แจ้ง (2) (แฟนตาซี)

กระทู้สนทนา
เหล่าเด็กหนุ่มต่างพากันล้อมวงเข้ามาที่มุมหนึ่งของลานฝึก ครูยุทธมองมาทางคู่หูจอมแสบที่เป็นคนก่อเรื่องพร้อมส่ายหน้าอย่างระอา แต่กลับมีรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก พวกเด็กหนุ่มเลือดร้อนมักเป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองในสมัยก่อน ใบหน้าที่มีรอยยิ้มยียวนกับแผลเป็นรูปตะขาบขนาดใหญ่ใต้คางปรากฎขึ้นอย่างเด่นชัดภายในความทรงจำ แผลที่เขาเป็นคนเย็บให้เพื่อนด้วยมือตนเอง
    
พวกมันเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเขาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เลือด และน้ำตา

    “เรามาใช้วิธีเดิมตัดสินกัน ถ้าฉันชนะ...ซึ่งคงจะเป็นอย่างนั้น เราสองคนจะกลับหมู่บ้าน แล้วเลิกสนใจเรื่องที่ครูยุทธเสนอ” ใหญ่ว่า

    “ก็ได้ แต่ถ้าฉันเป็นฝ่ายชนะ นายก็ต้องว่าตามฉัน” อรุณบอก

    “ตกลง...แต่มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก” ใหญ่ตอบรับอย่างมั่นใจ

    ดูเหมือนแค่การ พูดคุย คงไม่ทำให้สองคนนี้ได้ข้อสรุป อาวุธทั้งดาบ และมีดที่พึ่งได้รับมาถูกปักลงบนพื้น เสื้อสองตัวที่ตัดเย็บขึ้นจากผ้าทอผสมกับหนังสัตว์ในรูปแบบเดียวกัน ด้วยมือของคนคนเดียวกันถูกถอดออกแขวนไว้บนด้ามดาบ ก่อนที่ทั้งสองจะออกไปยืนประจัญหน้า เด็กหนุ่มคนอื่นๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ทั้งสองมี ต่างก็ไม่มีใครคิดที่จะเข้ามาห้ามปราม เพียงล้อมวงเพื่อรอดูเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น

    ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยที่ชื่ออรุณนั้นถูกยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะถูกทุ่มเหวี่ยงลงกับพื้น ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของรุ่งกับรัต เด็กชายหญิงทั้งสี่คนต่างเติบโตมาในช่วงวัยใกล้เคียงกัน จึงมักเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่ความสนุกสนานจะจบลงด้วยการที่ใหญ่เริ่มหาเรื่องคนอื่น และอรุณต้องกลับบ้านพร้อมกับบาดแผลที่บอกกับใครๆ ว่าเกิดจากการหกล้ม

    พ่อจะจับไหล่ทั้งสองของเขาเอาไว้อย่างมั่นคงพร้อมกับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาที่พยายามเก็บงำสิ่งต่างๆ เอาไว้ภายใน การกระทำนี้ของพ่อทำให้เขาเกิดความรู้สึก เกิดความคิดขึ้นหลากหลายในชั่วขณะนั้น แต่สุดท้ายแล้วเขาจะยังคงปิดปากเงียบ และพ่อก็จะไม่ถามอะไรอีกเกี่ยวกับการหกล้มพวกนั้น
    
ใหญ่ไม่ได้มีร่างกายที่สูงใหญ่กว่าคนอื่นตามชื่อเพียงเท่านั้น แต่เขายังมีวิธีการสารพัดที่จะใช้จัดการกับฝ่ายตรงข้ามมาตั้งแต่ยังเด็ก มันอาจเรียกได้ว่าเป็นความสามารถในการต่อสู้ที่สั่งสมขึ้นจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีอรุณและเด็กคนอื่นๆ เป็นคู่ซ้อมอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจให้กับเขา

    แต่ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว

    อรุณออกหมัดสองสามครั้งติดต่อกันพร้อมกับขยับตัวไปมาอย่างชำนาญท่ากลางเสียงเฮจากรอบวง ก่อนที่จะเตะติดต่อกันอีกสองครั้งแต่ก็ถูกใหญ่ปัดป้องเอาไว้ได้

    เมื่อเริ่มต้นการฝึก ครูยุทธได้แสดงการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่เรียกว่า มวย ให้กับทุกคน มันคือวิชาต่อสู้ที่มีพื้นฐานเป็นการใช้หมัดเท้าเพื่อ ต่อย เตะ ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งแทบทุกคนต่างก็คิดว่าตนเองรู้จักมันอยู่แล้ว จนกระทั่งครูยุทธได้ทำให้พวกเขาได้รับรู้ผ่านทางร่างกายจนทำให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดไปจากเดิม

