ต่อจากตอนที่แล้วที่คนน้องบอกว่าจากวันนี้ไปจะเกลียดพระเอก
พระเอกได้ยินแบบนั้นก็ยืนเอ๋อ คนน้องก็อธิบายต่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้ทำให้ตัวเองนึกไปถึงยัยหัวทองที่ถูกอ.คิริยะสลัดรักจนกลายเป็นแค้น ตอนนั้นคนน้องไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเกลียดอีกฝ่ายด้วย ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งได้มาเจอเข้ากับตัวถึงได้เข้าใจว่าทำไม
"เพราะการเกลียดคือกลไกปกป้องตัวเองให้เกลียดสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวด ให้ตัวเองสบายใจขึ้นไงล่ะ"
พระเอกก็นิ่งไปพักนึงก็ถามกลับว่าแล้วจะทำยังไง จะหาเรื่องเล่นงานเขาเหมือนยัยหัวทองนั่นเหรอ คนน้องก็หันมาเบ้หน้าใส่พระเอกว่าเห็นเธอเป็นเด็กอมมือรึไง และบอกว่า จากนี้ไปเธอจะใช้ชีวิตกับเขาเหมือนคนในครอบครัวตามปกติ ระหว่างที่พระเอกขาเดี้ยงก็จะช่วยพยาบาลช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ ก็แค่หลังจากนี้ไปจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเกลียดพระเอกให้ได้เท่านั้น
เจอพูดแบบนั้น พระเอกก็ได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้คนน้องเดินนำไปเงียบๆ เท่านั้น
ตัดมาฉากในห้องเรียน ก็มีคุยกันเรื่องไปทัศนศึกษา โดยงวดนี้จะไปโอกินาวากัน ข่าวเรื่องทัศนศึกษาทำให้ทั้งห้องดีใจกันยกใหญ่ มีแต่พระเอกนั่งจ๋อยอยู่คนเดียวเพราะยังคิดมากเรื่องที่คนน้องพูดอยู่จนเพื่อนถึงกับออกปากทักว่าเป็นอะไร
หลังจากนั้น พระเอกก็เมล์ไปหาคนพี่ถามว่าวันนี้จะแวะไปห้องได้มั้ย แต่รอเป็นนานสองนานก็ไม่มีเมล์ตอบ พระเอกเลยยิ่งจ๋อยเข้าไปใหญ่
ระหว่างกำลังจ๋อยได้ที่อยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็มีเมล์เข้า พระเอกรีบตาลีตาลานกดรับ ปรากฏว่าเป็นเมล์จากคนพี่บอกว่าวันนี้คงไม่ได้ และนัดพระเอกไปคุยกันที่ห้องเก็บอุปกรณ์ตอนพักกลางวัน พระเอกก็ไปเจอคนพี่ตามนัด พอมาถึงหน้าห้องเก็บอุปกรณ์ คนพี่ก็โผล่พรวดออกมาดึงตัวพระเอกเข้าไปข้างในเพราะกลัวคนมาเห็น
เข้ามาข้างในเสร็จ คนพี่ก็ถามพระเอกว่าคนน้องท่าทางเป็นยังไงบ้าง ตัวเองไลน์ไปหาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบเลย พระเอกก็เล่าทุกอย่างให้คนพี่ฟัง (ยกเว้นเรื่องที่ตัวเองจูบคนน้อง) รวมทั้งเรื่องที่คนน้องบอกว่าจะพยายามเกลียดพระเอกนับแต่วันนี้เป็นต้นไปด้วย คนพี่ได้ฟังก็หลบตาลงทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง พระเอกเห็นแบบนั้นก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าคนพี่จะขอเลิกเพราะเรื่องนี้ เลยรีบพูดดักคอขึ้นมาก่อนว่าคงไม่คิดจะเลิกกับเขาเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย คนพี่โดนถามก็ชะงัก แล้วหลบตาพระเอกไปทางอื่น พระเอกเห็นแบบนั้นก็พร้อมตรงเข้าไปจับมือคนพี่ไว้ แล้วโน้มหน้าเข้าไปทำท่าจะจูบ
