ขอออกตัวก่อนเลยครับว่า นี่ไม่ใช่การรีวิวรถ ผมไม่ใช่มืออาชีพทางด้านรีวิวรถ เพียงแต่เป็นคนที่ชอบขับรถและสนใจในสมรรถนะของรถครับ
ถ้ามีอะไรผิดพลาด ขออภัยล่วงหน้า ประสบการณ์ยังไม่เยอะครับ (ชีวิตยังเยาว์วัย

)
C300 คันนี้เป็นรถคันแรกในชีวิตที่ผมเป็นคนออกเงินซื้อและเป็นชื่อผม (ก็ออกเงินซื้อเองนี่หว่า)
ผู้ใหญ่ที่บ้านใช้ Camry HV โฉมปัจจุบัน (ที่กำลังจะตกรุ่นละเนี๊ะ ซื้อมา 2 ปี 1 เดือน เอง เหอะๆ)
ที่เอามาเปรียบเทียบกันเพราะเป็น Hybrid ทั้งคู่ และใช้จริงทั้งคู่ คลุกคลีกันไม่ใช่แค่ใช้ 3 วัน 5 วัน (แต่ C300 ใช้มา 1 เดือนเองครับ)
ข้อแตกต่างระหว่างการขับ C300 กับ Camry คือ
1. ช่วงล่าง
วันแรกที่ถอย Camry ออกจากศูนย์ รู้สึกว่ารถคันนี้มันนุ่มนวลมากๆ ลงหลุม ขึ้นเนิน สบายๆ เผลอขับเร็วจั๊มคอสะพานก็ยังโอเคอยู่ ค่อนข้างประทับใจในความนุ่มเงียบของช่วงล่าง ต่อมาผมก็ได้เอามาลองขับตอนเที่ยงคืนบนทางโค้งบนสะพานเส้นกาญจนามุ่งหน้าเข้าเส้นบรมฯ ไล่ความเร็วตั้งแต่ 80 km/h เพิ่มทีละ 10 โดยที่ไม่มีการเบรคก่อน หรือระหว่างเข้าโค้ง จะเลี้ยงคันเร่งที่ความเร็วคงที่ไว้ตลอดจนสุดปลายโค้ง ซึ่งปลายโค้งจะหักสุดๆและถนนไม่เรียบ เป็นจุดที่อันตรายครับ ผมจึงทำการทดลองเพื่อจะได้รู้ว่า รถแต่ละคันที่ผมใช้มีข้อจำกัดแค่ไหน เวลามีเหตุฉุกเฉินจะได้รับมือได้
ผมทดสอบไปจนถึงความเร็วที่ 100 รถเริ่มออกอาการครับ เสียงล้อดังมาก รถเริ่มออกจาก line ที่ผมคิดไว้ แต่ผมคิดว่ายังไหวอยู่ จึงทำการทดสอบที่ 110 อีกครั้ง รอบนี้ผมบอกได้เลยครับ ช่วงล่างไม่ได้แย่ครับ กลางๆ แต่ที่ห่วยคือยางครับ เพราะตัวถังรถยังนิ่งไม่มีการบิดตัว ช่วงล่างยุบตัวบ้างแต่ไม่ได้ยวบ แต่รถสไลด์ออกไปครึ่งเลนเลยทีเดียว ตัดสินใจเปลี่ยนยาง dunlop เป็น YOKO สรุปว่าที่ 110 ผ่านได้ดีขึ้นครับ แตะถึง 120 แต่ออกแนวน่ากลัวจึงหยุดไว้ที่ 120 ครับ
