ตอนเด็กๆช่วง ม.ต้นจำได้ว่า อยากเป็นจิตแพทย์ เพราะเข้าใจว่า "ถ้าสามารถเข้าใจความคิด หรือความรู้สึกของคนๆนั้นได้ มันคงเป็นอะไรที่ดีมากๆ" ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าถ้าอยากเป็นจิตแพทย์ต้องทำยังไง ก็ไปสร้างอุดมคติของตัวเองว่า คงต้องอ่านหนังสือจิตวิทยามากๆล่ะมั้ง นับตั้งแต่นั้นก็ชอบเข้าร้านหนังสือมาตลอด
ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังหลงทาง ความคิดอะไรๆมันไวไปหมด หลังจากเสพหนังสืออะไรทำนองนั้นเข้ามากๆ มันกลายเป็นคนคิดไม่ตก และเมื่อมาพบกับความเป็นจริงว่า เราคงอยากเป็นจิตแพทย์ไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมันสายไปแล้ว ไม่เคยมีใครบอกเลยว่าถ้าอยากเป็นจิตแพทย์ต้องทำอะไรบ้าง
ตอนช่วงเปลี่ยนเป็น ม.ปลาย ก็ถูกบังคับให้เรียนสายวิทย์ ทั้งๆที่ใจอยากเรียนภาษามากกว่า อยู่มาวันหนึ่งที่บ้านก็มาเปลยๆว่า จะให้เป็นทหารนะมันเป็นอาชีพที่มั่นคง ก็กลายเป็นต้องลาออกไปเรียนเป็นทหาร พอมาตั้งหลักได้อีกที ก็กลายเป็นนักเรียนทหารไปแล้ว แต่ก็ยังดีที่รู้ตัวว่า เราไม่ควรจะเป็นทหารนะ เลยตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมาตลอดและรู้ตัวเองทันทีว่า ถ้าเอาสิ่งที่เป็นไปได้กับความเป็นจริงมาสังเคราะห์แล้ว "เป็นวิศวะ" คงจะถูกทางที่สุด
พอจบออกมาก็พยามทำตามกฏของตัวเองไม่ยอมเขวไปไหน จำได้ว่าโทรไปหาแม่เรื่องอยากให้ช่วยส่งเรียนให้หน่อย ก็ได้คำตอบว่าต้องส่งตัวเองแล้วนะ ทางนี้ไม่ไหวแล้ว ก็ยิ้มๆแล้วพูดว่า "ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาเองก็ได้" แต่ด้วยสภาพข้าราชการสมัยนั้น กับค่าใช้จ่ายในการเรียนของปวส. หรือ มหาวิทยาลัย มันแพงชนิดที่เทียบกันไม่ติดเลย ความเป็นไปได้ตอนนั้นคือ เรียนที่ไหนก็ได้ที่ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด พยายามดิ้นอยู่นานมาก ก็พบว่าเพื่อนหลายๆคนตอนมัธยมกำลังจบปริญญา ตอนนั้นก็มีเสียใจบ้างแต่ก็ต้องกัดฟันสู้เพราะไม่มีใครช่วยเราได้อยู่แล้ว จะกู้กยศ.ก็ผิดเงื่อนไข จะกู้กรอ.ก็โดนล้ม โชคดีได้ทุนมาก้อนหนึ่งจากการไปเรียนที่เยอรมัน กลับมาก็สมัครสอบมหาวิทยาลัย ไม่ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือหนึ่งเดือนเต็ม สอบพระจอมฯ คลองหก ก็ติดอันดับหนึ่งทุกที่ แต่ถึงใจอยากเรียนวิศวะ พอเอาความเป็นไปได้กับข้อเท็จจริงมาสังเคราะห์ ก็ต้องตัดใจว่า เราคงไม่ได้เรียนวิศวะแล้วว่ะเพราะค่าใช้จ่ายรวมๆก็มากอยู่ เงินเก็บมีไม่มาก ช่วงเวลาเรียนมันไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาทำงาน ก็เลือกที่มันเป็นไปได้มากที่สุด
