ตอนที่ ๑ เสาะแสวงหาที่
http://pantip.com/topic/33479421
********
ตอนที่ ๒ ยังไงๆ มันก็ต้องเป็นของเรา
"เรานี้อยากจะรวบบ้านเรือนของเธอทั้งหลาย
และหว่านโปรยมันลงยังป่าและทุ่ง
เหมือนดังชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เราอยากจะให้หุบเขานั้นเป็นถนนใหญ่
และทางผ่านท้องทุ่งเขียวชอุ่มเป็นทางเดินของเธอ
เพื่อว่าเธอจะได้เที่ยวหากันและกันในไร่องุ่น
และมีกลิ่นไอของดินติดเสื้อผ้ามา"
- บางตอนจากหนังสือ ปรัชญาชีวิต / คาลิล ยิบราน -
ตอนที่ ๒ นี้...ข้าพเจ้าขอคั่นเรื่องหนังสือสัญญาและแปลนบ้านก่อนนะครับ
เจ้าของที่ดิน...แกเป็นผู้หญิงแก่คนหนึ่งที่มีฐานะ มีที่ดินมากมาย และเป็นผู้กว้างขวางในตลาด
แกปล่อยเงินกู้ ส่วนใครมีที่ดินก็เอามาจดจำนองหรือค้ำประกันกับแกไว้ โดยต้องเอาไปจดทะเบียนขายฝากที่สำนักงานที่ดิน
ส่วนตัวข้าพเจ้าเท่าที่ได้สนทนากับเจ้าของที่ที่จะขายนั้น ป้าแกก็เป็นตรงๆ แฟร์ๆ ออกจะพูดคุยง่าย และเป็นกันเองด้วยซ้ำ
"ป้าครับ ทำไมถึงจะขายที่ผืนนี้แหละ" ผมโพล่งถามขณะมือพลิกดูด้านหลังโฉนดที่ดิน
"ฉันมีที่เยอะแยะ แก่แล้วดูแลไม่ไหว แถวนั้นฉันมีตั้งหลายแปลง" แกตอบทันควัน
"โห แล้วป้าจะขายหมดทุกแปลงเลยหรือเปล่า" ผมถามต่อ
"ก็ค่อยๆ ขายไป เก็บไว้ก็ไม่รู้จะทำอะไร แต่แปลงที่หนูสนใจถือว่าเป็นแปลงที่สวยเลยน่ะ" แกว่า
ตอนนั้น...ผมกับแฟนยังไม่มีเงินสดพอที่จะซื้อแล้วจูงมือป้าแกไปโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดิน
จึงต้องเจรจาปราศรัยพร้อมทั้งบอกเหตุผลตามความเป็นจริง เพราะอยากได้ที่ดินแปลงนี้มาสร้าง "
บ้านหลังแรก"
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า...แกตอบตกลง ส่วนหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่า แกกับแฟนของข้าพเจ้าคงถูกชะตากันด้วย
ในที่สุด ข้าพเจ้ากับแฟนยินดีวางเงินมัดจำให้แกไปสองแสนบาทถ้วน พร้อมกับทำข้อตกลงใน
เอาละหวา เสียเงินไปสองแสนแล้วได้กระดาษมากกกอดหนึ่งแผ่น หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ดังมหรสพโรงใหญ่
งานนี้มีลุ้นหวาดเสียว มีหนาววาบ แต่ด้วยความที่เชื่อใจและวางใจกันเป็นทุน อีกทั้งข้าพเจ้าลองหยั่งเชิงป้าแกดู...
