ช่วงชีวิตที่ลำบากที่สุดของคุณเป็นยังไงกันบ้างคะ ทุกข์ขนาดไหนผ่านมาได้ยังไง แชร์กันค่ะ

กระทู้สนทนา
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันเหนื่อยๆของเราค่ะ
ทำให้ย้อนคิดไปถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา
ว่าเราเคยผ่านความลำบากและทุกข์ขนาดไหน
เคยมีที่ทุกข์กว่าวันนี้ แล้วตอนนั้นผ่านมายังไง

ของเราเรื่องเกิดขึ้นตอนเราอายุ15 ปี
ในแคมป์งานก่อสร้างคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่ง

ตอนนั้น ครอบครัวเราอันที่จริงไม่ได้ลำบากอะไร
แต่พ่อกับแม่ อยากให้เราลองทำงาน
ทุกคนยังจำงานแรกที่หาเงินใช้เองกันได้หรือเปล่าค่ะ?
เราจำได้ดี งานแรกที่เราทำคือ ทำที่คาดผมพลาสติก
ตอนนั้นก่อนจะไปที่เรื่องในแคมป์ก่อสร้าง
เราไปทำงานกับเพื่อนที่เรียนจบม.ต้นมาด้วยกัน
เด็ก ม.3 อายุ15 โตพอที่จะเริ่มทำงานเล็กๆน้อยๆได้
เพื่อนที่มีอาเป็นเจ้าของโรงงานทำที่คาดผมก็มาชวนไปทำค่ะ ค่าแรงอยู่ที่วันละ100บาท (11ปีที่แล้ว)

เราก็คิดง่ายๆว่า
ทำ10วันก็ได้ตังตั้งพันนึงแหนะ
เดือนนึงมี30วัน ได้ตั้ง3,000เลยนะ

เราก็ไปทำค่ะ รู้มั้ยว่ากว่าจะได้ที่คาดผม1อัน
ต้องมีคนทนร้อนและมือพองจากการทำนี้
ตอนแรกที่คาดผมจะถูกฉีดออกมาจากเครื่องฉีดพลาสติกเป็นเส้นๆ
จากนั้นเค้าจะให้คนงานเอามาดัด
ใส่พิมพ์โลหะเพื่อให้มันโค้งได้รูป
หน้าที่เราคือ ดัดที่คาดผมใส่พิมพ์นั้น
แล้วเอาเข้าตู้อบความร้อน
ทำอย่างนี้ทุกวันไปเรื่อยๆ
เราก็อดทนค่ะ เงินตั้ง3,000
เยอะมากสำหรับเราตอนนั้นเลย(ตอนนี้ก็เยอะ)
ทำได้14วัน โรงงานก็หยุดสงกรานต์
แล้วเราก็ไม่ได้ไปอีกเลย เพื่อนบอกว่าไม่ต้องไปแล้ว
คนงานเยอะแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้เงินจากงานนี้ด้วย
ทวงถามก็เงียบหายไป
14วัน เท่ากับ1,400ที่สูญเปล่าค่ะ

ต่อมา น้าของเราก็มาเยี่ยมที่บ้าน
บอกว่าตอนนี้เป็นช่างรับเหมาทาสีที่โครงการแห่งหนึ่ง
ก็มาชวนเราไปขายไอติมที่แคมป์โครงการ
บอกว่าเป็นงานง่ายๆ พ่อกับแม่เราก็ให้ไป
เพราะไว้ใจ น้าคนนี้เป็นคนเลี้ยงเรามา(แบบพี่เลี้ยง)

แม่เรา จนทุกวันนี้ก็ไม่เคยรู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้น เกือบทำลายชีวิตเราไปแล้ว
ด้วยความรักของพ่อกับแม่ที่ต้องการให้เราโตอย่างแข็งแรง เป็นต้นไม้ใหญ่ที่อดทนต่อฟ้าฝนลมแรง
จึงปล่อยให้เราไปทำงานกับน้า ไปเรียนรู้ว่า ชีวิตที่ไม่มีพ่อกับแม่จะอยู่ยังไง
ต้องทำงานแลกเงินเป็นยังไง
และด้วยความไว้ใจว่าน้าสาวจะดูแลเราอย่างดี
เหมือนที่ผ่านมา


ตอนนั้นเราต้องย้ายไปอยู่กับน้าที่แคมป์คนงานก่อสร้าง
มันเป็นการอยู่อาศัยที่ลำบากที่สุดของเราแล้วค่ะ
จนตอนนี้การอยู่ในแคมป์ครั้งนั้นก็ยังคงชนะทุกๆเหตุการณ์

มันเป็นสังกะสีบางๆ ทำขึ้นง่ายๆต่อๆกัน
กั้นเป็นห้องๆ พื้นเป็นกระดาน ห้องน้ำรวม
มีบ่อใหญ่ๆกลางแคมป์ให้ทุกคนใช้ ทั้งอาบและซักผ้า
ในบ่อเขียวคลักด้วยตะไคร้น้ำ
และสีของน้ำที่ขมุกขมัว
ห้องส้วมสร้างติดๆกันกั้นด้วยสังกะสีบางๆ
และบางห้องไม่มีไฟ ไม่มีกลอนประตู เป็นรูพรุพรุน

ตอนนั้น...เราอยากจะร้องไห้กลับบ้านทันที
แต่พอนึกว่า เราต้องทำงานได้วันละ150บาท
ก็พอจะมีความหวัง และอยากลองดู
ปรากฏเราไม่ได้มาขายไอติมอย่างที่น้าบอก
น้าบอกว่ามีคนขายซะแล้ว
งั้นมาช่วยน้าทาสีก็แล้วกัน แต่ห้ามเราบอกพ่อกับแม่
เพราะไม่งั้นคงให้กลับบ้านไม่ยอมให้ทำแน่ๆ

เราไม่มีทางเลือก ก็ต้องทำ...
ทุกวันผ่านไปอย่างยากลำบากสำหรับเด็ก15ปี
ที่ไม่มีเงินติดตัว มีเสื้อผ้ามอมแมมมาด้วย3ชุด
ทุกชุดเลอะสีหมด กำหนดคือ1เดือน
จนกว่าจะเปิดเทอมเดือนพฤษภาคม
เงินแม่ให้ติดตัวมา1,000บาท
น้าเก็บไป เราไม่มีเงินติดตัว...