วันแรกที่ถอย C300 ออกจากศูนย์ รู้สึกได้ว่า นี่เราขับรถเบนซ์หรือขับจักรยานไม่มีโช้คเนี๊ะ วิ่งธรรมดาๆขึ้นสะพาน ตูดแหกเลยครับ แข็งมาก ศูนย์เค้าใจดีครับ คู่มือบอกให้เติมลมยาง 37 แถมมาให้เป็น 38 + กับยางแก้มเตี้ย ไปลดลมเหลือ 32 ค่อยดีขึ้นหน่อย (เหมือนเอาจักรยานไปติดโช้คละ หุหุ) ยังแข็งอยู่ครับ เซลล์บอกว่า มันเป็นช่วงล่าง AMG ค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านคิดจะซื้อเบนซ์เพื่อให้ผู้ใหญ่นั่งสบายๆ หรือนั่งสวีตกันแฟนแบบเรื่อยเปื่อย แนะนำเอารุ่นรองลงมาครับ แล้วท่านจะรู้สึกสบายก้นกว่านี้ หลังจากนั้นผมทำการทดลองเหมือน camry เลยครับที่โค้งเดิม เงื่อนไขเดิม ขอบอกว่า มันส์มากๆ รับรู้ถึงทุกรอยต่อของสะพานกันเลยทีเดียว แต่นิ่งมากครับที่ความเร็ว 120 หน้าไม่ดื้อ ไม่สไลด์ แต่แอบเกร็งเพราะ mode sport พวงมาลัยไวมาก (ก่อนหน้านั้นเคยลอง mode comfort เข้าโค้งแต่รถมันลดความเร็วลงให้เองครับ คือเหยียบคันเร่งเท่าเดิม ไม่เบรค แต่มันชะลอลงจนเห็นได้ชัด 120 เป็น 100 เลยครับพอมาถึงกลางโค้ง ใส่คันเร่งเพิ่มกลางโค้งความเร็วก็ไม่ค่อยขึ้น เลยลองอีกครั้งเป็น mode sport ทีนี้ขึ้นเอาๆจนต้องเกรงขาไว้ดีๆไม่งั้นเกิน 120 แน่ๆ) สรุป สนุก รู้สึกได้ว่ารถเอาอยู่ แต่แอบเกรงไปทั้งตัว
2.ภายใน
วัสดุของ C300 โดดเด่นกว่า ดูดีกว่า ให้ความรู้สึกอยากจับมากกว่า ทันสมัยกว่า ออฟชั่นและของเล่นมาเพียบ เบาะนั่งคนขับและคู่หน้าสบายกว่าถ้าเดินทางไกลๆ เพราะเป็นเบาะแบบเข้ารูปและปรับระยะที่รองต้นขาได้ แต่ด้านหลังใหญ่กว่า vios หน่อยนึงมั้งครับ นั่งขาชนหลังค่อนข้างตรง ไม่ค่อยจะสบายเท่าไหร่
camry วัสดุออกแนวพลาสติกมากกว่า แต่ยังให้ความรู้สึกภูมิฐานอยู่ ไม่ได้ย่ำแย่ ของเล่นมีพอประมาณ เบาะนั่งคนขับใหญ่ ดูนั่งสบาย แต่นั่งจริงๆไม่ค่อยสบายครับ ขับทางไกลปวดหลังมากๆ ปรับเพิ่มที่ดันหลังก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่เบาะหลังปรับเอนได้ พื้นที่วางขากว้าง ขอบอกว่าคนนั่งหลังสบายสุดๆ ถ้าซื้อมาให้คนอื่นขับ แล้วนั่งหลัง โอเคเลยครับ
หมายเหตุ: navi ของทั้ง 2 รุ่น อยู่ในระดับพอๆกันครับ คือห่วยพอๆกัน ต้งอใช้เป็นอังกฤษทั้งคู่ แล้วบางทีสะกดชื่อสถานที่เป็นอังกฤษไม่ถูก ลำบากมาก C300 จะหาสถานที่ไม่ค่อยเจอ ระบบค้นหาดูมั่วๆและใช้ยาก แต่นำทางโอเค(ถ้าท่านหาสถานที่เจอนะ หุหุ) Camry จะหาเจอง่ายกว่า แต่ก็มีสถานที่ไม่ครบ ที่สำคัญ ชอบพาไปผิดทางตลอด พาอ้อมบ้าง พาเข้าซอยบ้าง ถนนหลวงที่มีเส้นหลักกับคู่ขนาด ชอบพาเข้าคู่ขนานให้ติดไฟแดงเล่น T T สรุป google map ชัวร์สุดครับ อย่าไปใช้ของติดรถเลย