"ป้าครับ ระหว่างนี้ผมขอเข้าไปปรับปรุง ตัดโค่นไม้ที่รกๆ และอาจจะถมดินไปพลางๆ ก่อนได้มั้ย" ข้าพเจ้าถามแบบวัดใจ
"ได้สิ ทำไปก่อนก็ดี ที่จะได้โล่ง หนูอยากทำไรก็ทำไปเถอะ ป้าไม่ว่าหรอกจ้ะ." แกตอบก่อนแย้มสรวล
ถือเป็นเรื่องที่น่าพอใจยิ่ง เมื่อข้าพเจ้าสามารถเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินได้ด้วย
แต่ก็อีกนั่นแหละ...ใน
"หนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ" นั้น
ตรงข้อ 4) เกิดป้าแกผิดสัญญาก็วุ่นวายนะสิ
"แต่ถ้าผู้จะขายเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้จะขายยอมให้ผู้จะซื้อฟ้องศาลบังคับคดีได้ทันที
และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้ออีกส่วนหนึ่งเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท"
ที่กลัวๆ หวั่นๆ คือ ถ้าข้าพเจ้าจัดการที่ดินผืนนี้จนเรียบเตียนและถมดินให้ดูดีเรียบร้อย
พลันจู่ๆ มีคนผ่านมาพบเห็นแล้วเกิดสนใจอยากได้ใคร่ครอง พร้อมทั้งเสนอให้ราคาซื้อที่มากกว่า
เอาละสิ เรื่องภาษาทางกฎหมายนั้น ข้าพเจ้าก็แค่รู้งูๆ ปลาๆ ซะด้วย เห็นทีต้องคีย์ถามจากกูเกิลเพื่อความกระจ่าง
"เมื่อท่านได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อได้วางเงินมัดจำแล้วในวันทำสัญญา
เงินมัดจำย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญาจะซื้อจะขายได้ทำกันขึ้นแล้ว
และมัดจำย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย
ท่านและผู้ซื้อจึงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาจะซื้อขายตาม ป.พ.พ.มาตรา 377
ดังนั้น หากท่านทำสัญญาขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อรายที่ 2 โดยหวังที่จะได้ราคาที่สูงกว่า
โดยไม่ใยดีต่อการที่จักต้องปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายกับผู้ซื้อรายแรก
ผู้ซื้อนั้นชอบที่จะฟ้องต่อศาลเพื่อบังคับให้ท่านปฏิบัติตามสัญญาได้ เพราะว่าท่านเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น
กรณีไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ผู้ขายคืนเงินมัดจำให้แก่ฝ่ายผู้ซื้อเพื่อเป็นการบอกเลิกสัญญาแต่ประการใด"
ที่มา :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.decha.com/main/showTopic.php?id=7732
ที่แน่ๆ ฝ่ายข้าพเจ้าไม่อยากขึ้นศาลให้เสียเวลา และก็ไม่กล้าผิดสัญญาหรอก เพราะประโยคที่ว่า...
"ถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปรับโอน ให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันยกเลิก โดยผู้จะขายไม่จำต้องบอกกล่าว
และผู้จะซื้อยินยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำที่ชำระแล้วได้ทั้งหมด"
ที่สุดข้าพเจ้าก็จ่ายเงินมัดจำเรื่องที่ดินไปราวต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๕๗
คิดดูสิ เงินส่วนที่เหลือที่ต้องจ่ายให้ป้าแกไม่เกินวันที่ ๓๑ มกราคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๘
เวลาแปดเก้าเดือนที่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ได้แต่คิดว่า...
"ถ้าที่ผืนนี้จะเป็นของเรา ยังไงๆ มันก็ต้องเป็นของเรา"
เอาเป็นว่าตอนนี้มาดูรูปแปลนแบบบ้านที่ข้าพเจ้ากับแฟนตกลงปลงใจกันเป็นเอกฉันท์ดีกว่า
(หากรูปไม่ชัดก็ขออภัยอย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ใช้กล้องมือถือถ่าย)
ส่วนเรื่องความคืบหน้าของที่ดินคงต้องมาบอกเล่าในตอนต่อไป แน่นอนว่าเวลาผ่านไป ที่ดินผืนนี้ย่อมเปลี่ยนไป...
