หกสิบวันแรกของชีวิต

The First 60 Days of Life
1
วินาทีที่ลูกลืมตาออกมาดูโลก   ไม่มีอะไรเหมือนกับที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยสักนิดเดียว   ไม่มีการโพสต์ท่าถ่ายภาพพ่อ แม่ ลูก    ไม่มีน้ำตาแห่ง

ความตื้นตัน  ฉันลืมถามออกไปว่า “ครบไหมคะ”    นางพยาบาลก็ไม่ได้บอกอะไร   เธออุ้มลูกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว   ในขณะที่หมอจัดการเย็บอวัยวะส่วน

ที่ฉีกขาด     ซึ่งสามารถรู้สึกได้ทุกครั้งที่หมอกระตุกด้าย  แต่กลับไม่เจ็บอย่างที่คิดเลย    คงเป็นเพราะเพิ่งผ่านความทรมานจากขั้นตอนการคลอดมา

เมื่อกี้   ต่อจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ดูจิ๊บจ๊อยไปหมด


ฉันยังคงตั้งตัวไม่ติดกับบรรยากาศอึกทึกจากเสียงเชียร์ของหมอและพยาบาล    พวกเขาได้เปลี่ยนห้องคลอดเป็นสนามเชียร์กีฬาชั่วคราว   “เอ้า  !”   

“อีกนิดเดียว ๆ”   “หัวโผล่แล้ว”     น่าแปลกที่พอเข้ามาในห้องนี้แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก     ทั้ง ๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เข็มนาฬิกากระดิกช้า

ยิ่งกว่าเต่าคลาน      


เขาว่ากันว่าความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของมนุษย์เพศหญิงก็คือตอนคลอดลูก   และมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราคิดถึงแม่มากที่สุด      ฉันไม่แน่ใจว่านี่

จะเป็นความเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตหรือเปล่า    มันน่าจะเป็นความเจ็บปวดในรูปแบบที่แตกต่างมากกว่า    เมื่อก่อนนี้ฉันเคยป่วยหนักจนต้องนอน

หยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์   เคยผ่าตัดขากรรไกรทั้งสองข้าง   นั่นก็เจ็บปวดเหมือนกัน    แต่เขาพูดถูกที่บอกว่ามันทำให้เราคิดถึงแม่   

... แม่ของฉันก็เจ็บปวดเช่นนี้เหมือนกันตอนที่คลอดฉันออกมา   


นอกจากจะคิดถึงแม่มาก ๆ แล้ว  ในช่วงเวลาที่แสนทุกข์ทรมานนั้น   ฉันบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า อีกเดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป    ความเจ็บปวดนี้จะต้องสิ้นสุด

ลง ...     อีกไม่นานฉันก็จะได้พบกับ  - เธอ -     เราอยู่ด้วยกันมาเก้าเดือน   เราไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ    เมื่อฉันกินเราอิ่มพร้อมกัน    เรามีลม

หายใจเดียวกัน   เธอคือส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน      เธอคือความฝันที่เป็นจริง  
  

จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องออกจากสถานที่อันอบอุ่นเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกด้วยตัวเอง     ส่วนฉันก็ได้ก้าวผ่านประสบการณ์กลายเป็นแม่คนครั้ง

แรกในชีวิตโดยสวัสดิภาพ   


นางพยาบาลนำเอาสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มานอนบนอกของฉัน    จากที่แผดเสียงร้อง “อุแว้ ๆ” ลั่นห้อง    ตอนนี้เสียงนั้นกลับเงียบลง    นี่น่ะหรือ  นางฟ้าตัว

น้อย ๆ ที่ฉันเฝ้าฝันถึงเป็นเวลาหลายปี     หน้าตาเธอเป็นอย่างนี้นี่เอง     อยากรู้เหลือเกินว่าเธอไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนมาเสียตั้งนาน     ฉันนึกขอบคุณ

โชคชะตาที่ช่วยให้การรอคอยแสนยาวนานสิ้นสุดลงเสียได้    ... ฉันจับมือเล็กจิ๋วน่าทะนุถนอมของเธอเอาไว้   แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า ‘แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้า

ลูก’    ตาแป๋วแหววของเธอมองจ้องใบหน้าฉันราวกับต้องการจะบอกว่า   ‘ได้เจอกันสักทีนะคะมามี้’

