เหนื่อยก็พัก...ไม่รักก็ไปเถอะ

สวัสดีค่ะ เป็นสมาชิกพันทิปมานานแต่ยังไม่เคยตั้งกระทู้เองเลยซักครั้ง ได้แต่อ่านเรื่องราวของสมาชิกท่านอื่นที่มาแชร์ให้ฟัง ครั้งนี้ก็คิดอยู่นานนะคะว่าจะแชร์เรื่องของตัวเองดีมั้ย แต่ก็คิดว่าเรื่องราวของเราจะช่วยเตือนสติใครหลายๆคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเรา เพราะเราเชื่อว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จะมีสติและคิดอะไรได้ดีกว่า เพราะไม่ว่าจะด้วยความรัก ความอ่อนแอ หรือความกลัวมักจะทำให้คนที่พบเจอเหตุการณ์แบบนี้คิดอะไรได้ช้าแบบเรา (แต่กรณีของเราอาจจะเป็นความโง่มากกว่า) และเนื่องจากเป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกถ้ามีผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะคะ
   เราพบกับแฟนคนนี้ในที่ทำงานค่ะ ขอเรียกแทนว่าเอนะคะ เห็นหน้ากันครั้งแรกยอมรับเลยค่ะว่ารู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันนะคะ แค่รู้ว่าคนนี้เป็นใครชื่ออะไรอาจจะมีเหตุให้คุยกันบ้างแต่ก็เป็นเรื่องของงาน เพราะตอนนั้นเราก็มีแฟนอยู่แล้ว  จนกระทั่ง 1 ปีผ่านไปช่วงนั้นเราถูกมอบหมายให้ไปช่วยงานอีกแผนกนึงบ่อยๆ (เราจะเจอเค้าเฉพาะเวลาที่อยู่แผนกเดิมค่ะ) ทำให้ช่วงหลังๆไม่ค่อยได้เจอกัน ประมาณต้นปี 2010 พี่ที่ทำงานแผนกเดียวกับเราก็มาบอกเราว่ามีคนฝากของมาสวัสดีปีใหม่เรา และยังบอกอีกว่าผู้ชายคนนี้ดูเป็นคนดีนะตำแหน่งหน้าที่การงานอาจจะไม่ได้ดีอะไรแต่ก็คุยเป็นเเพื่อนกันไปก็ได้นะเผื่อมีอะไรได้ช่วยเหลือกันได้ รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย เราก็ได้แต่พยักหน้ารับปากพี่คนนั้นไป แต่ในใจก็รู้สึกว่าคงไม่ดีมั้งอย่างแรกเลยเพราะหน้าที่การงานของเค้าก็เป็นสายอาชีพต้องห้ามสำหรับเรา อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะว่าผู้ชายอาชีพนี้ส่วนใหญ่มักเจ้าชู้และที่สำคัญที่สุดเรามีแฟนอยู่แล้วก็เลยไม่ได้สนใจอะไร
    หลังจากนั้น 2-3 วัน ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาหาเราแนะนำตัวเสร็จสรรพ เราก็ขอบคุณเค้าสำหรับของขวัญ ตอนนั้นก็รู้สึกดีนะเพราะเค้าเป็นคนที่สุภาพมากๆ หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายโทรเข้ามาที่ทำงานเราขอสายเรา คนในแผนกก็แซวกันใหญ่ว่าหนุ่มที่ไหนโทรมาพอเรามารับสายก็ยังมีเสียงแซวกันเป็นระยะๆ บอกตามตรงว่าที่ทำงานเราไม่มีใครรู้ว่าเรามีแฟนแล้วเพราะแฟนเราจะไม่ค่อยมีเวลาให้ ไม่ค่อยโทรหาเราและไม่เคยมาหาเราที่ทำงานเลย ทุกครั้งที่เจอกันคือเราจะเป็นคนไปหาเค้า ไปส่งเค้าที่มหาวิทยาลัย(ช่วงนั้นแฟนเรากำลังเรียนปริญญาโทอยู่ค่ะ) กลับมาเรื่องเดิมพอเรารับสายก็รู้ว่าเป็นเอที่โทรมา เราเลยรีบบอกว่า ขอโทษนะคะตอนนี้ทำงานอยู่น่ะค่ะไม่สะดวกคุย เค้าขอโทษอย่างสุภาพและขอเบอร์เราพร้อมกับขออนุญาตโทรหาเราหลังเลิกงานได้มั้ย เราคิดว่าแค่คุยเฉยๆไม่เป็นไรมั้งเพราะตอนนั้นก็เริ่มมีเรื่องระหองระแหงกับแฟนเราอยุ่เพราะความที่เค้าไม่ค่อยสนใจเรานี่แหละ เราก็เลยให้เบอร์เอไป พอเราเลิกงานเค้าก็โทรมาเราตามที่เค้าพูดจริงๆ เราคุยกันอย่างถูกคออาจจะเป็นเพราะความถูกชะตาตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกหรือเพราะเวรกรรมก็ไม่ทราบ เอโทรหาเราทุกวันซึ่งช่วงนั้นแฟนเราก็ไม่มีเวลาให้เราเลยจริงๆ แต่เราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะบอกเอไปตรงๆว่าเรามีแฟนอยู่แล้วและคงเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นแต่ก็ยังไม่รู้จะบอกยังไงเพราะที่เอโทรมาก็ไม่ได้คุยในทำนองว่าจะจีบหรืออย่างไร เราเองก็ไม่กล้าพูดก่อนกลัวเค้าจะสวนมาว่าเค้าก็ไม่ได้พูดว่าจะจีบซะหน่อย เหอๆกลัวเงิบค่ะ
   จนวันหนึ่งจุดเริ่มต้นของเวรกรรมก็เกิดขึ้น วันนั้นเราปวดท้องมาก ปวดท้องข้างขวา มันปวดมากจริงๆเราก็คิดในใจว่าเอาแล้วอาการแปลกๆแบบนี้ เราคิดเลยว่าไส้ติ่งอักเสบแน่ๆ เราเลยบอกกับพี่รูมเมทที่อยู่ด้วยกันว่าสงสัยไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งตอนนั้นพี่แกนั่งดูซีรี่เกาหลีอยู่ พี่เค้าหันกลับมาถามเราว่ามี rebound tenderness (เป็นอาการแสดงของไส้ติ่งอักเสบค่ะ แพทย์จะใช้วิธีนี้ในการวินิจฉัยจากการตรวจร่างกายผู้ป่วย คือใช้มือกดที่ท้องแล้วปล่อย พร้อมกับถามคนไข้ว่าระหว่างกดกับปล่อยอันไหนปวดมากกว่ากัน ถ้าปวดท้องทั่วๆไปเวลากดจะปวดมากกว่าแต่ปล่อยมือแล้วปวดมากกว่าให้สงสัยไส้ติ่งอักเสบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะวินิจฉัยร่วมกับการตรวดเลือดและทำอุลตร้าซาวน์ค่ะ) กลับมาที่เรื่องของเราต่อนะคะ เผลอนอกเรื่องไปไกล เราก็บอกพี่รูมเมทไปว่าไม่มีค่ะแต่ปวดข้างขวาและอาการอื่นชัดมาก แกก็ตอบว่าก็ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่หรอก พูดจบก็หันกลับไปดูทีวีต่อ T_T  ดูท่าจะพึ่งแกไม่ได้แระ เราเลยบอกแกว่าเด่วเราไปหาหมอดีกว่า แกก็หันมาถามว่าไปยังไงขับรถไหวหรอ แต่พี่ขับรถไม่เป็นอ่ะ # ร้องไห้แปบบบบบบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่