The First 60 Days of Life
1
วินาทีที่ลูกลืมตาออกมาดูโลก ไม่มีอะไรเหมือนกับที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยสักนิดเดียว ไม่มีการโพสต์ท่าถ่ายภาพพ่อ แม่ ลูก ไม่มีน้ำตาแห่ง
ความตื้นตัน ฉันลืมถามออกไปว่า “ครบไหมคะ” นางพยาบาลก็ไม่ได้บอกอะไร เธออุ้มลูกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว ในขณะที่หมอจัดการเย็บอวัยวะส่วน
ที่ฉีกขาด ซึ่งสามารถรู้สึกได้ทุกครั้งที่หมอกระตุกด้าย แต่กลับไม่เจ็บอย่างที่คิดเลย คงเป็นเพราะเพิ่งผ่านความทรมานจากขั้นตอนการคลอดมา
เมื่อกี้ ต่อจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ดูจิ๊บจ๊อยไปหมด
ฉันยังคงตั้งตัวไม่ติดกับบรรยากาศอึกทึกจากเสียงเชียร์ของหมอและพยาบาล พวกเขาได้เปลี่ยนห้องคลอดเป็นสนามเชียร์กีฬาชั่วคราว “เอ้า !”
“อีกนิดเดียว ๆ” “หัวโผล่แล้ว” น่าแปลกที่พอเข้ามาในห้องนี้แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก ทั้ง ๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เข็มนาฬิกากระดิกช้า
ยิ่งกว่าเต่าคลาน
เขาว่ากันว่าความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของมนุษย์เพศหญิงก็คือตอนคลอดลูก และมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราคิดถึงแม่มากที่สุด ฉันไม่แน่ใจว่านี่
จะเป็นความเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตหรือเปล่า มันน่าจะเป็นความเจ็บปวดในรูปแบบที่แตกต่างมากกว่า เมื่อก่อนนี้ฉันเคยป่วยหนักจนต้องนอน
หยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ เคยผ่าตัดขากรรไกรทั้งสองข้าง นั่นก็เจ็บปวดเหมือนกัน แต่เขาพูดถูกที่บอกว่ามันทำให้เราคิดถึงแม่
... แม่ของฉันก็เจ็บปวดเช่นนี้เหมือนกันตอนที่คลอดฉันออกมา
นอกจากจะคิดถึงแม่มาก ๆ แล้ว ในช่วงเวลาที่แสนทุกข์ทรมานนั้น ฉันบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า อีกเดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป ความเจ็บปวดนี้จะต้องสิ้นสุด
ลง ... อีกไม่นานฉันก็จะได้พบกับ - เธอ - เราอยู่ด้วยกันมาเก้าเดือน เราไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เมื่อฉันกินเราอิ่มพร้อมกัน เรามีลม
หายใจเดียวกัน เธอคือส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน เธอคือความฝันที่เป็นจริง
จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องออกจากสถานที่อันอบอุ่นเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกด้วยตัวเอง ส่วนฉันก็ได้ก้าวผ่านประสบการณ์กลายเป็นแม่คนครั้ง
แรกในชีวิตโดยสวัสดิภาพ
นางพยาบาลนำเอาสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มานอนบนอกของฉัน จากที่แผดเสียงร้อง “อุแว้ ๆ” ลั่นห้อง ตอนนี้เสียงนั้นกลับเงียบลง นี่น่ะหรือ นางฟ้าตัว
น้อย ๆ ที่ฉันเฝ้าฝันถึงเป็นเวลาหลายปี หน้าตาเธอเป็นอย่างนี้นี่เอง อยากรู้เหลือเกินว่าเธอไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนมาเสียตั้งนาน ฉันนึกขอบคุณ
โชคชะตาที่ช่วยให้การรอคอยแสนยาวนานสิ้นสุดลงเสียได้ ... ฉันจับมือเล็กจิ๋วน่าทะนุถนอมของเธอเอาไว้ แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า ‘แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้า
ลูก’ ตาแป๋วแหววของเธอมองจ้องใบหน้าฉันราวกับต้องการจะบอกว่า ‘ได้เจอกันสักทีนะคะมามี้’
2
เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ทว่าตอนนี้ลูกมีอายุหกสิบวันแล้ว เป็นหกสิบวันแรกของชีวิตที่มีเหตุการณ์อันน่าประทับใจ