3. เครื่องยนต์
ต้องขอบอกว่า แรงทั้งคู่ ประหยัดทั้งคู่ ถ้าใช้ในสภาพปกติ ไม่ได้เอาไปแข่งกับใคร เหลือเฟือครับ ขับสนุกมาก อัตราเร่งมาไว
camry จะใช้ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าได้ดีกว่ามากๆ วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ถึง 60 km/h ทำให้อัตราเร่งไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ กดปุปมาปัป + เกียร์ที่แปลกประหลาดกว่าชาวบ้านซึ่งเป็นข้อดีของการขับขี่ ถือว่าทำได้ดีครับ อัตราความสิ้นเปลือง ขับในกทม. ประมาณ 12-14 โล ลิตร (เป็นชานเมืองซะเป็นส่วนมาก รถเยอะแต่ไม่ติด ไหลไปเรื่อยๆครับ) ออกต่างจังหวัด ถ้าวิ่งสบายๆไปเรื่อยๆ 16-17 นี่สบายๆเลยครับ ถ้าวิ่งรีบๆอัดกระหน่ำ 140 ขึ้นไป ก็ประมาณ 13 โลลิตรครับ ถือว่าโอเค
C300 มอเตอร์ไฟฟ้าไม่ค่อยโอเค ถ้าคิดว่าใช้สำหรับขับเคลื่อน เพราะแรงจะเริ่มหมดที่ 35 km/h แต่ถ้าใช้เพื่อให้เครื่องมันเงียบตอนจอดถือว่าโอเคละครับ เพราะเครื่องดีเซลเสียงดังกว่าเบนซินแน่นอน คลานในเมืองก็พอใช้มอเตอร์ไฟฟ้าได้บ้าง แค่คลานชานเมืองไม่ได้ใช้เลยครับเพราะแรงไม่พอ อัตราเร่ง mode eco ถือว่าธรรมดาครับ กระบะดันรางสวนเป็นทุ่ง mode comfort ก็ใกล้ๆกับ camry ตอนกด eco แต่ mode sport ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ กดนิดๆหน่อยทำเป็นลืมๆไปบ้าง ก็ 180 แล้วครับ mode sport+ จะอยู่แค่เกียร์ 6 จะไม่ขึ้น เกียร์ 7 นะครับ (หรือใครทำ sport+ เกียร์ 7 ได้ บอกผมที ผมลากถึง 180 ก็ไม่เปลี่ยนขึ้นให้) สรุปว่าอัตราการตอบสนอง ถ้าเอาให้คล่องตัวต้องไว้ที่ sport ครับ ถ้าขับเรื่องก็ comfort (eco ผมไม่ใช้เลยครับ sport+ ใช้เฉพาะตอนนึกสนุก ที่ถนนโล่งๆขับทางไกลครับ ออกแนวไม่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน) ความประหยัด ในเมือง 13-14 โลลิตรครับ อันนี้เข้าเมืองจริงๆเพราะต้องวิ่งไปรามคำแหง รถติดมากๆ จะได้มาวิ่งๆหน่อยตอนใกล้ถึงบ้านครับ ต่างจังหวัด กทม - พัทยา 15 โลลิตรครับ กดเพลินๆ 140-160 ตลอด ถือว่าประหยัดดีครับ แต่ยังไม่เคยลองวิ่งชิวๆครับ เพิ่งได้รถมาไม่นาน อยากรู้ว่าอาการรถเป็นไงบ้างเลยจัดเต็มไปก่อน
