน ๆ ก็เลยเริ่มสนใจโลกบ้าง นี่เรารออะไรกันอยู่เลยพยายามฟังฝั่งทีมผู้จัดงานที่ประกาศ..."ขอให้นักวิ่งที่เข้าไปที่จุดสตาร์ทรอสักครู่นะครับ ยังมีเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นกำลังเดินทางมาเรื่อย ๆ ผมรู้สึกเห็นใจนะครับ แต่ก็อยากจะให้เราได้วิ่งไปด้วยกันครับ เราจะปล่อยตัวเมื่อนักวิ่งฮาล์ฟมากันครบแล้วนะครับ"
เอาแล้วไง เกิดทางเลือกของชีวิตขึ้นมา..."ถ้าเราเลือกที่จะเป็นคนตรงต่อเวลา เราก็จะเป็นคนทิ้งเพื่อนสินะ" สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนไม่ทิ้งเพื่อนครับ จริง ๆ ผมไม่ได้เลือกนะ แต่เขาไม่ยอมปล่อยตัวซะที จะลองวิ่งออกไปก่อนก็ไม่ได้เดี่ยวจะหลงเพราะทีมงานประกาศไว้..."พอเราออกจากจุดสตาร์ทแล้ว ไม่ต้องรีบวิ่งนะครับ เราจะเดินไปพร้อม ๆ กันก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะหลงทางได้ครับ แล้วค่อยปล่อยตัวอีกจุดนึง"
เสียงสัญญาณดังขึ้น ได้เวลาปล่อยตัวแล้วววว!!! เราพร้อมจะ..เดินมานานแล้ว ไม่ได้อ่ะยังไงก็ไม่ได้ ปกติงานวิ่งเวลาสัญญาณปล่อยตัวเราต้องเห็นภาพเป็นนักวิ่งพุ่งตัวออกไปกันเต็มที่แล้วรีบวิ่งออกไปสิ นี่เราต้องมาเดินกับแบบน่ารัก ๆ แต่ก็คิดในใจเพื่อความปลอดภัย เพราะว่าเดี่ยวเราจะหลงทางได้ เดินไปสักประมาณ 50 เมตร ตีโค้ง 1 ที เลี้ยวขวาอีก 1 รอบ...ถึงจุดปล่อยตัว โอ้โหววววว ทางยากมากกกกกก ถ้าแค่นี้กลัวผมหลงทางเนี่ย ทำไมไม่บอกให้ผมเตรียมแผนที่ เข็มทิศ อุปกรณ์เดินป่ามาด้วยเลยล่ะครับ
ปล่อยตัวอีกรอบนึง ค่อย ๆ วิ่งกันมาผ่านไปราว ๆ 2 กิโล ยังคงเห็นเพื่อนนักวิ่งพึ่งจะจอดรถอยู่ตลอด ตอนแรกก็งงทำไมมาจอดไกลขนาดนี้นะ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ เป็นกลุ่มนักวิ่งที่เตรียมพร้อมนี่เอง จอดรถแล้วก็วิ่งวอร์มไปเรื่อย ๆ สัก 2 กิโลก็ถึงจุดสตาร์ทพอดี ก็อยากจะหันไปบอกเหมือนกัน เขาปล่อยตัวกันมาแล้วนะครับ ถ้าเหงาก็วิ่งไปด้วยกันก็ได้นะ ไปที่จุดสตาร์ทผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเช็คอินหรืออะไรเลย
ผมก็พยายามวิ่งเกาะกลุ่มไปเรื่อย ๆ ก็น่าเป็นกลุ่มกลาง ๆ ในช่วง 4 กิโลแรก รู้สึกนี่สิถึงจะรอมานานแต่พอออกมาวิ่งแล้วถนนก็ปิดอย่างดี เส้นทางก็เป็นเส้นทางที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน รวม ๆ แล้วทุกอย่างคือดีอ่ะ แต่พอเริ่มเข้าสู่กิโลที่ 6 นี่สิ... "น้ำหมดดดดด" ก็เริ่มมีเสียงบ่นกันแล้ว สำหรับผม...มะ มะ ไม่เป็นไร เพิ่งจะได้มาจากจุดกิโลที่ 4 ยังไหว ๆ ๆ ไปต่อ...