มากมาย ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้เธอจดจำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหกสิบวันและช่วงเวลาต่อจากนี้ อยากให้เธอจำความรู้สึกที่ถูกพ่อและแม่โอบ
กอดด้วยความรักความห่วงใย ได้รับรู้ว่าความสุขและความทุกข์ของเราสองคนขึ้นอยู่กับระบบการขับถ่ายของเธอ จำได้ว่าแม่กังวลใจทุกครั้งที่ลูก
นอนหลับท่าเดียวนานเกินไปเพราะกลัวว่าลูกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ให้เธอจดจำภาพรอยยิ้มของแม่เมื่อมองมาที่ใบหน้ายู่ยี่ของนางฟ้าตัวน้อย ๆ ยามตื่นนอน จำความรู้สึกที่ถูกแม่โอบอุ้มไว้แนบอกอุ่น ๆ จำรสชาติ
ของน้ำนมที่กลั่นออกมาจากเลือดในกายและความรักของแม่ จำภาพที่แม่ต้องตื่นขึ้นมานั่งสับปะหงกให้นมเธอกลางดึกทุกสองชั่วโมง จดจำ
บทเพลงกล่อมนอนที่แม่ร้องให้ฟัง เสียงพูดคุยหยอกล้อ และเสียงของแม่ที่เฝ้าพูดพร่ำซ้ำ ๆ คำเดิมว่าแม่รักเธอมากที่สุด ... ฉันอยากให้ลูกจดจำ
ทุกสิ่งเหล่านี้ได้เหลือเกิน เผื่อว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าเธอจะได้ไม่นึกเสียใจที่ตัวเองลืมเลือนเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ไป
ถึงแม้มันจะสำคัญมากสักเพียงไหน แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตได้ ฉันเองก็เช่นกัน จำได้
แค่บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนโต ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ต่อไปนี้...
วันหนึ่งหลังกลับจากโรงเรียน ฉันเล่าให้แม่ฟังว่าเพื่อนสนิทถูกตามกลับบ้านด่วนเพราะแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน แม่เลยถามฉันว่า ถ้าแม่ตาย
ไปฉันจะเศร้ามากไหม ฉันตอบไปว่าก็คงไม่ สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก เมื่อรู้เช่นนี้แล้วจะเศร้าทำไม มัน
เหมือนจะเป็นสิ่งเท่ ๆ ที่ฉันจำเขามาพูด ไม่ใช่คำตอบแรกที่วิ่งเข้ามาสู่สมองแต่ตอบไปเช่นนั้นตามประสาเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ฉันอยากให้
แม่ชมว่าเก่ง ที่เด็กป.4 คนนี้คิดถึงเรื่องของสัจธรรมยาก ๆ ได้แล้ว แม่ต้องภูมิใจในตัวฉันแน่ ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้แม่โมโห ไม่มีคำชมซ้ำยัง
ถูกตะเพิด มันสายเกินไปที่จะบอกคำตอบจริง ๆ ที่อยู่ในใจว่า ถ้าหากไม่มีแม่อยู่ ฉันคงเศร้ามาก ๆ แม่เป็นโลกทั้งใบของฉัน ไม่สามารถ
จินตนาการได้เลยว่าหากไม่มีโลกใบนี้เสียแล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ฉันรักแม่มากที่สุดในโลก แต่น่าแปลกที่พอโตขึ้นฉันกลับกลายเป็นเหมือนคนละคนกับเด็กคนนั้น บางสิ่งบางอย่างได้
เปลี่ยนฉันให้กลายเป็นวัยรุ่นช่างเหงาและเหว่ว้า เป็นลูกที่ขาดความรัก มักต่อต้านแม่ เอะอะโวยวายใส่แม่ เกลียดเสียงบ่นของแม่ เดินหนีก่อนที่
แม่จะพูดจบ รำคาญที่ต้องพูดประโยคซ้ำ ๆ กับแม่ สะสมความโกรธ ความน้อยใจเอาไว้จนไม่พูดกับแม่นานนับปี
ฉันคงเป็นลูกที่ดีกว่านี้ คงไม่คิดตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองว่าแม่ไม่รัก ถ้าเพียงแต่จะจดจำเหตุการณ์ระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตได้บ้าง ถ้าจะ
สามารถจดจำได้ว่า แม่เคยโอบกอดฉันด้วยความรักความห่วงใย จำภาพรอยยิ้ม จำความรู้สึกที่ถูกแม่โอบอุ้มไว้แนบอกอุ่น ๆ จำรสชาติของน้ำนม
ที่กลั่นออกมาจากเลือดในกายและความรักของแม่ จำภาพที่แม่ต้องตื่นขึ้นมานั่งสับปะหงกให้นมฉันกลางดึกทุก ๆ สองชั่วโมง จดจำบทเพลง
กล่อมนอนที่แม่ร้องให้ฟัง เสียงพูดคุยหยอกล้อ และเสียงของแม่ที่เฝ้าพูดพร่ำซ้ำ ๆ คำเดิมกับฉันว่าแม่รักลูกมากแค่ไหน ...