4.คนใช้รถบนท้องถนนท่านอื่นๆ
Camry คนจะไม่ค่อยหลบให้ครับ บางทีผมรีบจี้ให้ตายก็ไม่หลบ ทั้งๆที่เลนซ้ายว่าง จนผมต้องแซงไปเอง ขับชิวๆ 120 รถข้างหลังมา ผมก็พยายามจะหลบให้แต่รถซ้ายช้ามากและรถเยอะผมหลบไม่ได้ โอ้จี้ใหญ่เลย ผมก็ได้แต่กดหนี หรือบางทีมันหนีไม่ได้คันหน้าก็ช้า ก็จี้กันจนกลัวว่าจะโดนสอยตูด โดยพี่ๆรถกระบะและรถตู้
แต่ปัญหาเหล่านี้หมดไปทันทีที่ขับ C300 ครับ ขับไม่ต้องจี้ตูดคนก็หลบให้ บางทีขับไปธรรมดาๆ ห่างคันหน้าเป็น 10 เมตร เค้าก็หลบให้ และที่สำคัญ ไม่มีคนจี้ตูดเลยครับ ขับห่างหลายเมตรเลย รู้สึกปลอดภัยจากทางด้านหลังมากขึ้น
สรุป ถ้านั่งหลังเป็นประจำ หรือชอบนั่งมากกว่าขับ หรือชอบขับรถนิ่มนวล สบายๆ ไป camry เลยครับ แต่ขับทางไกลเมื่อยไปหน่อย ถ้าชอบขับสนุกๆ อัตราเร่งพุ่งๆ ใช้สมาธิในการขับเยอะหน่อยไป C300 mode sport เลยครับ แรงจริงๆ และที่สำคัญ ท่านจะขับสบายขึ้นทั้งทางไกลทางใกล้ เพราะเบาะคนขับโอเคมากๆ และสบายที่ไม่ต้องกังวลคนจี้ตูด หรือต้องไปจี้ใครให้เสียอารมย์
พูดไปเรื่อยเปื่อยกับ Benz C300 และ Camry HV
ถ้ามีอะไรผิดพลาด ขออภัยล่วงหน้า ประสบการณ์ยังไม่เยอะครับ (ชีวิตยังเยาว์วัย
C300 คันนี้เป็นรถคันแรกในชีวิตที่ผมเป็นคนออกเงินซื้อและเป็นชื่อผม (ก็ออกเงินซื้อเองนี่หว่า)
ผู้ใหญ่ที่บ้านใช้ Camry HV โฉมปัจจุบัน (ที่กำลังจะตกรุ่นละเนี๊ะ ซื้อมา 2 ปี 1 เดือน เอง เหอะๆ)
ที่เอามาเปรียบเทียบกันเพราะเป็น Hybrid ทั้งคู่ และใช้จริงทั้งคู่ คลุกคลีกันไม่ใช่แค่ใช้ 3 วัน 5 วัน (แต่ C300 ใช้มา 1 เดือนเองครับ)
ข้อแตกต่างระหว่างการขับ C300 กับ Camry คือ
1. ช่วงล่าง
วันแรกที่ถอย Camry ออกจากศูนย์ รู้สึกว่ารถคันนี้มันนุ่มนวลมากๆ ลงหลุม ขึ้นเนิน สบายๆ เผลอขับเร็วจั๊มคอสะพานก็ยังโอเคอยู่ ค่อนข้างประทับใจในความนุ่มเงียบของช่วงล่าง ต่อมาผมก็ได้เอามาลองขับตอนเที่ยงคืนบนทางโค้งบนสะพานเส้นกาญจนามุ่งหน้าเข้าเส้นบรมฯ ไล่ความเร็วตั้งแต่ 80 km/h เพิ่มทีละ 10 โดยที่ไม่มีการเบรคก่อน หรือระหว่างเข้าโค้ง จะเลี้ยงคันเร่งที่ความเร็วคงที่ไว้ตลอดจนสุดปลายโค้ง ซึ่งปลายโค้งจะหักสุดๆและถนนไม่เรียบ เป็นจุดที่อันตรายครับ ผมจึงทำการทดลองเพื่อจะได้รู้ว่า รถแต่ละคันที่ผมใช้มีข้อจำกัดแค่ไหน เวลามีเหตุฉุกเฉินจะได้รับมือได้
