ข้ออ้างขอบคนขี้แพ้

ข้ออ้างของคนขี้แพ้
นี่เป็นกระทู้เกี่ยวกับปัญหาชีวิตที่คุณคง(หลง)มาอ่าน ผมอยากให้คุณลองอ่านให้จบไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ อาจจะฟังดูเป็นข้ออ้างของคนที่พ่ายแพ้ต่อเกมชีวิตและไร้ซึ่งเหตุผลแต่ก็เป็นสิ่งที่ผมสังเกตุได้ในยุคปัจจุบัน เหตุนั้นเริ่มเมื่อ 2-3 เดือนก่อนเมื่อหนังสือชุดหนึ่งได้เปลี่ยนทัศนคติ ให้มุมมองและเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆให้แก่ผม แต่ก่อนผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แต่พออ่านจบกลับเหมือนเห็นสัจธรรมที่คนบนโลกกำลังหลอกตัวเองอยู่ หนังสือชุดดังกล่าวเล่าถึงชีวิตของตัวละครและคนรอบข้างตั้งแต่เกิดจนตาย มีทั้งทุกข์สุข เศร้าสมหวัง กังวลเรื่องราวต่างๆนานาในชีวิต ผมกลับเห็นว่าในชีวิตมีเรื่องมากมายให้กังวล เราทุกคนใช้ชีวิตไปวันต่อวัน โดยที่ไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร ทำทำไม ทำเพื่ออะไร เราไม่รู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับชีวิต ไม่สามารถหาความแน่นอนได้ เราทำได้เพียงเผชิญหน้าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ ถ้าหากว่าคุณกำลังอ่านกระทู้นี้ผมอยากให้คุณลองตอบคำถามว่า คุณหายใจในทุกๆวันโดยมีจุดประสงค์เพื่อเหตุใด มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตคืออะไร และคุณมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่รึเปล่า คุณใช้ชีวิตจริงๆหรือทำแต่เพียงเอาชีวิตรอดไปวันๆ ผมกลับคิดว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยโชคชะตา ซึ่งฟังดูเป็นข้ออ้างของคนขี้แพ้เกินไปหน่อย แต่คนเราเลือกที่จะเป็นได้ แต่เลือกที่จะเกิดไม่ได้ เราไม่ได้มีโอกาสที่เท่ากัน สำหรับผมต้องยอมรับว่าเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ที่มีโอกาสพอสมควร แต่ผมกลับไม่ไขว่คว้าสิ่งเหล้านั้นอาจฟังดูแย่แต่จริงๆ เหมือนเราถูกล้อเล่นแกล้งเล่นจากใครสักคน แต่ก่อนผมเป็นเด็กเคยมีความคิดว่าทุกคนเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึกและถูกจัดฉากขึ้น แต่ในปัจจุบันผมกลับเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว ทุกคนในสังคมดูล่องลอย ไร้จุดหมายปลายทาง และมีเพียงผมคนเดียวที่มีความรู้สึก คนภายนอกดูมีความคิดที่ต่างจากผม ผมกลับเห็นว่าความสุขไม่ได้เกิดจากลาภยศสรรเสริญใดๆ แต่เรากลับหาความสุขได้จากสิ่งเล็กๆต่างๆ ผมกลับอยากทำประโยชน์ให้ส่วนรวมและอยู่อย่างพอเพียงในที่ที่สงบ เพราะผมพบว่าในกรุงนั้นไม่ไช่ที่สำหรับผม มีหลายปัจจับสำหรับคำกล่าวนั้น เช่น การศึกษาก็เป็นเพียงทางลัดในการหาเงิน, การงานเป็นสิ่งที่การันตีความมั่นคงของคุณ ที่ซึ่งไม่ได้แน่นอนเพราะผันผวนไปตามโลก เราเป็นเพียงแต่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ เพียงแต่คุณลองนึกภาพว่าคุณอ่านสิ่งนี้อยู่แล้วขยายออกไปเรื่อยๆเป็นเขต เป็นจังหวัด เป็นประเทศ เป็นทวีป เป็น galaxy คุณกลับไม่พบความสำคัญของตนเอง เรามีชีวิตบนพื้นฐานอำนาจของคนอื่นซึ่งไม่ไช่สิ่งที่สำคัญอะไรในการดำรงชีวิจ แต่สิ่งที่จำเป็นในการใช้ชีวิตของคนคือ จริยธรรมและคุณธรรมมากกว่าที่ไม่ได้มีสอนในหลักสูตรแต่พบได้ในสังคมที่ถูกถ่ายทอดและสั่งสมมาในชีวิตจริง มันกลับบ่มเพาะให้คนในสังคมมีความแตกต่างบนพื้นฐานของความถูกต้อง พอโตขึ้นเรากลับพบว่าการต่อเติมความฝันให้ผู้อื่นมันสนุกกว่าการทำความฝันในวัยเด็กของตนเองเสียอีก ผมอยากหนีจากชีวิตปัจจุบันและไปทำงานอาสาในถิ่นทุรกันดารมากกว่า อันเป็นความสุขเล็กๆที่จะล่อเลี้ยงเราให้มีชีวิตจริงๆได้ สำหรับผมแล้ว ผมมีเพียงครอบครัวที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต และไม่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่เลย ทั้งๆมี่ผมควรจะพอใจและภูมิใจกับสิ่งเหล่านั้น ผมกลับเห็นความตายเป็นสิ่งที่ธรรมดาทั่วไป ที่เกิดขึ้นในพรุ่งนี้หรือวันข้างหน้าก็มีค่าเท่ากัน การตายสำหรับคนไร้ศาสนาอย่างผม เปรียบเสมือนการยอมปล่อยร่างกายไปตามธรรมชาติ อย่างที่มันควรจะเป็นมากกว่า ยิ่งปัจจุบันผมเห็นข่าวคนฆ่าตัวตายไม่เว้นแต่ละวัน ผมกลับศรัทธาในความกล้าหาญและอิจฉาในความสุขสบายที่เขามีล่วงหน้าไปแล้ว หากเปรียบเทียบคนในสัมคมเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ผมเห็นวิชาความรู้ที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเป็นเหมือนกรงที่ จำกัดความคิดและขีดเสรี เช่นวิชาแขนงต่างๆที่ถูกคิดค้นและกำหนดโดยมนุษย์เช่นการเงิน การปกครองเป็นต้น สิ่งเหล่านี้กลับบั่นทอนความเป็นมนุษยธรรมและจริยธรรมที่พึงมีโดยกำเนิด ผมขอยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตพื้นฐานก็คือ สัตว์ทั่วไปในธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นกลับมีความสุขกับสิ่งทั่วๆไปรอบๆ ไม่มีความกังวลเรื่องต่างๆเหมือนมนุษย์ ผมไม่คิดว่าจะเขียนยาวขนาดนี้เพียงแต่อยากเล่าความคิดที่คิดอยู่ในปัจจุบัน อาจจะดูเรียบเรียงความคิดไม่ได้ดี แต่แค่อยากดูเสียงตอบรับของคนในสังคมว่ามีเพียงผมรึเปล่าที่คิดเรื่องแบบนี้อยู่คนเดียว นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้เล่าให้คนรอบข้างฟังเพราะมันดูบ้าเกินไปสำหรับความคิดของเด็กคนหนึ่งและอาจไม่มีคนรับได้ ผมพร้อมที่จะรับฟังทุกความคิดเห็นที่เป็นทั้งคำติชมและกำลังใจ เพียงแต่ตอนนี้ผมไร้ซึ่งความรู้สึกเหมือนเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่