3
ลูกสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของฉัน น้ำนมสีขาวขุ่นติดอยู่ที่ข้างแก้ม สักพักหนึ่งเธอยกแขนสองข้างขึ้น เอียงคอ เบะปาก พร้อมกับ
กระดกก้น ทำท่าบิดขี้เกียจอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ฉันลูบศีรษะที่มีผมเส้นบางหร็อมแหร็มแล้วก้มลงห้อมแก้มทั้งซ้ายขวา ได้กลิ่นกายเด็ก
ทารกผสมกลิ่นจาง ๆ ของน้ำนมตัวเองจากแก้มสองข้าง จากนั้นบรรจงวางร่างเล็ก ๆ ลงบนที่นอนอย่างเบามือ
แม่คงกำลังรอจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะบ่น เมื่อเห็นฉันว่างจากการให้นมลูก แม่ก็เริ่มทันที
“ปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้ายับ ๆ แบบนี้ได้ยังไง ดูไม่เรียบร้อยเลย อยู่ที่บ้านโน้นแม่สามีเขาไม่ว่าเอาบ้างหรือไง เขาต้องว่ามาถึงแม่แน่เลยว่าไม่สั่งไม่
สอน เมื่อก่อนนี้แม่รีดเสื้อผ้าลูกทุกชุด มีลูกสามคนก็รีดให้ใส่ทุกคน...” แม่เดินมานั่งลงที่โซฟา คงกะจะบ่นให้ฉันได้ยินถนัด ๆ
“แค่ชุดใส่อยู่บ้านไม่ต้องเรียบมากก็ได้มั้ง” ฉันพูดเบา ๆ แต่แม่ก็ยังได้ยิน
“ไม่ได้หรอก คิดแบบนี้ได้ยังไง มันจะติดเป็นนิสัย อีกหน่อยก็ปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้ายับ ๆ แบบนี้ไปจนโต ดูได้ซะที่ไหนล่ะ ...” แม่มีความ
สามารถในการสรรหาเรื่องบ่น แม้เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญเช่นเรื่องนี้เป็นต้น จากเรื่องนี้แม่จะบ่นเรื่องโน้นเรื่องนั้นต่อไปเรื่อย ๆ แบบอินฟินิตี้
ฉันลุกขึ้นไปหยิบตระกร้าเสื้อผ้าลูก
“งั้นหนูไปรีดผ้าก่อนนะ ฝากดูน้องให้ด้วย”
“นอนหงายแบบนี้เดี๋ยวก็ผวา หลับได้แป๊บเดียวก็ตื่น ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”
แม่เข้ามาจับหลานสาวพลิกจากท่านอนหงายเป็นนอนคว่ำ
ฉันกำลังจะเดินพ้นประตูห้องอยู่แล้ว แต่พอหันหลังกลับมา ก็เห็นแม่กำลังตบก้นหลานพร้อมฮัมเพลงกล่อมเบา ๆ ฉันเดินกลับเข้ามาหาแม่อีกครั้ง
แล้วหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่
“หนูรักแม่นะ”
แม่แอบยิ้ม
ที่ผ่านมาฉันจำเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตไม่ได้ แต่วันนี้ฉันจำรอยยิ้มและแววตาที่เปี่ยมด้วยความรักของแม่ได้
ฉันเคยเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมาดูโลกแล้ว...
