บทนำ และบทที่ 1 :
http://pantip.com/topic/33291401
บทที่ 2 :
http://pantip.com/topic/33336819
บทที่ 3 :
http://pantip.com/topic/33371077
บทที่ 4 :
http://pantip.com/topic/33400940
บทที่ 5 :
http://pantip.com/topic/33441604
บทที่ 6 :
http://pantip.com/topic/33468471
================================
บทที่ 7
“เราเพิ่งรู้ว่า การเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับวาระของผู้อื่นนี่เป็นกิจของท่านด้วย”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขัดจังหวะชายที่กำลังเอกเขนกอยู่บนผืนหญ้า หากปักษธรไม่ใส่ใจคำทักทาย ชายหนุ่มมองตรงไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่เพลานี้เดือนสุกสว่าง ทอแสงนวลคลุมทั้งลานเทวาจนสถานที่แห่งนี้เรื่อเรืองไปด้วยรัศมีจันทร์ ผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะยามพักผ่อนยืนรออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปชิด ปรายตามองร่างที่ยังพักพิงบนผืนดิน บุรุษผู้กำลังผ่อนอารมณ์เหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย
“นั่งสิท่าน ไม่ต้องเกรงใจ” เขาเอ่ยลอยๆ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งไม่ไหวติง เงามืดทอดยาวบดบังแสงสว่างเสียสิ้น จนชายที่กำลังดื่มด่ำกับความงามของเดือนเพ็ญต้องเอ่ยปากย้ำอีกครั้ง “นั่งสิ ไม่ต้องเกรงใจเราหรอกนะ ผืนแผ่นดินนี้มิได้มีผู้ใดเป็นเจ้าของ เราไม่หวงไม่ห้าม หรือถ้าท่านเกรงใจนัก จะไปถามแม่อุมาดูก็ได้”
คำตอบที่ได้รับยังเป็นความเงียบเฉย จนปักษธรถอนหายใจเบาๆ ขยับตัวขึ้นนั่งบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย
หากมีใครสักคนมาเฝ้ามอง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคงทำให้ประหลาดใจไม่น้อย ดังอดีตอันยาวไกลตัดกับปัจจุบันให้เห็นตรงหน้า เมื่อบุรุษผู้มาเยือนอยู่ในชุดสูทสีดำราคาแพง ทันสมัยไปทั้งตัวราวก้าวออกมาจากนิตยสาร ที่น่าแปลกคือ แม้ร่างนั้นจะกลืนไปกับความมืดมิดของราตรีกาล หากรัศมีอ่อนจางที่แผ่ออกมาทำให้เห็นเป็นเงาร่างคน อีกบุรุษนั่นเล่า...แม้จะสวมเพียงผ้านุ่งสีขาวเรียบ ไร้ลวดลายแพรวพราว หากรัศมีกายส่องประกายเรืองรองล้อกับแสงจันทร์ที่สาดส่องมา ผสานกับความพริบพราวของอัญมณีสีขาวบนพาหุรัดที่ประดับต้นแขน และปิ่นทองที่ปลายเป็นยอดเป็นมรกตเม็ดงาม
ดั่งความมืดตัดแสงสว่าง...
ทว่า...ความแตกต่างของอาภรณ์นั้นมิใช่สิ่งที่ทั้งคู่ใส่ใจ ตาสบตา ต่างฝ่ายต่างมองราวจะค้นให้เห็นความคิด ท่าทีที่แสดงต่อกันประหนึ่งประเมินกำลังของอีกฝ่าย เพียงชั่วพริบตา ผู้ที่อยู่ในชุดโบราณก็คลี่ยิ้มมุมปาก เอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน “อ้อ นึกว่าผู้ใด ท่านนี่เอง ไม่เจอกันเสียนานนะ เทพบุตรผู้’เลื่อน’ตำแหน่งไปเป็น’เทวบุตรมาร’นี่เอง มีอันใดให้เรารับใช้หรือ ถึงต้องข้ามมาถึงบ้านนอกขนาดนี้ บุกป่าฝ่าดงเข้ามาหา”
เขาเอ่ยทักทาย ‘คนรู้จัก’ อย่างรื่นรมย์ตามนิสัย หากดูเหมือน ‘คนรู้จัก’ นั้นจะไม่สบอารมณ์กับคำที่เอ่ยสักเท่าใด นัยน์ตาคู่คมจึงหรี่ลงอย่างหมายมาด ตอบกลับเสียงเรียบ
“สวัสดี นึกว่าเป็นเทวาองค์ใด ที่แท้คนธรรพ์ น่าแปลกนะ เทพาอารักษ์แถวนี้เขาไม่อยู่หรือท่าน จึงต้องไหว้วานท่านมาเฝ้าที่”
น้ำเสียงนุ่มนวลแต่เนื้อความช่างระคายหูนัก ปักษธรยังคงยิ้มน้อยๆตามปกติ เอ่ยตอบรื่นเริง
“เราว่างงานน่ะ ถึงได้มาเดินเล่นแถวนี้ ที่ทางสงบดี ว่าแต่ท่านเถอะ ว่างหรือไร ถึงได้ดั้นด้นมาที่นี่เชียวหรือ ท่านศาสวัต!”