แต่ยังก่อน...เรื่องสร้างบ้านเป็นเรื่องใหญ่และใหม่สำหรับข้าพเจ้า รวมถึงเรื่องเงินที่ต้องจ่ายหนักเอาการอยู่
อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรก ด้วยเหตุปัจจัยส่วนตัวจึงอยากสร้างบ้านแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
ค่อยๆ ชื่นชมกับความเปลี่ยนแปลงที่แปลกตา เฝ้ามองและรอคอยผืนดินรกๆ ที่วันหนึ่งจะกลายเป็นบ้าน
ซึมซับกับวันเวลาที่จะบ้านค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่าง แม้นจะไม่ได้ยึดกับสุภาษิตที่ว่า "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" สักเท่าไหร่นัก
แต่บางทีก็ต้องอาศัยการตกตะกอนทางความคิดกันบ้าง เผื่อมีไอเดียใหม่ๆ บรรเจิด แล้วก็ดำเนินชีวิตไปแบบไม่ซีเรียส ไม่ว้าวุ่น
หน้าตาบ้านชั้นเดียวด้านหน้าที่ดูธรรมดาๆ
ด้านอื่นๆ ซึ่งยังต้องแก้ไขแบบอีก ประตู หน้าต่าง หรือกระจกยังไม่ถูกใจ มีเปลี่ยนแน่ๆ
รูปผังบริเวณ อีกนั่นแหละที่ต้องแก้ คนออกแบบก็เจตนาดีอยากให้มีพื้นที่สนามหญ้าเยอะ
แปลนบ้านที่ค่อนข้างจะลงตัว ซึ่งยังต้องปรับจูนกันอีกสักรอบสองรอบ
นี่คือส่วนที่ข้าพเจ้าขอเสริมนอกเหนือจากตัวบ้าน ><
ในเมื่อสร้างบ้านชั้นเดียว งั้นขอพื้นที่สูงไว้ดื่มเหล้าเสพบรรยากาศยามเย็นย่ำสักหน่อย
แปลนระบบประปา-สุขาภิบาล
********
ว่ากันความจริงแล้วข้าพเจ้ากับแฟนก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างในเรื่องแบบแปลนบ้าน
นั่นเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยมากมายนัก เกรงจะดูแลและทำความสะอาดไม่ทั่วถึง
กอปรกับอยู่กันเพียงสองคน (อาจให้แม่มาอยู่บ้าง) ซึ่งเมื่อบ้านเสร็จก็ตั้งใจจะเลี้ยงน้องหมาไว้สักสองตัวเป็นเพื่อน
พูดถึงน้องหมา....เล็งๆ ไว้ที่พันธุ์บลูด็อกกับหลังอานสีสวาทอย่างละหนึ่งตัว
ตอนนี้ ข้าพเจ้าขอจบตอนของกระทู้นี้ก่อนนะ...แล้วไว้จะเรียบเรียงต่อ
และขอขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบ เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็แสนสุขใจแล้วครับ
***
>> บ้านหลังแรกที่รอวันเป็นจริง...แต่ตอนนี้ยังก่อน ตอนที่ ๒ <<
http://pantip.com/topic/33479421
********
ตอนที่ ๒ ยังไงๆ มันก็ต้องเป็นของเรา
และหว่านโปรยมันลงยังป่าและทุ่ง
เหมือนดังชาวนาหว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เราอยากจะให้หุบเขานั้นเป็นถนนใหญ่
และทางผ่านท้องทุ่งเขียวชอุ่มเป็นทางเดินของเธอ
เพื่อว่าเธอจะได้เที่ยวหากันและกันในไร่องุ่น
และมีกลิ่นไอของดินติดเสื้อผ้ามา"
- บางตอนจากหนังสือ ปรัชญาชีวิต / คาลิล ยิบราน -
ตอนที่ ๒ นี้...ข้าพเจ้าขอคั่นเรื่องหนังสือสัญญาและแปลนบ้านก่อนนะครับ
เจ้าของที่ดิน...แกเป็นผู้หญิงแก่คนหนึ่งที่มีฐานะ มีที่ดินมากมาย และเป็นผู้กว้างขวางในตลาด
แกปล่อยเงินกู้ ส่วนใครมีที่ดินก็เอามาจดจำนองหรือค้ำประกันกับแกไว้ โดยต้องเอาไปจดทะเบียนขายฝากที่สำนักงานที่ดิน
ส่วนตัวข้าพเจ้าเท่าที่ได้สนทนากับเจ้าของที่ที่จะขายนั้น ป้าแกก็เป็นตรงๆ แฟร์ๆ ออกจะพูดคุยง่าย และเป็นกันเองด้วยซ้ำ
"ป้าครับ ทำไมถึงจะขายที่ผืนนี้แหละ" ผมโพล่งถามขณะมือพลิกดูด้านหลังโฉนดที่ดิน
"ฉันมีที่เยอะแยะ แก่แล้วดูแลไม่ไหว แถวนั้นฉันมีตั้งหลายแปลง" แกตอบทันควัน
"โห แล้วป้าจะขายหมดทุกแปลงเลยหรือเปล่า" ผมถามต่อ