ผมทดสอบไปจนถึงความเร็วที่ 100 รถเริ่มออกอาการครับ เสียงล้อดังมาก รถเริ่มออกจาก line ที่ผมคิดไว้ แต่ผมคิดว่ายังไหวอยู่ จึงทำการทดสอบที่ 110 อีกครั้ง รอบนี้ผมบอกได้เลยครับ ช่วงล่างไม่ได้แย่ครับ กลางๆ แต่ที่ห่วยคือยางครับ เพราะตัวถังรถยังนิ่งไม่มีการบิดตัว ช่วงล่างยุบตัวบ้างแต่ไม่ได้ยวบ แต่รถสไลด์ออกไปครึ่งเลนเลยทีเดียว ตัดสินใจเปลี่ยนยาง dunlop เป็น YOKO สรุปว่าที่ 110 ผ่านได้ดีขึ้นครับ แตะถึง 120 แต่ออกแนวน่ากลัวจึงหยุดไว้ที่ 120 ครับ
วันแรกที่ถอย C300 ออกจากศูนย์ รู้สึกได้ว่า นี่เราขับรถเบนซ์หรือขับจักรยานไม่มีโช้คเนี๊ะ วิ่งธรรมดาๆขึ้นสะพาน ตูดแหกเลยครับ แข็งมาก ศูนย์เค้าใจดีครับ คู่มือบอกให้เติมลมยาง 37 แถมมาให้เป็น 38 + กับยางแก้มเตี้ย ไปลดลมเหลือ 32 ค่อยดีขึ้นหน่อย (เหมือนเอาจักรยานไปติดโช้คละ หุหุ) ยังแข็งอยู่ครับ เซลล์บอกว่า มันเป็นช่วงล่าง AMG ค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านคิดจะซื้อเบนซ์เพื่อให้ผู้ใหญ่นั่งสบายๆ หรือนั่งสวีตกันแฟนแบบเรื่อยเปื่อย แนะนำเอารุ่นรองลงมาครับ แล้วท่านจะรู้สึกสบายก้นกว่านี้ หลังจากนั้นผมทำการทดลองเหมือน camry เลยครับที่โค้งเดิม เงื่อนไขเดิม ขอบอกว่า มันส์มากๆ รับรู้ถึงทุกรอยต่อของสะพานกันเลยทีเดียว แต่นิ่งมากครับที่ความเร็ว 120 หน้าไม่ดื้อ ไม่สไลด์ แต่แอบเกร็งเพราะ mode sport พวงมาลัยไวมาก (ก่อนหน้านั้นเคยลอง mode comfort เข้าโค้งแต่รถมันลดความเร็วลงให้เองครับ คือเหยียบคันเร่งเท่าเดิม ไม่เบรค แต่มันชะลอลงจนเห็นได้ชัด 120 เป็น 100 เลยครับพอมาถึงกลางโค้ง ใส่คันเร่งเพิ่มกลางโค้งความเร็วก็ไม่ค่อยขึ้น เลยลองอีกครั้งเป็น mode sport ทีนี้ขึ้นเอาๆจนต้องเกรงขาไว้ดีๆไม่งั้นเกิน 120 แน่ๆ) สรุป สนุก รู้สึกได้ว่ารถเอาอยู่ แต่แอบเกรงไปทั้งตัว
2.ภายใน