แดดเริ่มออกแล้ว ก็ค่อย ๆ วิ่งมาเรื่อย ๆ จนถึงกิโลที่ 8...ผมคว้าน้ำดื่มก่อนเลย อึดแรก...กลิ่นแปลก ๆ เน๊อะ เลยหันไปดูจุดแจกน้ำก็พบว่าน้ำดื่มที่เตรียมแจกไว้คงจะหมดไปตั้งนานแล้ว น้ำที่อยู่จุดนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการไปเอาน้ำจากบ้านหรือร้านค้าแถว ๆ นั้นมา เพราะเห็นน้องเขาถือน้ำหิ้วมาอยู่ พยายามคิดในแง่ดี อ๋อออ เรามาวิ่งเส้นนี้ไง มันใกล้กับคลองประปา มาแล้วมันต้องให้ถึงที่สุดทางทีมงานเลยจัดน้ำประปาไว้ให้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะว่าอาจจะกลัวว่าเรายังต้องวิ่งกันอีกไกล กลัวจะหิวในแก้วน้ำพอดูดี ๆ จะสังเกตจะพบว่ามีเศษของสาหร่ายวากาเมะผสมลงมาให้ด้วย มันต้องไม่ใช่ตะไคร่อยู่แล้ว แต่ยังไม่ค่อยหิวเท่าไร งั้นขอแค่ล้างหน้าก็พอจะได้ไม่เสียน้ำใจ
สรุปคือวิ่งมาเรื่อย ๆ จากกิโลที่ 4 พึ่งจะมาได้ดื่มน้ำอีกทีตอนกิโลที่ 10 ได้เพิ่มความอดทนให้ขีดจำกัดของร่างกาย พอเริ่มวิ่งมานาน ๆ พี่เจ้าหน้าที่ที่คอยกั้นรถให้ก็คงเริ่มคิด...นักวิ่งต้องเกิดการเรียนรู้ โตแล้วจะต้องให้คนอื่นมาคอยดูแลไปตลอดได้ยังไง ผมก็เลยได้สนุกสนานกับการหัดข้ามทางเอง ดูรถที่วิ่งตามมาข้างหลังเอง แหม่ ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างเลย
กิโลที่ 12 มีเพื่อนนักวิ่งเยอะแยะเลย เพราะมีระยะมินิมาราธอนมาร่วมวิ่งด้วยแล้ว เราวิ่งกันมาไกลขนาดนี้แล้ว ทางทีมงานคงต้องเตรียมอะไรไว้ให้เราอีกนั่นแหละ และแล้วพอถึงจุดแจกน้ำ สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ...เราไม่ได้อยู่แค่กลุ่มฮาล์ฟมาราธอนแค่นั้น เรายังมีกลุ่มมินิมาราธอนด้วย ถ้าเรากินเราก็ต้องกินด้วยกัน ถ้าเราจะอดเราก็ต้องอดด้วยกัน...จึงกลายเป็นว่าจุดที่ 12 น้ำดื่มก็ไม่มีแจกให้อีกเหมือนเดิม
กิโลที่ 14 น้ำก็ยังหมดอีก พอเลยกิโลที่ 14 มานิดนึงอยู่ ๆ จากที่เราวิ่งกันอยู่เลนซ้ายมือ นักวิ่งก็ค่อย ๆ วิ่งข้ามถนนเปลี่ยนเลนไปฝั่งขวามือกัน ผมก็งง ๆ ว่าเปลี่ยนทำไมแต่เราก็วิ่งข้ามตาม ๆ กันไป พอข้ามไปก็เข้าใจ...อ๋อออ มี 7-11 อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง นักวิ่งส่วนใหญ่พร้อมใจกันเข้าไปเพื่อซื้อน้ำโดยไม่ต้องนัดหมายกัน แต่พอข้ามไปฝั่งขวามือยังได้ไม่เท่าไร ก็มีพี่ทหารยืนโบกว่าให้ข้ามกลับไป..."อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานะครับ ทางกองทัพอากาศไม่อยากให้เกิดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น อย่าข้ามไปข้ามมากันครับ" เอ่อ พี่ครับ พี่คงจะยังไม่เข้าใจว่ามันอาจจะเกิดการสูญเสียเป็นหมู่คณะเพราะที่เกิดจากการขาดน้ำได้นะครับ ถ้าไม่อยากให้สูญเสียจริง ๆ พี่ควรจะเตรียมคู่มือปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยที่ขาดน้ำนะครับ สุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเสี่ยงข้ามไปซื้อน้ำกันเองใน 7-11