ตอนเรียนก็มีปัญหาเรื่องเวลาเรียนค่อนข้างมาก ต้องขาดเรียนอยู่บ่อยๆ เวลาเรียนมีน้อย สู้เด็กรุ่นๆที่ไม่มีภาระไม่ค่อยได้ ติดปัญหาเรื่องการเงินอยู่บ่อยครั้ง หมุนเงินบัตรกดเงินสดเป็นว่าเล่น หางานพิเศษงานนอกอยู่บ่อยๆ สาขาที่เรียนก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มยาก ต้องอ่านหนังสือแบบดับเครื่องชนอยู่บ่อยครั้ง คิดอยู่ในใจเสมอว่าต้องทำเต็มที่เพราะค่าเทอมหายาก เงินก็จ่ายไปแล้วต้องเรียนให้คุ้ม ที่จำได้แม่นเลยคือช่วงตกต่ำสุดๆตอนปลายๆเทอม ตอนนั้นใช้ชีวิตด้วยโค๊กวันละถุง นั่งเรียนนี่มือไม้สั่นเลยทีเดียว เพราะต้องจัดสรรทุกอย่างชนิดที่ผิดแผนไม่ได้เลย ค่าเทอมเท่าไหร่ ค่ารถไปเรียนเท่าไหร่ ถ้าจ่ายอะไรไปจะเหลือเท่าไหร่ แต่ก็ผ่านอะไรเหล่านั้นมาได้
ถึงจุดนั้นตั้งสติแล้วถามตัวเองว่า อยากทำอะไรต่อ เพราะไอสิ่งที่ฝันๆไว้ก็ทำมันหมดแล้ว โชคดีที่ได้แฟนคอยช่วยแนะนำ เลยตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วเดินสายวิสาหกิจเต็มตัว ความรู้ก็มีน้อยมากเพราะเรียนจบมาแทบจะเอาไปใช้อะไรไม่ได้เลย แต่อาจารย์ก็ใจดีส่งท้ายมาว่า"มหาวิทยาลัยสอนคนแก้ปัญหา ไม่ได้สอนคนทำงาน" ก็อดทนกัดฟันสู้ หัวหน้าที่คุมงานก็ไม่ยอมสอนงาน องค์กรที่อยู่ก็มีการเมือง สั่งสมความรู้ทุกวันๆเข้า แล้วถามตัวเองว่า ตอนนี้อยากทำอะไรและอะไรที่ทำได้บ้าง โดดไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดที่มี EGOระดับหนึ่งที่มากพอที่จะกล้าตัดสินใจในการทำอะไรสักอย่างในชีวิต กว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่มันไม่ง่ายเลย
ถามว่าเสียใจหรือเปล่า ที่อะไรๆก็ไม่ได้อย่างที่ฝันในตอนนั้นหลายๆเรื่อง ถ้าตอนนั้นก็คงจะเสียใจนะ แต่พอตอนนี้มามองมันก็ยิ้มๆ เพราะเข้าใจว่าอะไรที่มันทำเต็มที่แล้วเป็นไปไม่ได้ก็ต้องทำใจแล้ว อย่าไปเสียใจมัน
ตอน ม.ต้น ถ้าไม่หยิบหนังสือมาอ่านบ่อยๆ ทุกวันนี้ก็คงไม่สามารถจดจ่อกับหนังสือวิชาการเล่มหนาๆได้
ตอนม.ปลาย ถ้าตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองสามารถเข้าใจภาษาได้มากกว่าภาษาไทย ทุกวันนี้ก็คงสื่อสารอยู่แต่ในกรอบ ไม่รู้ว่าคนข้างนอกเค้าคิดยังไง
ตอนเป็นทหาร ถูกฝึกให้พูดจาเสียงดัง ฟังชัด คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ถึงแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตมาคาบเส้นบ่อยๆ
ทุกวันนี้ในวิสาหกิจ หลายๆอย่างในตอนเด็กๆ มันสอนให้เราเสียสละ
ยิ่งโตยิ่งเจ็บ และชีวิตคนเราเจ็บไม่เท่ากัน เพิ่งมาคิดได้ว่าคาดหวังให้คนอื่นเจ็บเท่ากันมันฟังดูไม่ยุติธรรม ตอนนี้อยากเดินไปทางไหน เอาข้อเท็จจริงกับความเป็นไปได้มารวมกัน มันจะได้คำตอบเอง แม้ว่ามันจะเป็น The ugly truth ก็ตามที