วัสดุของ C300 โดดเด่นกว่า ดูดีกว่า ให้ความรู้สึกอยากจับมากกว่า ทันสมัยกว่า ออฟชั่นและของเล่นมาเพียบ เบาะนั่งคนขับและคู่หน้าสบายกว่าถ้าเดินทางไกลๆ เพราะเป็นเบาะแบบเข้ารูปและปรับระยะที่รองต้นขาได้ แต่ด้านหลังใหญ่กว่า vios หน่อยนึงมั้งครับ นั่งขาชนหลังค่อนข้างตรง ไม่ค่อยจะสบายเท่าไหร่
camry วัสดุออกแนวพลาสติกมากกว่า แต่ยังให้ความรู้สึกภูมิฐานอยู่ ไม่ได้ย่ำแย่ ของเล่นมีพอประมาณ เบาะนั่งคนขับใหญ่ ดูนั่งสบาย แต่นั่งจริงๆไม่ค่อยสบายครับ ขับทางไกลปวดหลังมากๆ ปรับเพิ่มที่ดันหลังก็ไม่ได้ช่วยอะไร แต่เบาะหลังปรับเอนได้ พื้นที่วางขากว้าง ขอบอกว่าคนนั่งหลังสบายสุดๆ ถ้าซื้อมาให้คนอื่นขับ แล้วนั่งหลัง โอเคเลยครับ
หมายเหตุ: navi ของทั้ง 2 รุ่น อยู่ในระดับพอๆกันครับ คือห่วยพอๆกัน ต้งอใช้เป็นอังกฤษทั้งคู่ แล้วบางทีสะกดชื่อสถานที่เป็นอังกฤษไม่ถูก ลำบากมาก C300 จะหาสถานที่ไม่ค่อยเจอ ระบบค้นหาดูมั่วๆและใช้ยาก แต่นำทางโอเค(ถ้าท่านหาสถานที่เจอนะ หุหุ) Camry จะหาเจอง่ายกว่า แต่ก็มีสถานที่ไม่ครบ ที่สำคัญ ชอบพาไปผิดทางตลอด พาอ้อมบ้าง พาเข้าซอยบ้าง ถนนหลวงที่มีเส้นหลักกับคู่ขนาด ชอบพาเข้าคู่ขนานให้ติดไฟแดงเล่น T T สรุป google map ชัวร์สุดครับ อย่าไปใช้ของติดรถเลย
3. เครื่องยนต์
ต้องขอบอกว่า แรงทั้งคู่ ประหยัดทั้งคู่ ถ้าใช้ในสภาพปกติ ไม่ได้เอาไปแข่งกับใคร เหลือเฟือครับ ขับสนุกมาก อัตราเร่งมาไว
camry จะใช้ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าได้ดีกว่ามากๆ วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ถึง 60 km/h ทำให้อัตราเร่งไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ กดปุปมาปัป + เกียร์ที่แปลกประหลาดกว่าชาวบ้านซึ่งเป็นข้อดีของการขับขี่ ถือว่าทำได้ดีครับ อัตราความสิ้นเปลือง ขับในกทม. ประมาณ 12-14 โล ลิตร (เป็นชานเมืองซะเป็นส่วนมาก รถเยอะแต่ไม่ติด ไหลไปเรื่อยๆครับ) ออกต่างจังหวัด ถ้าวิ่งสบายๆไปเรื่อยๆ 16-17 นี่สบายๆเลยครับ ถ้าวิ่งรีบๆอัดกระหน่ำ 140 ขึ้นไป ก็ประมาณ 13 โลลิตรครับ ถือว่าโอเค