ช่วงกิโลที่ 14 ไป 16 นี่แหละ เกิดสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นในงานวิ่งงานไหนมาก่อน "แฟชั่นขวดน้ำดื่ม" ถือกันแทบจะทุกคน แต่ละคนก็มียี่ห้อของตัวเอง ขวดเล็กขวดใหญ่ บางคนดูแลสุขภาพหน่อยก็น้ำแร่ บางคนก็เครื่องดื่มเกลือแร่ เห็นบางคนถือขวดชาเขียวก็พาให้คิดไป ถ้าฝานี้มันเกิดถูกรางวัล ได้เงิน ได้รถ แล้วเอาไปโปรโมทขึ้นมานี่ ปีหน้าเปลี่ยนจากจุดแจกน้ำเป็นจุดขายชาเขียวกันเลยดีกว่า
พอมาถึงกิโลที่ 16 จุดแจกน้ำ น้ำดื่มเหลือเยอะมาก ถ้าผมยาวนี่แทบจะสะบัดบ๊อบใส่ ไม่เอาแล้ว มีเองแล้วจ้ะ เชอะ!! แล้วก็วิ่งจากมาจนมาถึงป้ายกิโลที่ 18 ของระยะฮาล์ฟมาราธอน และเป็นกิโลที่ 10 ของมินิมาราธอน อีกแค่นิดเดียวก็เข้าเส้นชัยแล้วววววว สักประมาณ 500 เมตรระยะมินิมาราธอนก็เลี้ยวเข้าเส้นชัย แล้วระยะฮาล์ฟก็...ก็เลี้ยวเข้าเส้นชัยเหมือนกัน อ้าวววว เฮ้ยยยย คือ 18 แล้วมันคือ 19 20 21 นะ ได้แต่งง ๆ แล้วก็เข้าเส้นชัยไป
ผมสรุปข้อดีของงานนี้ก่อนเลยแล้วกันนะครับ นอกจากได้ออกกำลังกาย ได้สุขภาพที่ดีแล้ว สิ่งที่ประทับใจจริง ๆ ภาพที่ลุงคนนึง ( ลุงเป็นนักวิ่งที่ลงวิ่งในงานนี้เหมือนกัน ) ผมไม่รู้เหมือนกันว่าลุงไปเอาน้ำมาจากไหน หยิบมาแพ็คนึงแล้วก็แจกให้เพื่อน ๆ นักวิ่งที่วิ่งผ่านมา คนที่ได้รับน้ำดื่มพอดื่มแค่พอดับกระหายก็ส่งต่อ ๆ ให้กันอีก ลุงก็ไม่ได้แจกมากมายอะไร แต่ผมบอกเลยว่า...มันดีมากเลยนะครับ อ้าววว ตกลงที่ประทับใจก็ไม่ได้มาจากงานวิ่งที่ผู้จัดงานจัดขึ้นเหรอเนี่ย
ใครมีประสบการณ์อะไรลองเอมาแชร์กันบ้างนะครับ
ท่าอากาศยานไทย มินิฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 3...ลองไปดูแล้วจะรู้ว่าเราแข็งแกร่งขึ้นเยอะ
เริ่มตั้งแต่การปล่อยตัวนักวิ่ง...น่าจะปล่อยช้าไปราว ๆ 20 นาทีได้ ส่วนตัวผมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร วอร์มยืดเส้นยืดสายเบา ๆ ไม่ปล่อยก็ยืนรองง ๆ กันไป แต่เพื่อนนักวิ่งที่เค้าจริงจังไง วอร์มร่างกายอย่างดี บางคนวอร์มเสร็จจนเหงื่อที่เปียกไปทั่วหลังในตอนแรกแทบจะแห้ง ที่ทาพวกน้ำมันมวยอะไรกันก็ไม่น่าจะแค่ซึมเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อน่าจะซึมเข้าไปจนสามารถไหลกลับมาเป็นเหงื่อกันเลยทีเดียว