2
เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง   ทว่าตอนนี้ลูกมีอายุหกสิบวันแล้ว   เป็นหกสิบวันแรกของชีวิตที่มีเหตุการณ์อันน่าประทับใจ

มากมาย   ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้เธอจดจำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหกสิบวันและช่วงเวลาต่อจากนี้      อยากให้เธอจำความรู้สึกที่ถูกพ่อและแม่โอบ

กอดด้วยความรักความห่วงใย    ได้รับรู้ว่าความสุขและความทุกข์ของเราสองคนขึ้นอยู่กับระบบการขับถ่ายของเธอ    จำได้ว่าแม่กังวลใจทุกครั้งที่ลูก

นอนหลับท่าเดียวนานเกินไปเพราะกลัวว่าลูกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก


ให้เธอจดจำภาพรอยยิ้มของแม่เมื่อมองมาที่ใบหน้ายู่ยี่ของนางฟ้าตัวน้อย ๆ ยามตื่นนอน     จำความรู้สึกที่ถูกแม่โอบอุ้มไว้แนบอกอุ่น ๆ    จำรสชาติ

ของน้ำนมที่กลั่นออกมาจากเลือดในกายและความรักของแม่     จำภาพที่แม่ต้องตื่นขึ้นมานั่งสับปะหงกให้นมเธอกลางดึกทุกสองชั่วโมง     จดจำ

บทเพลงกล่อมนอนที่แม่ร้องให้ฟัง    เสียงพูดคุยหยอกล้อ    และเสียงของแม่ที่เฝ้าพูดพร่ำซ้ำ ๆ คำเดิมว่าแม่รักเธอมากที่สุด   ... ฉันอยากให้ลูกจดจำ

ทุกสิ่งเหล่านี้ได้เหลือเกิน    เผื่อว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าเธอจะได้ไม่นึกเสียใจที่ตัวเองลืมเลือนเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ไป     

  
ถึงแม้มันจะสำคัญมากสักเพียงไหน   แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตได้     ฉันเองก็เช่นกัน     จำได้

แค่บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนโต     ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ต่อไปนี้...


วันหนึ่งหลังกลับจากโรงเรียน   ฉันเล่าให้แม่ฟังว่าเพื่อนสนิทถูกตามกลับบ้านด่วนเพราะแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน    แม่เลยถามฉันว่า   ถ้าแม่ตาย

ไปฉันจะเศร้ามากไหม    ฉันตอบไปว่าก็คงไม่    สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องตาย   มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก   เมื่อรู้เช่นนี้แล้วจะเศร้าทำไม     มัน

เหมือนจะเป็นสิ่งเท่ ๆ ที่ฉันจำเขามาพูด  ไม่ใช่คำตอบแรกที่วิ่งเข้ามาสู่สมองแต่ตอบไปเช่นนั้นตามประสาเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจ   ฉันอยากให้

แม่ชมว่าเก่ง  ที่เด็กป.4 คนนี้คิดถึงเรื่องของสัจธรรมยาก ๆ ได้แล้ว   แม่ต้องภูมิใจในตัวฉันแน่    ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้แม่โมโห    ไม่มีคำชมซ้ำยัง

ถูกตะเพิด    มันสายเกินไปที่จะบอกคำตอบจริง ๆ ที่อยู่ในใจว่า  ถ้าหากไม่มีแม่อยู่   ฉันคงเศร้ามาก ๆ   แม่เป็นโลกทั้งใบของฉัน   ไม่สามารถ

จินตนาการได้เลยว่าหากไม่มีโลกใบนี้เสียแล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร


ถึงแม้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก  ฉันรักแม่มากที่สุดในโลก   แต่น่าแปลกที่พอโตขึ้นฉันกลับกลายเป็นเหมือนคนละคนกับเด็กคนนั้น      บางสิ่งบางอย่างได้

เปลี่ยนฉันให้กลายเป็นวัยรุ่นช่างเหงาและเหว่ว้า   เป็นลูกที่ขาดความรัก   มักต่อต้านแม่   เอะอะโวยวายใส่แม่   เกลียดเสียงบ่นของแม่   เดินหนีก่อนที่

แม่จะพูดจบ   รำคาญที่ต้องพูดประโยคซ้ำ ๆ กับแม่   สะสมความโกรธ   ความน้อยใจเอาไว้จนไม่พูดกับแม่นานนับปี     