หกสิบวันแรกของชีวิต
1
วินาทีที่ลูกลืมตาออกมาดูโลก ไม่มีอะไรเหมือนกับที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยสักนิดเดียว ไม่มีการโพสต์ท่าถ่ายภาพพ่อ แม่ ลูก ไม่มีน้ำตาแห่ง
ความตื้นตัน ฉันลืมถามออกไปว่า “ครบไหมคะ” นางพยาบาลก็ไม่ได้บอกอะไร เธออุ้มลูกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว ในขณะที่หมอจัดการเย็บอวัยวะส่วน
ที่ฉีกขาด ซึ่งสามารถรู้สึกได้ทุกครั้งที่หมอกระตุกด้าย แต่กลับไม่เจ็บอย่างที่คิดเลย คงเป็นเพราะเพิ่งผ่านความทรมานจากขั้นตอนการคลอดมา
เมื่อกี้ ต่อจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ดูจิ๊บจ๊อยไปหมด
ฉันยังคงตั้งตัวไม่ติดกับบรรยากาศอึกทึกจากเสียงเชียร์ของหมอและพยาบาล พวกเขาได้เปลี่ยนห้องคลอดเป็นสนามเชียร์กีฬาชั่วคราว “เอ้า !”
“อีกนิดเดียว ๆ” “หัวโผล่แล้ว” น่าแปลกที่พอเข้ามาในห้องนี้แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก ทั้ง ๆ ที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เข็มนาฬิกากระดิกช้า
ยิ่งกว่าเต่าคลาน
เขาว่ากันว่าความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของมนุษย์เพศหญิงก็คือตอนคลอดลูก และมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราคิดถึงแม่มากที่สุด ฉันไม่แน่ใจว่านี่
จะเป็นความเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิตหรือเปล่า มันน่าจะเป็นความเจ็บปวดในรูปแบบที่แตกต่างมากกว่า เมื่อก่อนนี้ฉันเคยป่วยหนักจนต้องนอน
หยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ เคยผ่าตัดขากรรไกรทั้งสองข้าง นั่นก็เจ็บปวดเหมือนกัน แต่เขาพูดถูกที่บอกว่ามันทำให้เราคิดถึงแม่
... แม่ของฉันก็เจ็บปวดเช่นนี้เหมือนกันตอนที่คลอดฉันออกมา
นอกจากจะคิดถึงแม่มาก ๆ แล้ว ในช่วงเวลาที่แสนทุกข์ทรมานนั้น ฉันบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า อีกเดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป ความเจ็บปวดนี้จะต้องสิ้นสุด
ลง ... อีกไม่นานฉันก็จะได้พบกับ - เธอ - เราอยู่ด้วยกันมาเก้าเดือน เราไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เมื่อฉันกินเราอิ่มพร้อมกัน เรามีลม
หายใจเดียวกัน เธอคือส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน เธอคือความฝันที่เป็นจริง
จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอต้องออกจากสถานที่อันอบอุ่นเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกด้วยตัวเอง ส่วนฉันก็ได้ก้าวผ่านประสบการณ์กลายเป็นแม่คนครั้ง
แรกในชีวิตโดยสวัสดิภาพ
นางพยาบาลนำเอาสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มานอนบนอกของฉัน จากที่แผดเสียงร้อง “อุแว้ ๆ” ลั่นห้อง ตอนนี้เสียงนั้นกลับเงียบลง นี่น่ะหรือ นางฟ้าตัว
น้อย ๆ ที่ฉันเฝ้าฝันถึงเป็นเวลาหลายปี หน้าตาเธอเป็นอย่างนี้นี่เอง อยากรู้เหลือเกินว่าเธอไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหนมาเสียตั้งนาน ฉันนึกขอบคุณ
โชคชะตาที่ช่วยให้การรอคอยแสนยาวนานสิ้นสุดลงเสียได้ ... ฉันจับมือเล็กจิ๋วน่าทะนุถนอมของเธอเอาไว้ แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า ‘แฮปปี้เบิร์ดเดย์จ้า
ลูก’ ตาแป๋วแหววของเธอมองจ้องใบหน้าฉันราวกับต้องการจะบอกว่า ‘ได้เจอกันสักทีนะคะมามี้’
2
เหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ทว่าตอนนี้ลูกมีอายุหกสิบวันแล้ว เป็นหกสิบวันแรกของชีวิตที่มีเหตุการณ์อันน่าประทับใจ