"ก็ค่อยๆ ขายไป เก็บไว้ก็ไม่รู้จะทำอะไร แต่แปลงที่หนูสนใจถือว่าเป็นแปลงที่สวยเลยน่ะ" แกว่า
ตอนนั้น...ผมกับแฟนยังไม่มีเงินสดพอที่จะซื้อแล้วจูงมือป้าแกไปโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดิน
จึงต้องเจรจาปราศรัยพร้อมทั้งบอกเหตุผลตามความเป็นจริง เพราะอยากได้ที่ดินแปลงนี้มาสร้าง "บ้านหลังแรก"
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า...แกตอบตกลง ส่วนหนึ่งข้าพเจ้าคิดว่า แกกับแฟนของข้าพเจ้าคงถูกชะตากันด้วย
ในที่สุด ข้าพเจ้ากับแฟนยินดีวางเงินมัดจำให้แกไปสองแสนบาทถ้วน พร้อมกับทำข้อตกลงใน
เอาละหวา เสียเงินไปสองแสนแล้วได้กระดาษมากกกอดหนึ่งแผ่น หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ดังมหรสพโรงใหญ่
งานนี้มีลุ้นหวาดเสียว มีหนาววาบ แต่ด้วยความที่เชื่อใจและวางใจกันเป็นทุน อีกทั้งข้าพเจ้าลองหยั่งเชิงป้าแกดู...
"ป้าครับ ระหว่างนี้ผมขอเข้าไปปรับปรุง ตัดโค่นไม้ที่รกๆ และอาจจะถมดินไปพลางๆ ก่อนได้มั้ย" ข้าพเจ้าถามแบบวัดใจ
"ได้สิ ทำไปก่อนก็ดี ที่จะได้โล่ง หนูอยากทำไรก็ทำไปเถอะ ป้าไม่ว่าหรอกจ้ะ." แกตอบก่อนแย้มสรวล
ถือเป็นเรื่องที่น่าพอใจยิ่ง เมื่อข้าพเจ้าสามารถเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินได้ด้วย
แต่ก็อีกนั่นแหละ...ใน "หนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ" นั้น
ตรงข้อ 4) เกิดป้าแกผิดสัญญาก็วุ่นวายนะสิ
"แต่ถ้าผู้จะขายเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้จะขายยอมให้ผู้จะซื้อฟ้องศาลบังคับคดีได้ทันที
และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้ออีกส่วนหนึ่งเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท"
ที่กลัวๆ หวั่นๆ คือ ถ้าข้าพเจ้าจัดการที่ดินผืนนี้จนเรียบเตียนและถมดินให้ดูดีเรียบร้อย
พลันจู่ๆ มีคนผ่านมาพบเห็นแล้วเกิดสนใจอยากได้ใคร่ครอง พร้อมทั้งเสนอให้ราคาซื้อที่มากกว่า
เอาละสิ เรื่องภาษาทางกฎหมายนั้น ข้าพเจ้าก็แค่รู้งูๆ ปลาๆ ซะด้วย เห็นทีต้องคีย์ถามจากกูเกิลเพื่อความกระจ่าง
"เมื่อท่านได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อได้วางเงินมัดจำแล้วในวันทำสัญญา
เงินมัดจำย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญาจะซื้อจะขายได้ทำกันขึ้นแล้ว
และมัดจำย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย
ท่านและผู้ซื้อจึงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันตามสัญญาจะซื้อขายตาม ป.พ.พ.มาตรา 377
ดังนั้น หากท่านทำสัญญาขายที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อรายที่ 2 โดยหวังที่จะได้ราคาที่สูงกว่า
โดยไม่ใยดีต่อการที่จักต้องปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายกับผู้ซื้อรายแรก
ผู้ซื้อนั้นชอบที่จะฟ้องต่อศาลเพื่อบังคับให้ท่านปฏิบัติตามสัญญาได้ เพราะว่าท่านเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น
กรณีไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ผู้ขายคืนเงินมัดจำให้แก่ฝ่ายผู้ซื้อเพื่อเป็นการบอกเลิกสัญญาแต่ประการใด"
ที่มา : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่แน่ๆ ฝ่ายข้าพเจ้าไม่อยากขึ้นศาลให้เสียเวลา และก็ไม่กล้าผิดสัญญาหรอก เพราะประโยคที่ว่า...
"ถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปรับโอน ให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันยกเลิก โดยผู้จะขายไม่จำต้องบอกกล่าว
และผู้จะซื้อยินยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำที่ชำระแล้วได้ทั้งหมด"
ที่สุดข้าพเจ้าก็จ่ายเงินมัดจำเรื่องที่ดินไปราวต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๕๗
คิดดูสิ เงินส่วนที่เหลือที่ต้องจ่ายให้ป้าแกไม่เกินวันที่ ๓๑ มกราคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๘
เวลาแปดเก้าเดือนที่อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ได้แต่คิดว่า... "ถ้าที่ผืนนี้จะเป็นของเรา ยังไงๆ มันก็ต้องเป็นของเรา"
เอาเป็นว่าตอนนี้มาดูรูปแปลนแบบบ้านที่ข้าพเจ้ากับแฟนตกลงปลงใจกันเป็นเอกฉันท์ดีกว่า
(หากรูปไม่ชัดก็ขออภัยอย่างยิ่งไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ใช้กล้องมือถือถ่าย)
ส่วนเรื่องความคืบหน้าของที่ดินคงต้องมาบอกเล่าในตอนต่อไป แน่นอนว่าเวลาผ่านไป ที่ดินผืนนี้ย่อมเปลี่ยนไป...
แต่ยังก่อน...เรื่องสร้างบ้านเป็นเรื่องใหญ่และใหม่สำหรับข้าพเจ้า รวมถึงเรื่องเงินที่ต้องจ่ายหนักเอาการอยู่
อย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรก ด้วยเหตุปัจจัยส่วนตัวจึงอยากสร้างบ้านแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
ค่อยๆ ชื่นชมกับความเปลี่ยนแปลงที่แปลกตา เฝ้ามองและรอคอยผืนดินรกๆ ที่วันหนึ่งจะกลายเป็นบ้าน
ซึมซับกับวันเวลาที่จะบ้านค่อยๆ ก่อเป็นรูปเป็นร่าง แม้นจะไม่ได้ยึดกับสุภาษิตที่ว่า "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" สักเท่าไหร่นัก
แต่บางทีก็ต้องอาศัยการตกตะกอนทางความคิดกันบ้าง เผื่อมีไอเดียใหม่ๆ บรรเจิด แล้วก็ดำเนินชีวิตไปแบบไม่ซีเรียส ไม่ว้าวุ่น
หน้าตาบ้านชั้นเดียวด้านหน้าที่ดูธรรมดาๆ
ด้านอื่นๆ ซึ่งยังต้องแก้ไขแบบอีก ประตู หน้าต่าง หรือกระจกยังไม่ถูกใจ มีเปลี่ยนแน่ๆ
รูปผังบริเวณ อีกนั่นแหละที่ต้องแก้ คนออกแบบก็เจตนาดีอยากให้มีพื้นที่สนามหญ้าเยอะ
แปลนบ้านที่ค่อนข้างจะลงตัว ซึ่งยังต้องปรับจูนกันอีกสักรอบสองรอบ
นี่คือส่วนที่ข้าพเจ้าขอเสริมนอกเหนือจากตัวบ้าน ><
ในเมื่อสร้างบ้านชั้นเดียว งั้นขอพื้นที่สูงไว้ดื่มเหล้าเสพบรรยากาศยามเย็นย่ำสักหน่อย
แปลนระบบประปา-สุขาภิบาล
********
ว่ากันความจริงแล้วข้าพเจ้ากับแฟนก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้างในเรื่องแบบแปลนบ้าน
นั่นเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยมากมายนัก เกรงจะดูแลและทำความสะอาดไม่ทั่วถึง
กอปรกับอยู่กันเพียงสองคน (อาจให้แม่มาอยู่บ้าง) ซึ่งเมื่อบ้านเสร็จก็ตั้งใจจะเลี้ยงน้องหมาไว้สักสองตัวเป็นเพื่อน
พูดถึงน้องหมา....เล็งๆ ไว้ที่พันธุ์บลูด็อกกับหลังอานสีสวาทอย่างละหนึ่งตัว
ตอนนี้ ข้าพเจ้าขอจบตอนของกระทู้นี้ก่อนนะ...แล้วไว้จะเรียบเรียงต่อ
และขอขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบ เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็แสนสุขใจแล้วครับ
***