    การเรียนรู้ร่วมกันโดยเริ่มตั้งแต่การกำหมัด การยืน การใช้เท้า การเคลื่อนไหว การป้องกัน การออกหมัด และการเตะอย่างถูกวิธีจึงเริ่มต้นขึ้น

    อรุณใช้มวยที่ฝึกฝนมาได้เป็นอย่างดี ครูยุทธนั้นเคยแปลกใจกับความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของเขามาแล้ว แค่ได้เห็นเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถที่จะทำท่าต่างๆ ได้อย่างถูกต้องไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่ใหญ่นั้นกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

    ใหญ่ต้องหลบการโจมตีอีกชุด เขาทำท่าเหมือนกำลังจะเสียหลักล้มลงก่อนที่จะคว้าแขนข้างหนึ่งซึ่งอรุณยกขึ้นเพื่อใช้ปิดป้องการจู่โจมไว้ได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับรอยยิ้มที่อรุณคุ้นเคย และแสนเกลียด

    ใหญ่ไม่เคยตั้งท่าต่อสู้ ไม่คำนึงถึงหลักการใดใด แต่เขาได้รวมเอามวยที่ได้รับการสั่งสอนนั้นไปเป็นส่วนหนึ่งในวิธีการต่อสู้ของเขาเอง ซึ่งดูเหมือนไร้หลักการ คาดเดาได้ยาก และทำให้หลายคนที่ได้เคยต่อสู้กับเขามาแล้วจะไม่อยากสู้อีก ท่วงท่าประหลาดไม่สวยงามแต่กลับใช้ได้ผล การพ่ายแพ้ให้กับเขาจึงนับเป็นความพ่ายแพ้ที่ชวนหงุดหงิดใจมากทีเดียว

    ใหญ่อาศัยน้ำหนักตัวดึงร่างของอรุณไปทางด้านข้างเพื่อให้เสียการทรงตัว การยืนในท่าเตรียมต่อสู้นั้นมีหลักการอยู่ที่สมดุล ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อลดความสูง ช่วยเพิ่มความมั่นคง เอียงลำตัวไปด้านข้างเพื่อลดขนาดพื้นที่ที่จะถูกจู่โจมจากทางด้านหน้า ปกป้องแนวกลางของร่างกายอันประกอบไปด้วยจุดสำคัญที่จะทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง การใช้เท้า การเคลื่อนที่ อยู่ในรูปแบบของวงกลม และเส้นโค้ง เพื่อลดการปะทะ และทั้งหมดนั้นตั้งอยู่บนการยืนด้วยสองขาอย่างมั่นคง

    การยืนซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกคนต่างลืมเลือนไปแล้วว่า พวกเราเคยต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดในช่วงวัยทารกกว่าที่จะสามารถยืนขึ้น และก้าวเดินได้เป็นครั้งแรก แต่พวกเราอาจจะได้รับรู้ถึงประสบการณ์นั้นอีกครั้งหากว่าได้รับบาดเจ็บจนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน นานจนกระทั่งร่างกายได้หลงลืมสิ่งธรรมดาที่เคยทำเป็นประจำตลอดมานับตั้งแต่ที่ได้ออกเดินก้าวแรกนั้น

    ชาล ดาวินซี ได้เขียนบันทึกเอาไว้ในหนังสือซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเล่มหนึ่ง มันเป็นบันทึกเก่าแก่ที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในส่วนที่ลึกลับที่สุดของห้องสมุดมหานคร มันลึกลับจนแม้แต่ คนเฝ้าหนังสือ ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งของผู้ดูแลห้องสมุดแห่งนี้ก็ยังไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน และเหล่าหนังสือพิลึกอื่นๆ อีกหลายเล่ม

    'การเคลื่อนที่ด้วยสี่ขาหรือมากกว่าย่อมมีความมั่นคงกว่าการเดินด้วยสองขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การยืนบนขาสองข้างของมนุษย์นั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างไปตลอดกาล มันได้ให้มุมมองที่สูงขึ้น กว้างไกลขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือมันได้ทำให้มนุษย์มีสองมือที่ว่างพอเพื่อจะใช้ทำสิ่งต่างๆ ที่มากไปกว่าการพยุงร่างกายเพื่อเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนเท่านั้น'
    