มากมาย ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้เธอจดจำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหกสิบวันและช่วงเวลาต่อจากนี้ อยากให้เธอจำความรู้สึกที่ถูกพ่อและแม่โอบ
กอดด้วยความรักความห่วงใย ได้รับรู้ว่าความสุขและความทุกข์ของเราสองคนขึ้นอยู่กับระบบการขับถ่ายของเธอ จำได้ว่าแม่กังวลใจทุกครั้งที่ลูก
นอนหลับท่าเดียวนานเกินไปเพราะกลัวว่าลูกจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ให้เธอจดจำภาพรอยยิ้มของแม่เมื่อมองมาที่ใบหน้ายู่ยี่ของนางฟ้าตัวน้อย ๆ ยามตื่นนอน จำความรู้สึกที่ถูกแม่โอบอุ้มไว้แนบอกอุ่น ๆ จำรสชาติ
ของน้ำนมที่กลั่นออกมาจากเลือดในกายและความรักของแม่ จำภาพที่แม่ต้องตื่นขึ้นมานั่งสับปะหงกให้นมเธอกลางดึกทุกสองชั่วโมง จดจำ
บทเพลงกล่อมนอนที่แม่ร้องให้ฟัง เสียงพูดคุยหยอกล้อ และเสียงของแม่ที่เฝ้าพูดพร่ำซ้ำ ๆ คำเดิมว่าแม่รักเธอมากที่สุด ... ฉันอยากให้ลูกจดจำ
ทุกสิ่งเหล่านี้ได้เหลือเกิน เผื่อว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าเธอจะได้ไม่นึกเสียใจที่ตัวเองลืมเลือนเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ไป
ถึงแม้มันจะสำคัญมากสักเพียงไหน แต่ในความเป็นจริงไม่มีใครสามารถจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตได้ ฉันเองก็เช่นกัน จำได้
แค่บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนโต ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ต่อไปนี้...
วันหนึ่งหลังกลับจากโรงเรียน ฉันเล่าให้แม่ฟังว่าเพื่อนสนิทถูกตามกลับบ้านด่วนเพราะแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน แม่เลยถามฉันว่า ถ้าแม่ตาย
ไปฉันจะเศร้ามากไหม ฉันตอบไปว่าก็คงไม่ สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก เมื่อรู้เช่นนี้แล้วจะเศร้าทำไม มัน
เหมือนจะเป็นสิ่งเท่ ๆ ที่ฉันจำเขามาพูด ไม่ใช่คำตอบแรกที่วิ่งเข้ามาสู่สมองแต่ตอบไปเช่นนั้นตามประสาเด็กที่ชอบเรียกร้องความสนใจ ฉันอยากให้
แม่ชมว่าเก่ง ที่เด็กป.4 คนนี้คิดถึงเรื่องของสัจธรรมยาก ๆ ได้แล้ว แม่ต้องภูมิใจในตัวฉันแน่ ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้แม่โมโห ไม่มีคำชมซ้ำยัง
ถูกตะเพิด มันสายเกินไปที่จะบอกคำตอบจริง ๆ ที่อยู่ในใจว่า ถ้าหากไม่มีแม่อยู่ ฉันคงเศร้ามาก ๆ แม่เป็นโลกทั้งใบของฉัน ไม่สามารถ
จินตนาการได้เลยว่าหากไม่มีโลกใบนี้เสียแล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ฉันรักแม่มากที่สุดในโลก แต่น่าแปลกที่พอโตขึ้นฉันกลับกลายเป็นเหมือนคนละคนกับเด็กคนนั้น บางสิ่งบางอย่างได้
เปลี่ยนฉันให้กลายเป็นวัยรุ่นช่างเหงาและเหว่ว้า เป็นลูกที่ขาดความรัก มักต่อต้านแม่ เอะอะโวยวายใส่แม่ เกลียดเสียงบ่นของแม่ เดินหนีก่อนที่
แม่จะพูดจบ รำคาญที่ต้องพูดประโยคซ้ำ ๆ กับแม่ สะสมความโกรธ ความน้อยใจเอาไว้จนไม่พูดกับแม่นานนับปี
ฉันคงเป็นลูกที่ดีกว่านี้ คงไม่คิดตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองว่าแม่ไม่รัก ถ้าเพียงแต่จะจดจำเหตุการณ์ระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตได้บ้าง ถ้าจะ
สามารถจดจำได้ว่า แม่เคยโอบกอดฉันด้วยความรักความห่วงใย จำภาพรอยยิ้ม จำความรู้สึกที่ถูกแม่โอบอุ้มไว้แนบอกอุ่น ๆ จำรสชาติของน้ำนม
ที่กลั่นออกมาจากเลือดในกายและความรักของแม่ จำภาพที่แม่ต้องตื่นขึ้นมานั่งสับปะหงกให้นมฉันกลางดึกทุก ๆ สองชั่วโมง จดจำบทเพลง
กล่อมนอนที่แม่ร้องให้ฟัง เสียงพูดคุยหยอกล้อ และเสียงของแม่ที่เฝ้าพูดพร่ำซ้ำ ๆ คำเดิมกับฉันว่าแม่รักลูกมากแค่ไหน ...