“มิต้องยกย่องเราขนาดนั้นหรอก ท่านปักษธร เรามันคนคุ้นเคย แม้ไม่เจอกันนับศตกพรรษ [1]” ชายหนุ่มย้อน สำนวนเจรจาช่างประหลาดล้ำ สุ้มเสียงผิดไปจากนักธุรกิจหนุ่มที่มาเจรจาขอซื้อที่ดินจากคุณนายอุมานัก
“นั่นสินะ” ปักษธรพยักหน้าน้อยๆ “แล้วไยเทวบุตรมารจุติจากฟ้ามาเป็นมนุษย์เล่า มีเศษกรรมอันใดที่ต้องมาสางให้บรรลุหรือท่าน”
คำถามยอกย้อนจุดประกายโทสะวาบขึ้นในแววตา อารมณ์ของมนุษย์ผู้ก้าวเข้ามาเจรจาคุกรุ่นขึ้นจนคุมแทบไม่อยู่ สำเนียงที่ตอบจึงกระแทกหนักเจือด้วยแรงโกรธ
“มิได้ เรามีงาน จึงอาสามา”
“กะอีแค่งานซื้อที่ดินจากหญิงชรา ต้องทำให้เทวบุตรมารอุบัติมาเป็นมนุษย์กระนั้นหรือ” ปักษธรเบิกตากว้าง ยกมือทาบอกด้วยท่าทีเสแสร้ง “คุณพระ! ท่านอย่าบอกเรานะว่า ท่านท้าววสวัตตี [2] ให้ท่านมาเจรจาซื้อที่ดินแห่งนี้ จะทำแดนโลกันต์สาขาใหม่หรือท่าน”
นัยน์ตาคมสีดำสนิทลุกวาบราวมีเพลิงบรรจุอยู่ภายใน หากเพียรพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ มือกำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว เขาสูดลมหายใจสั้น แย้มริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น ริมฝีปากแย้มออกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น
“แล้วท่านเล่า ได้รับบัตรพลี [3] มาเป็นอามิสสินจ้าง ให้มาเฝ้าที่ดินแทนเทพารักษ์กระนั้นหรือ?”
บุรุษในชุดขาวกระพริบตาน้อยๆ พลางทอดถอนใจ
“เราน่ะ รับใช้ผู้ที่สร้างบุญกุศลเสมอล่ะท่าน คอยปัดเป่ามิให้มารผจญมากล้ำกราย” น้ำเสียงยังนุ่มนวลเจือด้วยรอยขบขัน รอยยิ้มน้อยๆยังเกลื่อนทั่วใบหน้า “จะว่าไป เราก็คนกันเองล่ะนะ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอแค่นี้ก็คงพอมั้ง ว่าแต่มีธุระอะไรก็ว่ามาเถิด”
“ท่านรู้อยู่แล้วนี่”
“เรามิใช่สัพพัญญู [4]”
ยอกย้อน!
