จับตา ... 3 ปีจากนี้ไป กลุ่มธุรกิจไหนจะโตได้ดี

กระทู้สนทนา
จับตา ... 3 ปีจากนี้ไป กลุ่มธุรกิจไหนจะโตได้ดี

ค่อนข้างชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะโตไม่ถึงเป้าที่ทั้งภาครัฐฯ และภาคเอกชนประเมินกันไว้ในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยล่าสุด เราก็เห็นการปรับเป้า GDP Growth จากศูนย์วิจัยกสิกร ที่ให้ปีนี้ โตแค่ 2.8% เท่านั้น ผมเชื่อว่า โบรคฯต่างๆคงจะค่อยๆทยอยปรับลดเป้ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนตามมาในปีนี้เป็นแน่แท้


ภาครัฐถือว่ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศว่าจะไปทางใด ยกตัวอย่างนะครับ ช่วงก่อนปี 2523 ประเทศไทยถือเป็นประเทศเกษตรกรรม GDP โตเฉลี่ยไม่ถึง 3% จากนั้นแผนแม่บทเศรษฐกิจก็อนุญาตให้มีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีช่วงปี 2523 ถึง 2527 การเกิดธุรกิจพลังงานซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำในบ้านเรา ทำให้เกิดโอกาสในกลุ่มธุรกิจอื่นๆตามมา ส่งผลให้ GDP Growth ขายตัวในช่วง 10 ปีหลังจากนั้นเฉลี่ยถึง 9%ต่อปี เรียกว่าเป็นยุคฟ้าใสของไทยจนใครๆก็เรียกเราว่า เสือตัวที่ 5

แต่ฟองสบู่ก็มาแตก เอาปี 2540 ซึ่งหลังวิกฤตมานั้น รัฐบาลไม่ได้กำหนดทิศทางของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ทำให้เราโตได้จากการกินบุญเก่า ช่วงปี 2543 ถึง 2550 เราจึงโตเฉลี่ยที่ 5.3% ซึ่งหลังจากปี 2550 นี้ มันชัดเจนแล้วว่า บุญเก่าหมด บวกกับปัญหาน้ำท่วม วิกฤตที่อเมริกา และกีฬาสีในบ้านเรา มันทำให้ทิศทางเศรษฐกิจไทยดูจะอนาคตไม่สดใสเหมือนเก่าเลย ถึงแม้เราจะได้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวบินมาไทยมากขึ้น แต่สัดส่วนการท่องเที่ยวต่อ GDP ก็ไม่ได้มีนัยขนาดจะทำให้ภาพรวมดูดีขึ้นได้จริงๆ


แน่นอนครับว่า ต้องมีการลงทุนใน Infrastructure และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเอกชนไทยให้แข็งแกร่ง มาวันนี้เอกชนยังไม่กล้าลงทุน ก็เป็นหน้าที่ของรัฐฯในการแสดงให้เห็นว่า ควรจะกล้าได้แล้ว และชี้ให้เห็นว่าโอกาสอยู่ตรงนั้น ซึ่งผมเห็นอยู่ 2 อย่าง ที่รัฐบาลชุดนี้ทำอยู่ และน่าสนใจว่า ในระยะยาวหากทำได้จริง นั้นหมายถึงโอกาสที่ดีมากทีเดียว


1.  BOI หรือ Board of Investment of Thailand กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมที่ต้องการส่งเสริม

เนื่องจากกลุ่มธุรกิจที่ส่งเสริมในอดีตนั้น ปัจจุบันขีดความสามารถการแข่งชันในเวทีโลกเริ่มหมดไป บางเทคโนโลยีล้าสมัยและไม่ทันโลกปัจจุบัน เช่น กลุ่มอุปกรณ์ ชิ้นส่วนรถยนต์ (Auto Parts) ก็เปลี่ยนเป็นสนับสนุนพวก High Tech หรือพวก Energy-Saving Parts แทน โดยผู้ผลิตเอง จากที่สนับสนุน Eco Car ก็จะไปสนับสนุนพวก Hybrid, Electric Car แทน หรืออุตสาหกรรม Packaging ก็จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์พวก Multi-layer หรือ Aseptic ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามเทรนรักษ์โลกในปัจจุบัน และยังมีอีกหลายอุตสาหกรรม ซึ่งหลักๆคือ เพิ่มเทคโนโลยี กระตุ้นให้ลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยทาง BOI นั้นได้รายงานว่า เริ่มมีผู้เข้ามาขอการสนับสนุนตามที่ BOI ปรับเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่เว็ปไซส์ของ BOI ได้ที่ http://www.boi.go.th/


2. สาเหตุที่สิงค์โปร์และฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ก็เพราะอนุญาตให้พวก Trading Company มาตั้งบริษัท และไม่เก็บภาษีธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้น การเกิดขึ้นของ AEC ด้วยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ รัฐจึงจะอนุญาตให้บริษัท Trading Company เหล่านี้มาเปิดในไทย และไม่เก็บภาษี โดยคาดหวังว่า จะให้ไทยเป็น International Head Quarter โดยตั้งเงื่อนไขว่าบริษัทเหล่านี้จะต้องมีการทำ Training , Recruitment ให้กับแรงงานในไทยหลายคนอาจถามว่า แล้วรัฐจะได้อะไรจากบริษัทเหล่านี้ ภาษีก็ไม่ได้เก็บ .. คำตอบคือ เราหวังว่า การเกิดขึ้นของ Trading Company จะช่วยสร้าง Transaction และธุรกรรมในอนาคต เกิดการจ้างงาน และพัฒนาบุคคลากรไทยเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องภาษี เราไม่เคยได้จากบริษัทเหล่านี้อยู่แล้ว เพราะเขาไม่เคยมาตั้งฐานในไทย เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ประเด็น ดูแบบนี้ ก็ต้องไปวิเคราะห์ Model ที่สิงคโปร์และฮ่องกงครับว่า พอ Trading เกิดขึ้นมา ธุรกิจไหนได้ประโยชน์ขึ้นไปอีก (ผมมองว่า อย่างน้อยๆก็กลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้นละ)


ส่วนอีกเรื่องที่รัฐบาลพยายามวางโครงสร้าง และทำเป็น Roadmap ก็คือ การทำให้ประเทศไทยเป็น Digital Economy ทั้งเรื่อง วาง National Broadband Backbone ทั่วประเทศ ทำ Data Center หรือปรับเปลี่ยน Government Service ให้เป็น Digital นั้น บอกตรงๆว่าผมเห็นว่า มันยังไม่เป็นรูปธรรมและอาจเกิดขึ้นยาก อันนี้ตัวผมเองก็ยังไม่หวังมาก


เอาละพอเห็นภาพคร่าวๆนะครับว่าใน 1-2 ปีนี้ น่าจะมีการลงทุนในเอกชนมากขึ้นตามที่รัฐฯวางกรอบไว้ แน่นอนว่า ระยะสั้นเศรษฐกิจไทยยังขาดปัจจัยบวก แต่ระยะยาว ดูแล้วถ้าโครงการลงทุนเหล่านี้เกิดขึ้น มันก็คือโอกาสในระยะยาวของเราครับ

ที่มา http://www.moneychannel.co.th/columnist_blog_detail/42
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่