ยังไม่ทันได้ประกบปากกัน เสียงกริ่งเข้าเรียนก็ดังซะก่อน คนพี่เลยอาศัยจังหวะนี้ผละจากตัวพระเอก แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งพระเอกไว้กับความรู้สึกค้างคาใจเพียงลำพัง
เย็นนั้น พระเอกกลับบ้านพร้อมกับคนน้อง ได้คนน้องช่วยทำโน่นทำนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตามปกติ แล้วก็ผละไปเตรียมข้าวเย็นโดยไม่พูดอะไรกับพระเอกเกินกว่าที่จำเป็น พระเอกพยายามชวนคุยเหมือนปกติก็ได้มาแต่คำถามแบบถามคำตอบคำ จนพระเอกเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าชวนคุยยังไงก็ไม่ยอมคุยด้วย พระเอกเลยได้แต่นั่งดูทีวีไปเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก
ต่างฝ่ายต่างทำเรื่องของต่างฝ่ายไปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ทั้งที่ในใจรู้สึกหนักอึ้ง เหมือนมีกำแพงหนาหนักขวางกั้นระหว่างกันและกันอยู่
กำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างทั้งสอง
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ พระเอกก็ได้แต่นอนเขลงอยู่ตรงโซฟาด้วยสีหน้าอึดอัดใจ ขณะที่คนน้องรีบกลับขึ้นไปบนห้อง สีหน้าแดงซ่านแต่แววตาเจ็บปวด พยายามเม้มปากข่มกลั้นความรู้สึกเต็มที่
ความรู้สึกหลังอ่านตอนนี้จบ ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาเลยแฮะ
รอดูว่าคนน้องจะหลอกใจตัวเองไปได้นานแค่ไหน หรือจะมีเรื่องอะไรมาทำให้กำแพงในใจพังลงได้ หรือจะเกิดเรื่องอะไรที่ดีหรือร้ายแรงขึ้นกว่าเก่าละครับ
[Spoil] Domestic na Kanojo #47 - ประกาศศึก
พระเอกได้ยินแบบนั้นก็ยืนเอ๋อ คนน้องก็อธิบายต่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้ทำให้ตัวเองนึกไปถึงยัยหัวทองที่ถูกอ.คิริยะสลัดรักจนกลายเป็นแค้น ตอนนั้นคนน้องไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเกลียดอีกฝ่ายด้วย ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งได้มาเจอเข้ากับตัวถึงได้เข้าใจว่าทำไม
"เพราะการเกลียดคือกลไกปกป้องตัวเองให้เกลียดสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความเจ็บปวด ให้ตัวเองสบายใจขึ้นไงล่ะ"
พระเอกก็นิ่งไปพักนึงก็ถามกลับว่าแล้วจะทำยังไง จะหาเรื่องเล่นงานเขาเหมือนยัยหัวทองนั่นเหรอ คนน้องก็หันมาเบ้หน้าใส่พระเอกว่าเห็นเธอเป็นเด็กอมมือรึไง และบอกว่า จากนี้ไปเธอจะใช้ชีวิตกับเขาเหมือนคนในครอบครัวตามปกติ ระหว่างที่พระเอกขาเดี้ยงก็จะช่วยพยาบาลช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ ก็แค่หลังจากนี้ไปจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อเกลียดพระเอกให้ได้เท่านั้น
เจอพูดแบบนั้น พระเอกก็ได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้คนน้องเดินนำไปเงียบๆ เท่านั้น
ตัดมาฉากในห้องเรียน ก็มีคุยกันเรื่องไปทัศนศึกษา โดยงวดนี้จะไปโอกินาวากัน ข่าวเรื่องทัศนศึกษาทำให้ทั้งห้องดีใจกันยกใหญ่ มีแต่พระเอกนั่งจ๋อยอยู่คนเดียวเพราะยังคิดมากเรื่องที่คนน้องพูดอยู่จนเพื่อนถึงกับออกปากทักว่าเป็นอะไร