ชาลอาจไม่ได้ระบุอย่างเจาะจงลงไปว่าสองมือของมนุษย์ที่ว่างอยู่นี้จะก่อให้เกิดสิ่งใดขึ้นได้บ้าง แต่รูปวาด ภาพร่าง รวมถึงการออกแบบสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ที่ถูกวาดไว้ตามที่ว่างบนหน้ากระดาษในเล่มนี้จนรกไปหมดอาจเป็นเบาะแสให้อ่านได้ว่าดาวินซีผู้นี้คิดอย่างไร

    ภาพหนึ่งในนั้นเป็นเครื่องยิงหินขนาดใหญ่ที่ถูกปรับปรุงให้ยิงได้แม่นยำขึ้น แรงขึ้น และไกลขึ้นกว่าที่เคยมีมา ภาพร่างของรถศึกหุ้มเกราะที่ติดตั้งปืนพ่นไฟไว้โดยรอบ และมีทหารจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ภายใน ยังมีภาพของบางสิ่งซึ่งมีปีกคล้ายค้างคาวขนาดยักษ์ และน่าจะสามารถบินขึ้นไปบนฟากฟ้าเพื่อทิ้งสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนกับไข่ที่ลุกเป็นไฟซึ่งจะแตกระเบิดออกเพื่อให้เกิดเปลวไฟทำลายล้างกระจายเป็นวงกว้างลงมาจากที่สูง และภาพของสิ่งอื่นๆ ที่เหนือจินตนาการของคนทั่วไปอีกมากมาย และพวกมันทั้งหมดต่างน่าจะเป็นอาวุธทำลายล้างสูงที่ใช้ในการสงครามทั้งสิ้น

    และนั่นอาจแสดงให้เห็นถึงความคิดของ ชาล ดาวินซี ที่มีต่อมือที่ว่างลงของมนุษยชาติก็เป็นได้

    เสียงเฮดังขึ้นจากรอบวงเมื่อร่างของอรุณถูกดึงให้ล้มลงไป พร้อมกับร่างที่สูงใหญ่กว่าซึ่งจับแขนของเขาไว้แน่น ก่อนที่จะ หมุน ดึง บิดมันกลับไปทางด้านหลัง และนั่งทับร่างที่เล็กกว่าเอาไว้

    “ฉันว่านายควรจะรีบบอกยอมแพ้” ใหญ่ออกแรงดึงมากขึ้น “ก่อนที่...” อรุณรับรู้ได้ถึงแรงบิดที่เกิดขึ้นกับข้อต่อหัวไหล่ และข้อศอก ซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบไว้ให้สามารถเคลื่อนที่ไปในทิศทางดังกล่าว

    “อูว” เสียงร้องดังขึ้นรอบวง พร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวของอรุณ ครูยุทธเองก็เคยพบเห็นวิธีการต่อสู้ของใหญ่มาแล้วหลายครั้ง มันใกล้เคียงกับวิชาการต่อสู้ที่เรียกว่า มวยปล้ำ แต่เขารู้ว่าใหญ่ไม่เคยรู้จักวิชานี้มาก่อน เขาไม่ค่อยชอบมัน แต่เขาก็ต้องยอบรับว่ามันมีประสิทธิภาพไม่น้อย

    ก่อนที่จะมีวิชาการต่อสู้ประเภทต่างๆ เกิดขึ้น ทุกคนต่างต้องต่อสู้กันด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง จนกระทั่งมีการรวบรวมวิธีการที่ใช้ให้กลายมาเป็นวิชาการต่อสู้อย่างมีหลักการขึ้น แต่มันต้องมีคนที่เหมือนกับใหญ่แบบนี้ก่อน คนที่ต่อสู้ด้วยร่างกาย และจิตใจของตนเอง

    หลายคนอาจคิดว่าความสนุกสนานในครั้งนี้คงจบลงแล้ว แต่อดีตทหารรับจ้างผู้นี้ยังไม่อยากจะแน่ใจนัก

    “...นายอยากกลับบ้านจริงๆ หรืออยากรีบกลับไปหาใครกันแน่” อรุณกัดฟันกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน

    ชั่วขณะหนึ่งที่ผิวหน้าเข้มเกรียมแดดของใหญ่ดูเหมือนจะเข้มขึ้นกว่าเดิม
    “ไอ้บ้า” ใหญ่กำลังจะเพิ่มแรงบิดไปที่แขน แต่อรุณนั้นรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว จะมีใครรู้จักวิธีการต่อสู้ของใหญ่มากไปกว่าเขาที่เคยโดนรังแกอยู่เป็นประจำผู้นี้อีก