ศาสวัตคิดในใจพลางเหลียวมองรอบลานเทวา อาณาบริเวณตรงนี้ถูกปกคลุมด้วยข่ายจิตอันสงบเย็น และมั่นคงจนมิอาจใช้ตาทิพย์สอดส่ายเข้ามาดูได้ ข่ายมนต์นี้มิใช่สิ่งที่จะเนรมิตได้ภายในพริบตา หากถูกถักทอมาหลายสิบปี มิหนำซ้ำ หญิงชราผู้เป็นเจ้าของเองก็ทราบดีว่าที่นี่มีผู้ดูแล ทำบุญอุทิศให้ผู้รักษาสถานที่แห่งนี้มิได้ขาด แล้วเช่นนี้ปักษธรจะบอกว่าตนมิรู้ได้อย่างไร
==================
[1] ศตกพรรษ – ศะ-ตก-พัด หมายถึง เวลาร้อยปี
[2] ท้าววสวัตตี หรือ ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี – องค์มาราธิราชผู้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
[3] บัตรพลี - ภาชนะทำด้วยกาบกล้วย เป็นรูปกระบะสี่เหลี่ยม สำหรับวางเครื่องเซ่นสังเวย ในที่นี้หมายถึงเครื่องเซ่นไหว้
[4] สัพพัญญู – ผู้รู้แจ้ง
= = = กลเทวา บทที่ 7 = = =
บทที่ 2 : http://pantip.com/topic/33336819
บทที่ 3 : http://pantip.com/topic/33371077
บทที่ 4 : http://pantip.com/topic/33400940
บทที่ 5 : http://pantip.com/topic/33441604
บทที่ 6 : http://pantip.com/topic/33468471
================================
บทที่ 7
“เราเพิ่งรู้ว่า การเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับวาระของผู้อื่นนี่เป็นกิจของท่านด้วย”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขัดจังหวะชายที่กำลังเอกเขนกอยู่บนผืนหญ้า หากปักษธรไม่ใส่ใจคำทักทาย ชายหนุ่มมองตรงไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่เพลานี้เดือนสุกสว่าง ทอแสงนวลคลุมทั้งลานเทวาจนสถานที่แห่งนี้เรื่อเรืองไปด้วยรัศมีจันทร์ ผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะยามพักผ่อนยืนรออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปชิด ปรายตามองร่างที่ยังพักพิงบนผืนดิน บุรุษผู้กำลังผ่อนอารมณ์เหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย
“นั่งสิท่าน ไม่ต้องเกรงใจ” เขาเอ่ยลอยๆ แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งไม่ไหวติง เงามืดทอดยาวบดบังแสงสว่างเสียสิ้น จนชายที่กำลังดื่มด่ำกับความงามของเดือนเพ็ญต้องเอ่ยปากย้ำอีกครั้ง “นั่งสิ ไม่ต้องเกรงใจเราหรอกนะ ผืนแผ่นดินนี้มิได้มีผู้ใดเป็นเจ้าของ เราไม่หวงไม่ห้าม หรือถ้าท่านเกรงใจนัก จะไปถามแม่อุมาดูก็ได้”
คำตอบที่ได้รับยังเป็นความเงียบเฉย จนปักษธรถอนหายใจเบาๆ ขยับตัวขึ้นนั่งบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย
หากมีใครสักคนมาเฝ้ามอง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคงทำให้ประหลาดใจไม่น้อย ดังอดีตอันยาวไกลตัดกับปัจจุบันให้เห็นตรงหน้า เมื่อบุรุษผู้มาเยือนอยู่ในชุดสูทสีดำราคาแพง ทันสมัยไปทั้งตัวราวก้าวออกมาจากนิตยสาร ที่น่าแปลกคือ แม้ร่างนั้นจะกลืนไปกับความมืดมิดของราตรีกาล หากรัศมีอ่อนจางที่แผ่ออกมาทำให้เห็นเป็นเงาร่างคน อีกบุรุษนั่นเล่า...แม้จะสวมเพียงผ้านุ่งสีขาวเรียบ ไร้ลวดลายแพรวพราว หากรัศมีกายส่องประกายเรืองรองล้อกับแสงจันทร์ที่สาดส่องมา ผสานกับความพริบพราวของอัญมณีสีขาวบนพาหุรัดที่ประดับต้นแขน และปิ่นทองที่ปลายเป็นยอดเป็นมรกตเม็ดงาม
ดั่งความมืดตัดแสงสว่าง...
ทว่า...ความแตกต่างของอาภรณ์นั้นมิใช่สิ่งที่ทั้งคู่ใส่ใจ ตาสบตา ต่างฝ่ายต่างมองราวจะค้นให้เห็นความคิด ท่าทีที่แสดงต่อกันประหนึ่งประเมินกำลังของอีกฝ่าย เพียงชั่วพริบตา ผู้ที่อยู่ในชุดโบราณก็คลี่ยิ้มมุมปาก เอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน “อ้อ นึกว่าผู้ใด ท่านนี่เอง ไม่เจอกันเสียนานนะ เทพบุตรผู้’เลื่อน’ตำแหน่งไปเป็น’เทวบุตรมาร’นี่เอง มีอันใดให้เรารับใช้หรือ ถึงต้องข้ามมาถึงบ้านนอกขนาดนี้ บุกป่าฝ่าดงเข้ามาหา”
เขาเอ่ยทักทาย ‘คนรู้จัก’ อย่างรื่นรมย์ตามนิสัย หากดูเหมือน ‘คนรู้จัก’ นั้นจะไม่สบอารมณ์กับคำที่เอ่ยสักเท่าใด นัยน์ตาคู่คมจึงหรี่ลงอย่างหมายมาด ตอบกลับเสียงเรียบ
“สวัสดี นึกว่าเป็นเทวาองค์ใด ที่แท้คนธรรพ์ น่าแปลกนะ เทพาอารักษ์แถวนี้เขาไม่อยู่หรือท่าน จึงต้องไหว้วานท่านมาเฝ้าที่”
น้ำเสียงนุ่มนวลแต่เนื้อความช่างระคายหูนัก ปักษธรยังคงยิ้มน้อยๆตามปกติ เอ่ยตอบรื่นเริง
“เราว่างงานน่ะ ถึงได้มาเดินเล่นแถวนี้ ที่ทางสงบดี ว่าแต่ท่านเถอะ ว่างหรือไร ถึงได้ดั้นด้นมาที่นี่เชียวหรือ ท่านศาสวัต!”