พอยืนรอไปนาน ๆ ก็เลยเริ่มสนใจโลกบ้าง นี่เรารออะไรกันอยู่เลยพยายามฟังฝั่งทีมผู้จัดงานที่ประกาศ..."ขอให้นักวิ่งที่เข้าไปที่จุดสตาร์ทรอสักครู่นะครับ ยังมีเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นกำลังเดินทางมาเรื่อย ๆ ผมรู้สึกเห็นใจนะครับ แต่ก็อยากจะให้เราได้วิ่งไปด้วยกันครับ เราจะปล่อยตัวเมื่อนักวิ่งฮาล์ฟมากันครบแล้วนะครับ"
เอาแล้วไง เกิดทางเลือกของชีวิตขึ้นมา..."ถ้าเราเลือกที่จะเป็นคนตรงต่อเวลา เราก็จะเป็นคนทิ้งเพื่อนสินะ" สุดท้ายผมก็กลายเป็นคนไม่ทิ้งเพื่อนครับ จริง ๆ ผมไม่ได้เลือกนะ แต่เขาไม่ยอมปล่อยตัวซะที จะลองวิ่งออกไปก่อนก็ไม่ได้เดี่ยวจะหลงเพราะทีมงานประกาศไว้..."พอเราออกจากจุดสตาร์ทแล้ว ไม่ต้องรีบวิ่งนะครับ เราจะเดินไปพร้อม ๆ กันก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวจะหลงทางได้ครับ แล้วค่อยปล่อยตัวอีกจุดนึง"
เสียงสัญญาณดังขึ้น ได้เวลาปล่อยตัวแล้วววว!!! เราพร้อมจะ..เดินมานานแล้ว ไม่ได้อ่ะยังไงก็ไม่ได้ ปกติงานวิ่งเวลาสัญญาณปล่อยตัวเราต้องเห็นภาพเป็นนักวิ่งพุ่งตัวออกไปกันเต็มที่แล้วรีบวิ่งออกไปสิ นี่เราต้องมาเดินกับแบบน่ารัก ๆ แต่ก็คิดในใจเพื่อความปลอดภัย เพราะว่าเดี่ยวเราจะหลงทางได้ เดินไปสักประมาณ 50 เมตร ตีโค้ง 1 ที เลี้ยวขวาอีก 1 รอบ...ถึงจุดปล่อยตัว โอ้โหววววว ทางยากมากกกกกก ถ้าแค่นี้กลัวผมหลงทางเนี่ย ทำไมไม่บอกให้ผมเตรียมแผนที่ เข็มทิศ อุปกรณ์เดินป่ามาด้วยเลยล่ะครับ
ปล่อยตัวอีกรอบนึง ค่อย ๆ วิ่งกันมาผ่านไปราว ๆ 2 กิโล ยังคงเห็นเพื่อนนักวิ่งพึ่งจะจอดรถอยู่ตลอด ตอนแรกก็งงทำไมมาจอดไกลขนาดนี้นะ แล้วก็คิดขึ้นมาได้ เป็นกลุ่มนักวิ่งที่เตรียมพร้อมนี่เอง จอดรถแล้วก็วิ่งวอร์มไปเรื่อย ๆ สัก 2 กิโลก็ถึงจุดสตาร์ทพอดี ก็อยากจะหันไปบอกเหมือนกัน เขาปล่อยตัวกันมาแล้วนะครับ ถ้าเหงาก็วิ่งไปด้วยกันก็ได้นะ ไปที่จุดสตาร์ทผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเช็คอินหรืออะไรเลย
ผมก็พยายามวิ่งเกาะกลุ่มไปเรื่อย ๆ ก็น่าเป็นกลุ่มกลาง ๆ ในช่วง 4 กิโลแรก รู้สึกนี่สิถึงจะรอมานานแต่พอออกมาวิ่งแล้วถนนก็ปิดอย่างดี เส้นทางก็เป็นเส้นทางที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน รวม ๆ แล้วทุกอย่างคือดีอ่ะ แต่พอเริ่มเข้าสู่กิโลที่ 6 นี่สิ... "น้ำหมดดดดด" ก็เริ่มมีเสียงบ่นกันแล้ว สำหรับผม...มะ มะ ไม่เป็นไร เพิ่งจะได้มาจากจุดกิโลที่ 4 ยังไหว ๆ ๆ ไปต่อ...