C300 มอเตอร์ไฟฟ้าไม่ค่อยโอเค ถ้าคิดว่าใช้สำหรับขับเคลื่อน เพราะแรงจะเริ่มหมดที่ 35 km/h แต่ถ้าใช้เพื่อให้เครื่องมันเงียบตอนจอดถือว่าโอเคละครับ เพราะเครื่องดีเซลเสียงดังกว่าเบนซินแน่นอน คลานในเมืองก็พอใช้มอเตอร์ไฟฟ้าได้บ้าง แค่คลานชานเมืองไม่ได้ใช้เลยครับเพราะแรงไม่พอ อัตราเร่ง mode eco ถือว่าธรรมดาครับ กระบะดันรางสวนเป็นทุ่ง mode comfort ก็ใกล้ๆกับ camry ตอนกด eco แต่ mode sport ไม่ต้องพูดถึงเลยครับ กดนิดๆหน่อยทำเป็นลืมๆไปบ้าง ก็ 180 แล้วครับ mode sport+ จะอยู่แค่เกียร์ 6 จะไม่ขึ้น เกียร์ 7 นะครับ (หรือใครทำ sport+ เกียร์ 7 ได้ บอกผมที ผมลากถึง 180 ก็ไม่เปลี่ยนขึ้นให้) สรุปว่าอัตราการตอบสนอง ถ้าเอาให้คล่องตัวต้องไว้ที่ sport ครับ ถ้าขับเรื่องก็ comfort (eco ผมไม่ใช้เลยครับ sport+ ใช้เฉพาะตอนนึกสนุก ที่ถนนโล่งๆขับทางไกลครับ ออกแนวไม่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน) ความประหยัด ในเมือง 13-14 โลลิตรครับ อันนี้เข้าเมืองจริงๆเพราะต้องวิ่งไปรามคำแหง รถติดมากๆ จะได้มาวิ่งๆหน่อยตอนใกล้ถึงบ้านครับ ต่างจังหวัด กทม - พัทยา 15 โลลิตรครับ กดเพลินๆ 140-160 ตลอด ถือว่าประหยัดดีครับ แต่ยังไม่เคยลองวิ่งชิวๆครับ เพิ่งได้รถมาไม่นาน อยากรู้ว่าอาการรถเป็นไงบ้างเลยจัดเต็มไปก่อน
4.คนใช้รถบนท้องถนนท่านอื่นๆ
Camry คนจะไม่ค่อยหลบให้ครับ บางทีผมรีบจี้ให้ตายก็ไม่หลบ ทั้งๆที่เลนซ้ายว่าง จนผมต้องแซงไปเอง ขับชิวๆ 120 รถข้างหลังมา ผมก็พยายามจะหลบให้แต่รถซ้ายช้ามากและรถเยอะผมหลบไม่ได้ โอ้จี้ใหญ่เลย ผมก็ได้แต่กดหนี หรือบางทีมันหนีไม่ได้คันหน้าก็ช้า ก็จี้กันจนกลัวว่าจะโดนสอยตูด โดยพี่ๆรถกระบะและรถตู้
แต่ปัญหาเหล่านี้หมดไปทันทีที่ขับ C300 ครับ ขับไม่ต้องจี้ตูดคนก็หลบให้ บางทีขับไปธรรมดาๆ ห่างคันหน้าเป็น 10 เมตร เค้าก็หลบให้ และที่สำคัญ ไม่มีคนจี้ตูดเลยครับ ขับห่างหลายเมตรเลย รู้สึกปลอดภัยจากทางด้านหลังมากขึ้น
สรุป ถ้านั่งหลังเป็นประจำ หรือชอบนั่งมากกว่าขับ หรือชอบขับรถนิ่มนวล สบายๆ ไป camry เลยครับ แต่ขับทางไกลเมื่อยไปหน่อย ถ้าชอบขับสนุกๆ อัตราเร่งพุ่งๆ ใช้สมาธิในการขับเยอะหน่อยไป C300 mode sport เลยครับ แรงจริงๆ และที่สำคัญ ท่านจะขับสบายขึ้นทั้งทางไกลทางใกล้ เพราะเบาะคนขับโอเคมากๆ และสบายที่ไม่ต้องกังวลคนจี้ตูด หรือต้องไปจี้ใครให้เสียอารมย์