“มิต้องยกย่องเราขนาดนั้นหรอก ท่านปักษธร เรามันคนคุ้นเคย แม้ไม่เจอกันนับศตกพรรษ [1]” ชายหนุ่มย้อน สำนวนเจรจาช่างประหลาดล้ำ สุ้มเสียงผิดไปจากนักธุรกิจหนุ่มที่มาเจรจาขอซื้อที่ดินจากคุณนายอุมานัก
“นั่นสินะ” ปักษธรพยักหน้าน้อยๆ “แล้วไยเทวบุตรมารจุติจากฟ้ามาเป็นมนุษย์เล่า มีเศษกรรมอันใดที่ต้องมาสางให้บรรลุหรือท่าน”
คำถามยอกย้อนจุดประกายโทสะวาบขึ้นในแววตา อารมณ์ของมนุษย์ผู้ก้าวเข้ามาเจรจาคุกรุ่นขึ้นจนคุมแทบไม่อยู่ สำเนียงที่ตอบจึงกระแทกหนักเจือด้วยแรงโกรธ
“มิได้ เรามีงาน จึงอาสามา”
“กะอีแค่งานซื้อที่ดินจากหญิงชรา ต้องทำให้เทวบุตรมารอุบัติมาเป็นมนุษย์กระนั้นหรือ” ปักษธรเบิกตากว้าง ยกมือทาบอกด้วยท่าทีเสแสร้ง “คุณพระ! ท่านอย่าบอกเรานะว่า ท่านท้าววสวัตตี [2] ให้ท่านมาเจรจาซื้อที่ดินแห่งนี้ จะทำแดนโลกันต์สาขาใหม่หรือท่าน”
นัยน์ตาคมสีดำสนิทลุกวาบราวมีเพลิงบรรจุอยู่ภายใน หากเพียรพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ มือกำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว เขาสูดลมหายใจสั้น แย้มริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น ริมฝีปากแย้มออกเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น
“แล้วท่านเล่า ได้รับบัตรพลี [3] มาเป็นอามิสสินจ้าง ให้มาเฝ้าที่ดินแทนเทพารักษ์กระนั้นหรือ?”
บุรุษในชุดขาวกระพริบตาน้อยๆ พลางทอดถอนใจ
“เราน่ะ รับใช้ผู้ที่สร้างบุญกุศลเสมอล่ะท่าน คอยปัดเป่ามิให้มารผจญมากล้ำกราย” น้ำเสียงยังนุ่มนวลเจือด้วยรอยขบขัน รอยยิ้มน้อยๆยังเกลื่อนทั่วใบหน้า “จะว่าไป เราก็คนกันเองล่ะนะ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอแค่นี้ก็คงพอมั้ง ว่าแต่มีธุระอะไรก็ว่ามาเถิด”
“ท่านรู้อยู่แล้วนี่”
“เรามิใช่สัพพัญญู [4]”
ยอกย้อน!
ศาสวัตคิดในใจพลางเหลียวมองรอบลานเทวา อาณาบริเวณตรงนี้ถูกปกคลุมด้วยข่ายจิตอันสงบเย็น และมั่นคงจนมิอาจใช้ตาทิพย์สอดส่ายเข้ามาดูได้ ข่ายมนต์นี้มิใช่สิ่งที่จะเนรมิตได้ภายในพริบตา หากถูกถักทอมาหลายสิบปี มิหนำซ้ำ หญิงชราผู้เป็นเจ้าของเองก็ทราบดีว่าที่นี่มีผู้ดูแล ทำบุญอุทิศให้ผู้รักษาสถานที่แห่งนี้มิได้ขาด แล้วเช่นนี้ปักษธรจะบอกว่าตนมิรู้ได้อย่างไร
==================
[1] ศตกพรรษ – ศะ-ตก-พัด หมายถึง เวลาร้อยปี
[2] ท้าววสวัตตี หรือ ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี – องค์มาราธิราชผู้เป็นจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
[3] บัตรพลี - ภาชนะทำด้วยกาบกล้วย เป็นรูปกระบะสี่เหลี่ยม สำหรับวางเครื่องเซ่นสังเวย ในที่นี้หมายถึงเครื่องเซ่นไหว้
[4] สัพพัญญู – ผู้รู้แจ้ง