    อรุณกัดฟันเกร็งคอแล้วใช้ขายันลำตัวให้ยกขึ้นเพื่อเหวี่ยงร่างของใหญ่ให้พุ่งลอยข้ามตัวเขาไปทางด้านหน้า พร้อมกับเกร็งแขนข้างที่ถูกจับบิดไว้อย่างเต็มที่ หลายคนที่อยู่รอบวงถึงกับปิดตาพร้อมกับสูดปากร้องด้วยความหวาดเสียวว่าแขนของอรุณอาจถูกบิดจนข้อต่อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง หรืออาจเลวร้ายกว่านั้นคือข้อต่อจุดใดจุดหนึ่งอาจหลุดออกได้เลยทีเดียว

    แต่ดูเหมือนร่างกายของอรุณที่เคยถูกรังแกมาตั้งแต่เด็กนั้นแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังการจมน้ำจนเกือบตายในครั้งนั้นได้ทำให้เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่มีร่างกายแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร

    'เสี่ยงเกินไป' คือความเห็นของครูยุทธ อรุณอาจได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากการกระทำในครั้งนี้ เด็กที่ดูเหมือนจะมีความคิดลึกซึ้งอย่างอรุณกลับชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ขึ้นมาในบางครั้ง ในขณะที่คนที่ดูห้าวๆ อย่างใหญ่กลับมีการวางแผนในบางเรื่อง นั่นคือความเป็นคู่หูจอมแสบของทั้งสอง ที่อาจไปด้วยกันได้ดี 'หรือไม่ก็อาจเลวร้ายไปเลย'

    และมันยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้เขาอยากได้ทั้งสองมาร่วมในภารกิจครั้งนี้

    “เอ้า เอ้า เอ้า พอกันได้หรือยัง” ครูยุทธพยายามที่จะเดินแทรกเข้าไปในวงล้อม แต่เด็กหนุ่มที่อยู่รอบๆ ก็พยายามกันเขาเอาไว้พร้อมกับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เสียงเฮยังคงดังขึ้นไม่ขาด และสองคนตรงกลางวงก็ยังไม่คิดที่จะหยุด

    “...แล้วนายล่ะ ไม่คิดอยากกลับไปหาใครเลยหรือไง” ใหญ่เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง “ฉันหมายถึง...พ่อของนายน่ะ นายคงไม่มีใครให้ต้องคิดถึงอีกแล้วนี่” เขาตั้งใจจะหมายถึงเด็กสาวคนใดสักคนเหมือนกับที่อรุณหมายถึง ใคร คนนั้นที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเขาก็ถึงกับสะดุ้ง

    'ซวยแล้ว' ดูเหมือนอรุณจะคิดไปไกลกว่าการแซวเล่นของเขา “...เดี๋ยวนะ...ฉันหมายถึงเรื่องผู้หญิง...ฉันแค่จะ...ฉันไม่ได้หมายถึง...” เขาพยายามจะแก้ตัว “...แม่”

    คำนั้นทำให้ร่างของอรุณพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่จริงแล้วมันเป็นระยะต่อสู้ที่ใหญ่ถนัด แต่ตอนนี้เขาไม่มีใจที่จะทำอะไรนอกจากอยากแก้ไขเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดกันนี้ ในจังหวะชุลมุนนั้นเข่าของอรุณก็พุ่งกระแทกเข้ามาที่ท้อง มันไม่ใช่วิชามวยแบบที่ครูยุทธสอนอีกแล้ว เขารีบผลักร่างของเพื่อนออกไป แต่อรุณก็ยังจะพุ่งกลับเข้าใส่อยู่ดี

    ในท่ามกลางความรู้สึกถึงอันตราย ใหญ่จึงรีบหมุนตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับอ้อมไปทางด้านหลังของเพื่อนแล้วย่อตัวลง สองแขนนั้นรวบแขนทั้งสองพร้อมทั้งโอบรัดลำตัวของเพื่อนเอาไว้แน่น ศีรษะของอรุณในตอนนี้อยู่สูงกว่าของตัวเขาเอง หากเขาเหยียดตัวขึ้นพร้อมกับหงายร่างไปทางด้านหลังด้วยท่าสะพานโค้ง ศีรษะของอรุณก็จะกระแทกถูกพื้นก่อนของตัวเขาเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่