"อุษาคเนย์" ใต้กงล้อยุทธศาสตร์ สหรัฐ-จีน-อินเดีย-ญี่ปุ่น

กระทู้สนทนา
"อุษาคเนย์" ใต้กงล้อยุทธศาสตร์ สหรัฐ-จีน-อินเดีย-ญี่ปุ่น

updated: 16 มี.ค. 2558 เวลา 16:25:51 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คอลัมน์ ASEAN SECRET โดย ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


นับแต่ปี พ.ศ. 2558 รัฐและสังคมเอเชียอาคเนย์มีแนวโน้มการรวมตัวบูรณาการที่เข้มข้นแนบแน่นขึ้นจนอาจดันให้อาเซียนแปลงสภาพเป็นขั้วอำนาจใหม่บนเวทีเศรษฐกิจการเมืองเอเชียซึ่งมีทั้งอำนาจต่อรองและพลังดึงดูดการลงทุนใกล้เคียงกับมหาอำนาจอื่นอย่างจีนอินเดีย ญี่ปุ่น และแม้แต่สหรัฐ กระนั้น ท่ามกลางการสยายปีกของอาเซียน คงปฏิเสธมิได้ว่ารัฐมหาอำนาจต่างพยายามประดิษฐ์กงล้อยุทธศาสตร์เพื่อแบ่งปันผลประโยชน์จากการเติบโตของอาเซียนหรืออาจใช้เป็นกรอบกดดันเด็ดปีกอาเซียนมิให้คุกคามขีดอำนาจตนมากเกินไป

สำหรับสหรัฐอเมริกาการธำรงสถานะความเป็นเจ้าทางการเมืองการทหารพร้อมกับแข่งขันถ่วงดุลจีน ยังคงเป็นยุทธศาสตร์คลาสสิกของสหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสหรัฐมักมองอาเซียนในฐานะหน่วยภูมิศาสตร์ที่เชื่อมต่อกับภูมิภาคข้างเคียงในเอเชีย-แปซิฟิกอาทิเอเชียตะวันออกและออสเตรเลีย-โอเชียเนีย

ขณะที่แผนกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ สหรัฐได้ผลักดันกรอบหุ้นส่วนข้ามแปซิฟิก หรือทีพีพี (TPP: Trans-Pacific Partnership) ซึ่งเป็นเวทีเขตการค้าเสรี (FTA: Free Trade Area) ที่พัฒนามาจากฐานความร่วมมือในกรอบเอเปก (APEC: Asia-Pacific EconomicCooperation) โดยสหรัฐได้ตั้งเป้าผลักดันให้อาเซียนมีกรอบการค้าพหุภาคีร่วมกับสหรัฐ ทั้งในแง่ของการเปิดตลาดเสรี การบูรณาการเศรษฐกิจและการปฏิรูปกฎระเบียบการค้าที่มีมาตรฐานเดียวกัน

ส่วนทางฟากจีนการโต้กลับอิทธิพลสหรัฐและการรุกคืบทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมไปพร้อม ๆ กัน ถือเป็นแผนยุทธศาสตร์ของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ชูยุทธศาสตร์ "อีไต้อีลู่" หรือ "One Belt, One Road" ซึ่งเป็นการพลิกฟื้นเส้นทางสายไหมในอดีตเพื่อสร้างข่ายระเบียงเศรษฐกิจโดยมีเอเชียอาคเนย์เป็นส่วนหนึ่ง

ซึ่งคำว่า"Belt"ในที่นี้คือ "Silk Road Economic Belt" ส่วนคำว่า "Road" หมายถึง "Maritime Silk Road" ซึ่งมีเส้นทางส่วนหนึ่งพาดผ่านทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ "ป้อมหัวสะพาน" ของมณฑลยูนนานที่มีอยู่แต่เดิม

โดยวางหมุดให้ยูนนานเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับมณฑลตอนในของจีนซึ่งทั้งรัฐบาลปักกิ่งและยูนนานต่างเห็นตรงกันว่าการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์อย่างใกล้ชิดจะทำให้จีนมีศักยภาพเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในอาเซียนเหนือกว่ารัฐมหาอำนาจอื่นๆ

ด้านอินเดีย"นโยบายมุ่งสู่ตะวันออก" (Look East Policy) ยังคงได้รับการสานต่ออย่างแข็งขันจากรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งมีการปั้นอาเซียนให้เป็นทั้งสะพานเชื่อมเศรษฐกิจกับเอเชียตะวันออกและเป็นจุดยุทธศาสตร์ความร่วมมือรอบอ่าวเบงกอล ขณะเดียวกันอินเดียยังเตรียมปรับกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อรัฐคู่ค้า เพื่อสร้างกรอบร่วมมือเศรษฐกิจอาเซียน-อินเดียอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการพลิกฟื้นรัฐชายแดนตะวันออกเฉียงเหนืออย่างอัสสัมและมณีปุระเพื่อใช้เป็นประตูประชิดพม่าและเอเชียอาคเนย์ตอนบน พร้อมกันนั้นอินเดียยังพยายามเพิ่มระดับความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อขยายอำนาจลงทุนในอาเซียนและใช้เป็นเครื่องมือต่อต้านถ่วงดุลจีน

ส่วนญี่ปุ่น การขยับฐานลงทุนพร้อมดึงทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานราคาถูกจากรัฐอาเซียนเช่น พม่า ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ถือเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อตอบสนองการชะงักงันทางเศรษฐกิจและสภาวะขาดแคลนแรงงานของญี่ปุ่น

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นยังแผ่อิทธิพลเหนืออาเซียนผ่านโครงการช่วยเหลือของธนาคารพัฒนาเอเชีย(ADB:Asian DevelopmentBank) เช่น การขยายระเบียงโลจิสติกส์ตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) จากเมืองท่าดานังของเวียดนาม ทะลุลาว ไทย เข้าสู่เมืองท่าเมาะละแหม่งของพม่า หรือการใช้การทูตมนุษยธรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อฟื้นฟูความยากจนและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในหลายประเทศ เช่น ลาวและพม่า ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ญี่ปุ่นนำมาใช้ผลักดันอิทธิพลจีนออกจากสนามแข่งขัน รวมถึงใช้กรุยทางเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับรัฐกำลังพัฒนาทั้งหลายในเอเชียอาคเนย์

แม้รัฐเออีซีจะมีแนวโน้มเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจระดับกลาง (MiddleEconomic Power) ในโลกเอเชียยุคใหม่ หากแต่การเชื่อมโยงบูรณาการกับภูมิภาครอบข้างที่เดินทางคู่ขนานไปกับการขับเคี่ยวแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างรัฐมหาอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐจีน อินเดีย และญี่ปุ่น กลับทำให้อาเซียนมิอาจสลัดพ้นหรือดีดตัวออกจากกงล้อยุทธศาสตร์ที่รั้งตรึงและขึงให้อาเซียนต้องมีชะตาชีวิตขึ้นลงในทิศทางเดียวกับรัฐมหาอำนาจเหล่านั้นสืบไป

เพราะฉะนั้นคงมิเกินเลยนักหากกล่าวว่ารวงข้าวหลากสีทั้งสิบต้นต่างยังคงพริ้วไหวโบกสะบัดอยู่ใต้เงาพญาอินทรี-พญามังกร พร้อมพะเน้าพะนอไปกับมนตราแห่งดอกซากุระและเครื่องเทศจากแดนภารต



เรียบเรียงโดย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1426492088
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่