3
ลูกสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนของฉัน น้ำนมสีขาวขุ่นติดอยู่ที่ข้างแก้ม สักพักหนึ่งเธอยกแขนสองข้างขึ้น เอียงคอ เบะปาก พร้อมกับ
กระดกก้น ทำท่าบิดขี้เกียจอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ฉันลูบศีรษะที่มีผมเส้นบางหร็อมแหร็มแล้วก้มลงห้อมแก้มทั้งซ้ายขวา ได้กลิ่นกายเด็ก
ทารกผสมกลิ่นจาง ๆ ของน้ำนมตัวเองจากแก้มสองข้าง จากนั้นบรรจงวางร่างเล็ก ๆ ลงบนที่นอนอย่างเบามือ
แม่คงกำลังรอจังหวะเหมาะ ๆ ที่จะบ่น เมื่อเห็นฉันว่างจากการให้นมลูก แม่ก็เริ่มทันที
“ปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้ายับ ๆ แบบนี้ได้ยังไง ดูไม่เรียบร้อยเลย อยู่ที่บ้านโน้นแม่สามีเขาไม่ว่าเอาบ้างหรือไง เขาต้องว่ามาถึงแม่แน่เลยว่าไม่สั่งไม่
สอน เมื่อก่อนนี้แม่รีดเสื้อผ้าลูกทุกชุด มีลูกสามคนก็รีดให้ใส่ทุกคน...” แม่เดินมานั่งลงที่โซฟา คงกะจะบ่นให้ฉันได้ยินถนัด ๆ
“แค่ชุดใส่อยู่บ้านไม่ต้องเรียบมากก็ได้มั้ง” ฉันพูดเบา ๆ แต่แม่ก็ยังได้ยิน
“ไม่ได้หรอก คิดแบบนี้ได้ยังไง มันจะติดเป็นนิสัย อีกหน่อยก็ปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้ายับ ๆ แบบนี้ไปจนโต ดูได้ซะที่ไหนล่ะ ...” แม่มีความ
สามารถในการสรรหาเรื่องบ่น แม้เรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญเช่นเรื่องนี้เป็นต้น จากเรื่องนี้แม่จะบ่นเรื่องโน้นเรื่องนั้นต่อไปเรื่อย ๆ แบบอินฟินิตี้
ฉันลุกขึ้นไปหยิบตระกร้าเสื้อผ้าลูก
“งั้นหนูไปรีดผ้าก่อนนะ ฝากดูน้องให้ด้วย”
“นอนหงายแบบนี้เดี๋ยวก็ผวา หลับได้แป๊บเดียวก็ตื่น ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี”
แม่เข้ามาจับหลานสาวพลิกจากท่านอนหงายเป็นนอนคว่ำ
ฉันกำลังจะเดินพ้นประตูห้องอยู่แล้ว แต่พอหันหลังกลับมา ก็เห็นแม่กำลังตบก้นหลานพร้อมฮัมเพลงกล่อมเบา ๆ ฉันเดินกลับเข้ามาหาแม่อีกครั้ง
แล้วหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่
“หนูรักแม่นะ”
แม่แอบยิ้ม
ที่ผ่านมาฉันจำเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างหกสิบวันแรกของชีวิตไม่ได้ แต่วันนี้ฉันจำรอยยิ้มและแววตาที่เปี่ยมด้วยความรักของแม่ได้
ฉันเคยเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาออกมาดูโลกแล้ว...