แดดเริ่มออกแล้ว ก็ค่อย ๆ วิ่งมาเรื่อย ๆ จนถึงกิโลที่ 8...ผมคว้าน้ำดื่มก่อนเลย อึดแรก...กลิ่นแปลก ๆ เน๊อะ เลยหันไปดูจุดแจกน้ำก็พบว่าน้ำดื่มที่เตรียมแจกไว้คงจะหมดไปตั้งนานแล้ว น้ำที่อยู่จุดนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการไปเอาน้ำจากบ้านหรือร้านค้าแถว ๆ นั้นมา เพราะเห็นน้องเขาถือน้ำหิ้วมาอยู่ พยายามคิดในแง่ดี อ๋อออ เรามาวิ่งเส้นนี้ไง มันใกล้กับคลองประปา มาแล้วมันต้องให้ถึงที่สุดทางทีมงานเลยจัดน้ำประปาไว้ให้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะว่าอาจจะกลัวว่าเรายังต้องวิ่งกันอีกไกล กลัวจะหิวในแก้วน้ำพอดูดี ๆ จะสังเกตจะพบว่ามีเศษของสาหร่ายวากาเมะผสมลงมาให้ด้วย มันต้องไม่ใช่ตะไคร่อยู่แล้ว แต่ยังไม่ค่อยหิวเท่าไร งั้นขอแค่ล้างหน้าก็พอจะได้ไม่เสียน้ำใจ
สรุปคือวิ่งมาเรื่อย ๆ จากกิโลที่ 4 พึ่งจะมาได้ดื่มน้ำอีกทีตอนกิโลที่ 10 ได้เพิ่มความอดทนให้ขีดจำกัดของร่างกาย พอเริ่มวิ่งมานาน ๆ พี่เจ้าหน้าที่ที่คอยกั้นรถให้ก็คงเริ่มคิด...นักวิ่งต้องเกิดการเรียนรู้ โตแล้วจะต้องให้คนอื่นมาคอยดูแลไปตลอดได้ยังไง ผมก็เลยได้สนุกสนานกับการหัดข้ามทางเอง ดูรถที่วิ่งตามมาข้างหลังเอง แหม่ ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างเลย
กิโลที่ 12 มีเพื่อนนักวิ่งเยอะแยะเลย เพราะมีระยะมินิมาราธอนมาร่วมวิ่งด้วยแล้ว เราวิ่งกันมาไกลขนาดนี้แล้ว ทางทีมงานคงต้องเตรียมอะไรไว้ให้เราอีกนั่นแหละ และแล้วพอถึงจุดแจกน้ำ สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ...เราไม่ได้อยู่แค่กลุ่มฮาล์ฟมาราธอนแค่นั้น เรายังมีกลุ่มมินิมาราธอนด้วย ถ้าเรากินเราก็ต้องกินด้วยกัน ถ้าเราจะอดเราก็ต้องอดด้วยกัน...จึงกลายเป็นว่าจุดที่ 12 น้ำดื่มก็ไม่มีแจกให้อีกเหมือนเดิม
กิโลที่ 14 น้ำก็ยังหมดอีก พอเลยกิโลที่ 14 มานิดนึงอยู่ ๆ จากที่เราวิ่งกันอยู่เลนซ้ายมือ นักวิ่งก็ค่อย ๆ วิ่งข้ามถนนเปลี่ยนเลนไปฝั่งขวามือกัน ผมก็งง ๆ ว่าเปลี่ยนทำไมแต่เราก็วิ่งข้ามตาม ๆ กันไป พอข้ามไปก็เข้าใจ...อ๋อออ มี 7-11 อยู่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง นักวิ่งส่วนใหญ่พร้อมใจกันเข้าไปเพื่อซื้อน้ำโดยไม่ต้องนัดหมายกัน แต่พอข้ามไปฝั่งขวามือยังได้ไม่เท่าไร ก็มีพี่ทหารยืนโบกว่าให้ข้ามกลับไป..."อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานะครับ ทางกองทัพอากาศไม่อยากให้เกิดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น อย่าข้ามไปข้ามมากันครับ" เอ่อ พี่ครับ พี่คงจะยังไม่เข้าใจว่ามันอาจจะเกิดการสูญเสียเป็นหมู่คณะเพราะที่เกิดจากการขาดน้ำได้นะครับ ถ้าไม่อยากให้สูญเสียจริง ๆ พี่ควรจะเตรียมคู่มือปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยที่ขาดน้ำนะครับ สุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเสี่ยงข้ามไปซื้อน้ำกันเองใน 7-11
ช่วงกิโลที่ 14 ไป 16 นี่แหละ เกิดสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นในงานวิ่งงานไหนมาก่อน "แฟชั่นขวดน้ำดื่ม" ถือกันแทบจะทุกคน แต่ละคนก็มียี่ห้อของตัวเอง ขวดเล็กขวดใหญ่ บางคนดูแลสุขภาพหน่อยก็น้ำแร่ บางคนก็เครื่องดื่มเกลือแร่ เห็นบางคนถือขวดชาเขียวก็พาให้คิดไป ถ้าฝานี้มันเกิดถูกรางวัล ได้เงิน ได้รถ แล้วเอาไปโปรโมทขึ้นมานี่ ปีหน้าเปลี่ยนจากจุดแจกน้ำเป็นจุดขายชาเขียวกันเลยดีกว่า
พอมาถึงกิโลที่ 16 จุดแจกน้ำ น้ำดื่มเหลือเยอะมาก ถ้าผมยาวนี่แทบจะสะบัดบ๊อบใส่ ไม่เอาแล้ว มีเองแล้วจ้ะ เชอะ!! แล้วก็วิ่งจากมาจนมาถึงป้ายกิโลที่ 18 ของระยะฮาล์ฟมาราธอน และเป็นกิโลที่ 10 ของมินิมาราธอน อีกแค่นิดเดียวก็เข้าเส้นชัยแล้วววววว สักประมาณ 500 เมตรระยะมินิมาราธอนก็เลี้ยวเข้าเส้นชัย แล้วระยะฮาล์ฟก็...ก็เลี้ยวเข้าเส้นชัยเหมือนกัน อ้าวววว เฮ้ยยยย คือ 18 แล้วมันคือ 19 20 21 นะ ได้แต่งง ๆ แล้วก็เข้าเส้นชัยไป
ผมสรุปข้อดีของงานนี้ก่อนเลยแล้วกันนะครับ นอกจากได้ออกกำลังกาย ได้สุขภาพที่ดีแล้ว สิ่งที่ประทับใจจริง ๆ ภาพที่ลุงคนนึง ( ลุงเป็นนักวิ่งที่ลงวิ่งในงานนี้เหมือนกัน ) ผมไม่รู้เหมือนกันว่าลุงไปเอาน้ำมาจากไหน หยิบมาแพ็คนึงแล้วก็แจกให้เพื่อน ๆ นักวิ่งที่วิ่งผ่านมา คนที่ได้รับน้ำดื่มพอดื่มแค่พอดับกระหายก็ส่งต่อ ๆ ให้กันอีก ลุงก็ไม่ได้แจกมากมายอะไร แต่ผมบอกเลยว่า...มันดีมากเลยนะครับ อ้าววว ตกลงที่ประทับใจก็ไม่ได้มาจากงานวิ่งที่ผู้จัดงานจัดขึ้นเหรอเนี่ย
ใครมีประสบการณ์อะไรลองเอมาแชร์กันบ้างนะครับ