ฉันคงเป็นลูกที่ดีกว่านี้    คงไม่คิดตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองว่าแม่ไม่รัก    ถ้าเพียงแต่จะจดจำเหตุการณ์ระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตได้บ้าง     ถ้าจะ

สามารถจดจำได้ว่า  แม่เคยโอบกอดฉันด้วยความรักความห่วงใย    จำภาพรอยยิ้ม   จำความรู้สึกที่ถูกแม่โอบอุ้มไว้แนบอกอุ่น ๆ    จำรสชาติของน้ำนม

ที่กลั่นออกมาจากเลือดในกายและความรักของแม่     จำภาพที่แม่ต้องตื่นขึ้นมานั่งสับปะหงกให้นมฉันกลางดึกทุก ๆ สองชั่วโมง     จดจำบทเพลง

กล่อมนอนที่แม่ร้องให้ฟัง    เสียงพูดคุยหยอกล้อ    และเสียงของแม่ที่เฝ้าพูดพร่ำซ้ำ ๆ คำเดิมกับฉันว่าแม่รักลูกมากแค่ไหน ...   


3
ลูกสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของฉัน   น้ำนมสีขาวขุ่นติดอยู่ที่ข้างแก้ม   สักพักหนึ่งเธอยกแขนสองข้างขึ้น  เอียงคอ เบะปาก  พร้อมกับ

กระดกก้น   ทำท่าบิดขี้เกียจอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว    ฉันลูบศีรษะที่มีผมเส้นบางหร็อมแหร็มแล้วก้มลงห้อมแก้มทั้งซ้ายขวา   ได้กลิ่นกายเด็ก

ทารกผสมกลิ่นจาง ๆ ของน้ำนมตัวเองจากแก้มสองข้าง     จากนั้นบรรจงวางร่างเล็ก ๆ ลงบนที่นอนอย่างเบามือ        

แม่คงกำลังรอจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะบ่น     เมื่อเห็นฉันว่างจากการให้นมลูก   แม่ก็เริ่มทันที

“ปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้ายับ ๆ แบบนี้ได้ยังไง   ดูไม่เรียบร้อยเลย   อยู่ที่บ้านโน้นแม่สามีเขาไม่ว่าเอาบ้างหรือไง    เขาต้องว่ามาถึงแม่แน่เลยว่าไม่สั่งไม่

สอน    เมื่อก่อนนี้แม่รีดเสื้อผ้าลูกทุกชุด    มีลูกสามคนก็รีดให้ใส่ทุกคน...”   แม่เดินมานั่งลงที่โซฟา  คงกะจะบ่นให้ฉันได้ยินถนัด ๆ

“แค่ชุดใส่อยู่บ้านไม่ต้องเรียบมากก็ได้มั้ง”    ฉันพูดเบา ๆ   แต่แม่ก็ยังได้ยิน

“ไม่ได้หรอก   คิดแบบนี้ได้ยังไง   มันจะติดเป็นนิสัย   อีกหน่อยก็ปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้ายับ ๆ แบบนี้ไปจนโต      ดูได้ซะที่ไหนล่ะ ...”    แม่มีความ

สามารถในการสรรหาเรื่องบ่น    แม้เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญเช่นเรื่องนี้เป็นต้น     จากเรื่องนี้แม่จะบ่นเรื่องโน้นเรื่องนั้นต่อไปเรื่อย ๆ แบบอินฟินิตี้

ฉันลุกขึ้นไปหยิบตระกร้าเสื้อผ้าลูก   

“งั้นหนูไปรีดผ้าก่อนนะ   ฝากดูน้องให้ด้วย”

“นอนหงายแบบนี้เดี๋ยวก็ผวา  หลับได้แป๊บเดียวก็ตื่น  ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”

แม่เข้ามาจับหลานสาวพลิกจากท่านอนหงายเป็นนอนคว่ำ  

ฉันกำลังจะเดินพ้นประตูห้องอยู่แล้ว   แต่พอหันหลังกลับมา   ก็เห็นแม่กำลังตบก้นหลานพร้อมฮัมเพลงกล่อมเบา ๆ     ฉันเดินกลับเข้ามาหาแม่อีกครั้ง   

แล้วหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่

“หนูรักแม่นะ”

แม่แอบยิ้ม   

ที่ผ่านมาฉันจำเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตไม่ได้    แต่วันนี้ฉันจำรอยยิ้มและแววตาที่เปี่ยมด้วยความรักของแม่ได้     

ฉันเคยเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมาดูโลกแล้ว...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่