ขอให้ผู้ที่หลงมาอ่านแล้วประสบชะตากรรมมืดแปดด้านเหมือนกัน โชคดี
#เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด
ถึงวัยรุ่นที่กำลังหลงทาง และวัยทำงานที่ต้องดิ้นรน
ช่วงวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังหลงทาง ความคิดอะไรๆมันไวไปหมด หลังจากเสพหนังสืออะไรทำนองนั้นเข้ามากๆ มันกลายเป็นคนคิดไม่ตก และเมื่อมาพบกับความเป็นจริงว่า เราคงอยากเป็นจิตแพทย์ไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมันสายไปแล้ว ไม่เคยมีใครบอกเลยว่าถ้าอยากเป็นจิตแพทย์ต้องทำอะไรบ้าง
ตอนช่วงเปลี่ยนเป็น ม.ปลาย ก็ถูกบังคับให้เรียนสายวิทย์ ทั้งๆที่ใจอยากเรียนภาษามากกว่า อยู่มาวันหนึ่งที่บ้านก็มาเปลยๆว่า จะให้เป็นทหารนะมันเป็นอาชีพที่มั่นคง ก็กลายเป็นต้องลาออกไปเรียนเป็นทหาร พอมาตั้งหลักได้อีกที ก็กลายเป็นนักเรียนทหารไปแล้ว แต่ก็ยังดีที่รู้ตัวว่า เราไม่ควรจะเป็นทหารนะ เลยตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมาตลอดและรู้ตัวเองทันทีว่า ถ้าเอาสิ่งที่เป็นไปได้กับความเป็นจริงมาสังเคราะห์แล้ว "เป็นวิศวะ" คงจะถูกทางที่สุด
พอจบออกมาก็พยามทำตามกฏของตัวเองไม่ยอมเขวไปไหน จำได้ว่าโทรไปหาแม่เรื่องอยากให้ช่วยส่งเรียนให้หน่อย ก็ได้คำตอบว่าต้องส่งตัวเองแล้วนะ ทางนี้ไม่ไหวแล้ว ก็ยิ้มๆแล้วพูดว่า "ไม่เป็นไรเดี๋ยวหาเองก็ได้" แต่ด้วยสภาพข้าราชการสมัยนั้น กับค่าใช้จ่ายในการเรียนของปวส. หรือ มหาวิทยาลัย มันแพงชนิดที่เทียบกันไม่ติดเลย ความเป็นไปได้ตอนนั้นคือ เรียนที่ไหนก็ได้ที่ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด พยายามดิ้นอยู่นานมาก ก็พบว่าเพื่อนหลายๆคนตอนมัธยมกำลังจบปริญญา ตอนนั้นก็มีเสียใจบ้างแต่ก็ต้องกัดฟันสู้เพราะไม่มีใครช่วยเราได้อยู่แล้ว จะกู้กยศ.ก็ผิดเงื่อนไข จะกู้กรอ.ก็โดนล้ม โชคดีได้ทุนมาก้อนหนึ่งจากการไปเรียนที่เยอรมัน กลับมาก็สมัครสอบมหาวิทยาลัย ไม่ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือหนึ่งเดือนเต็ม สอบพระจอมฯ คลองหก ก็ติดอันดับหนึ่งทุกที่ แต่ถึงใจอยากเรียนวิศวะ พอเอาความเป็นไปได้กับข้อเท็จจริงมาสังเคราะห์ ก็ต้องตัดใจว่า เราคงไม่ได้เรียนวิศวะแล้วว่ะเพราะค่าใช้จ่ายรวมๆก็มากอยู่ เงินเก็บมีไม่มาก ช่วงเวลาเรียนมันไม่สอดคล้องกับช่วงเวลาทำงาน ก็เลือกที่มันเป็นไปได้มากที่สุด