หลังจากนั้น พระเอกก็เมล์ไปหาคนพี่ถามว่าวันนี้จะแวะไปห้องได้มั้ย แต่รอเป็นนานสองนานก็ไม่มีเมล์ตอบ พระเอกเลยยิ่งจ๋อยเข้าไปใหญ่
ระหว่างกำลังจ๋อยได้ที่อยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็มีเมล์เข้า พระเอกรีบตาลีตาลานกดรับ ปรากฏว่าเป็นเมล์จากคนพี่บอกว่าวันนี้คงไม่ได้ และนัดพระเอกไปคุยกันที่ห้องเก็บอุปกรณ์ตอนพักกลางวัน พระเอกก็ไปเจอคนพี่ตามนัด พอมาถึงหน้าห้องเก็บอุปกรณ์ คนพี่ก็โผล่พรวดออกมาดึงตัวพระเอกเข้าไปข้างในเพราะกลัวคนมาเห็น
เข้ามาข้างในเสร็จ คนพี่ก็ถามพระเอกว่าคนน้องท่าทางเป็นยังไงบ้าง ตัวเองไลน์ไปหาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบเลย พระเอกก็เล่าทุกอย่างให้คนพี่ฟัง (ยกเว้นเรื่องที่ตัวเองจูบคนน้อง) รวมทั้งเรื่องที่คนน้องบอกว่าจะพยายามเกลียดพระเอกนับแต่วันนี้เป็นต้นไปด้วย คนพี่ได้ฟังก็หลบตาลงทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง พระเอกเห็นแบบนั้นก็เกิดกลัวขึ้นมาว่าคนพี่จะขอเลิกเพราะเรื่องนี้ เลยรีบพูดดักคอขึ้นมาก่อนว่าคงไม่คิดจะเลิกกับเขาเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย คนพี่โดนถามก็ชะงัก แล้วหลบตาพระเอกไปทางอื่น พระเอกเห็นแบบนั้นก็พร้อมตรงเข้าไปจับมือคนพี่ไว้ แล้วโน้มหน้าเข้าไปทำท่าจะจูบ
ยังไม่ทันได้ประกบปากกัน เสียงกริ่งเข้าเรียนก็ดังซะก่อน คนพี่เลยอาศัยจังหวะนี้ผละจากตัวพระเอก แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งพระเอกไว้กับความรู้สึกค้างคาใจเพียงลำพัง
เย็นนั้น พระเอกกลับบ้านพร้อมกับคนน้อง ได้คนน้องช่วยทำโน่นทำนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตามปกติ แล้วก็ผละไปเตรียมข้าวเย็นโดยไม่พูดอะไรกับพระเอกเกินกว่าที่จำเป็น พระเอกพยายามชวนคุยเหมือนปกติก็ได้มาแต่คำถามแบบถามคำตอบคำ จนพระเอกเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าชวนคุยยังไงก็ไม่ยอมคุยด้วย พระเอกเลยได้แต่นั่งดูทีวีไปเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก
ต่างฝ่ายต่างทำเรื่องของต่างฝ่ายไปเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ทั้งที่ในใจรู้สึกหนักอึ้ง เหมือนมีกำแพงหนาหนักขวางกั้นระหว่างกันและกันอยู่
กำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างทั้งสอง
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ พระเอกก็ได้แต่นอนเขลงอยู่ตรงโซฟาด้วยสีหน้าอึดอัดใจ ขณะที่คนน้องรีบกลับขึ้นไปบนห้อง สีหน้าแดงซ่านแต่แววตาเจ็บปวด พยายามเม้มปากข่มกลั้นความรู้สึกเต็มที่
ความรู้สึกหลังอ่านตอนนี้จบ ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาเลยแฮะ
รอดูว่าคนน้องจะหลอกใจตัวเองไปได้นานแค่ไหน หรือจะมีเรื่องอะไรมาทำให้กำแพงในใจพังลงได้ หรือจะเกิดเรื่องอะไรที่ดีหรือร้ายแรงขึ้นกว่าเก่าละครับ