ตอนเรียนก็มีปัญหาเรื่องเวลาเรียนค่อนข้างมาก ต้องขาดเรียนอยู่บ่อยๆ เวลาเรียนมีน้อย สู้เด็กรุ่นๆที่ไม่มีภาระไม่ค่อยได้ ติดปัญหาเรื่องการเงินอยู่บ่อยครั้ง หมุนเงินบัตรกดเงินสดเป็นว่าเล่น หางานพิเศษงานนอกอยู่บ่อยๆ สาขาที่เรียนก็จัดว่าอยู่ในกลุ่มยาก ต้องอ่านหนังสือแบบดับเครื่องชนอยู่บ่อยครั้ง คิดอยู่ในใจเสมอว่าต้องทำเต็มที่เพราะค่าเทอมหายาก เงินก็จ่ายไปแล้วต้องเรียนให้คุ้ม ที่จำได้แม่นเลยคือช่วงตกต่ำสุดๆตอนปลายๆเทอม ตอนนั้นใช้ชีวิตด้วยโค๊กวันละถุง นั่งเรียนนี่มือไม้สั่นเลยทีเดียว เพราะต้องจัดสรรทุกอย่างชนิดที่ผิดแผนไม่ได้เลย ค่าเทอมเท่าไหร่ ค่ารถไปเรียนเท่าไหร่ ถ้าจ่ายอะไรไปจะเหลือเท่าไหร่ แต่ก็ผ่านอะไรเหล่านั้นมาได้
ถึงจุดนั้นตั้งสติแล้วถามตัวเองว่า อยากทำอะไรต่อ เพราะไอสิ่งที่ฝันๆไว้ก็ทำมันหมดแล้ว โชคดีที่ได้แฟนคอยช่วยแนะนำ เลยตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วเดินสายวิสาหกิจเต็มตัว ความรู้ก็มีน้อยมากเพราะเรียนจบมาแทบจะเอาไปใช้อะไรไม่ได้เลย แต่อาจารย์ก็ใจดีส่งท้ายมาว่า"มหาวิทยาลัยสอนคนแก้ปัญหา ไม่ได้สอนคนทำงาน" ก็อดทนกัดฟันสู้ หัวหน้าที่คุมงานก็ไม่ยอมสอนงาน องค์กรที่อยู่ก็มีการเมือง สั่งสมความรู้ทุกวันๆเข้า แล้วถามตัวเองว่า ตอนนี้อยากทำอะไรและอะไรที่ทำได้บ้าง โดดไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดที่มี EGOระดับหนึ่งที่มากพอที่จะกล้าตัดสินใจในการทำอะไรสักอย่างในชีวิต กว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่มันไม่ง่ายเลย
ถามว่าเสียใจหรือเปล่า ที่อะไรๆก็ไม่ได้อย่างที่ฝันในตอนนั้นหลายๆเรื่อง ถ้าตอนนั้นก็คงจะเสียใจนะ แต่พอตอนนี้มามองมันก็ยิ้มๆ เพราะเข้าใจว่าอะไรที่มันทำเต็มที่แล้วเป็นไปไม่ได้ก็ต้องทำใจแล้ว อย่าไปเสียใจมัน
ตอน ม.ต้น ถ้าไม่หยิบหนังสือมาอ่านบ่อยๆ ทุกวันนี้ก็คงไม่สามารถจดจ่อกับหนังสือวิชาการเล่มหนาๆได้
ตอนม.ปลาย ถ้าตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองสามารถเข้าใจภาษาได้มากกว่าภาษาไทย ทุกวันนี้ก็คงสื่อสารอยู่แต่ในกรอบ ไม่รู้ว่าคนข้างนอกเค้าคิดยังไง
ตอนเป็นทหาร ถูกฝึกให้พูดจาเสียงดัง ฟังชัด คิดเร็ว ตัดสินใจเร็ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ถึงแม้ว่าจะต้องเอาชีวิตมาคาบเส้นบ่อยๆ
ทุกวันนี้ในวิสาหกิจ หลายๆอย่างในตอนเด็กๆ มันสอนให้เราเสียสละ
ยิ่งโตยิ่งเจ็บ และชีวิตคนเราเจ็บไม่เท่ากัน เพิ่งมาคิดได้ว่าคาดหวังให้คนอื่นเจ็บเท่ากันมันฟังดูไม่ยุติธรรม ตอนนี้อยากเดินไปทางไหน เอาข้อเท็จจริงกับความเป็นไปได้มารวมกัน มันจะได้คำตอบเอง แม้ว่ามันจะเป็น The ugly truth ก็ตามที
ขอให้ผู้ที่หลงมาอ่านแล้วประสบชะตากรรมมืดแปดด้านเหมือนกัน โชคดี
#เพราะเป็นเด็กจึงเจ็บปวด