อาหารการกิน มีแต่มาม่ากับปลากระป๋อง
บางวันโชคดีก็ได้กินหมูทอดที่เข็นผ่านมา
แล้วน้าอยากกินก็จะซื้อให้กิน
เวลานั้นน้าคุมเราทั้งหมด เราไม่มีสิทธิ์ทำอะไร

แย่สุดบางวันได้กินข้าวกับน้ำพริกค้างคืน

ที่เรารู้สึกแย่ที่สุดคือพนังมันบาง
ข้างห้องมีอะไรกันมันสั่นสะเทือนมาถึงที่นอนเรา
หนักที่สุด คือน้าเรากับน้าเขย
มีอะไรกันแบบไม่เกรงใจเราบ่อยๆ

และบ่อยๆที่เรารู้สึกว่าน้าเขยลวนลามเรา
เช่นเข้ามากอดข้างหลังแล้วจับหน้าอก
บอกว่าไม่มีอะไร
เห็นเป็นน้องเป็นนุ่งยังเด็กนมก็มีแค่นี้อย่าคิดมาก

เราต้องคอยระวังตัว
ไหนจะต้องระวังจากคนงานก่อสร้างที่นี่อีก
เราหวิดจะโดนลากไปข่มขืนหลังห้องน้ำถึง2ครั้ง
ดีว่ามีคนมาเห็นแล้วโวยวายจนคนที่มาลวนลามเราต้องถอยไป ไม่งั้นเราคงมีสักวันที่ถูกรุมโทรมในแคมป์ก่อสร้างและครั้งนึง เป็นน้าเขยที่เข้ามาช่วยเรา
เราเลยคิดว่าที่ผ่านมาเค้าอาจจะแค่แกล้งเราจริงๆ

เราบอกเรื่องพวกนี้กับน้า
แต่น้าไม่เคยเชื่อเลย เราไม่กล้าบอกเรื่องน้าเขยด้วย
น้าเขยขู่ไว้ว่าถ้าพูดเราจะโดนจริงๆ
เราอยากโทรหาแม่ แต่เราไม่มีเงินติดตัวสักบาทจริงๆ
ตอนนั้นเรายังไม่มีมือถือ แม่ติดต่อมา
น้าก็ไม่เคยให้คุยเลย
บอกแม่ว่าเราสบายดีไม่ต้องห่วง

และเราคิดว่าเราจะอดทนจนหมดเวลาให้ได้
เพื่อนเงิน3,000บาท อีกแค่ไม่กี่วัน

จนวันหนึ่ง...เรากลับมาห้องพักก่อน
เพื่อเอาแปรงทาสี น้าบอกให้มาเอา
แต่ดันเจอน้าเขยกำลังช่วยตัวเองอยู่
ทั้งที่เข้าใจว่าวันนี้เค้าไปทำอีกจุดหนึ่ง แยกกัน

เราตกใจมาก น้าเขยก็ตกใจ
เลยรีบลุกมาจับเราปิดปากไม่ให้ร้องโวยวาย
ทั้งที่เราก็ไม่ได้จะโวยวาย แต่กำลังจัะหันหลังกลับ
แล้ววิ่งออกไป แต่ก็ไม่ทัน น้าเขยเข้าถึงตัวเราก่อน
สักพัก น้าเขยก็จะข่มขืนเรา
เราดิ้นรนจนร้องไห้โวยวาย
พยายามจะหนีแต่สู้แรงไม่ไหว

แต่โชคเข้าข้าง
พี่คนงานห้องตรงข้ามกลับมาพอดีเพราะลูกไม่สบาย
เลยเข้ามาช่วยเราทัน ได้ยินเสียงเรากับน้าเขยสู้กัน
และประตูยังเปิดอยู่ ทุกอย่างทันเวลา
แต่เราช้ำไปทั้งตัว
น้าเราตามกลับมาเพราะเห็นว่าเราหายไปนานเกินไป

แล้วก็ตกใจในสิ่งที่ได้รู้...
เย็นนั้น น้าโยนเงินให้เรา1,000บาท
และโทรให้พ่อเรามารับกลับบ้านทันที
โดยบอกพ่อเราว่า เราไม่สู้งานร้องจะกลับบ้าน

พ่อรีบมารับและบ่นเราที่ไม่รู้จักอดทน
เราบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อต่อหน้าน้าทั้ง2คน
น้าเราโวยวายและพูดว่า
เป็นเพราะเราให้ท่าน้าเขยเอง
แฟนเค้าไม่มีทางทำอย่างนั้น
เราชอบให้ท่าผู้ชายไปทั่ว
นี่ถ้าไม่ห้ามปรามป่านนี้เราคงท้องไม่มีพ่อรับเปิดเทอม

ทีนี้ผู้ใหญ่ก็ทะเลาะกันค่ะ ดราม่ามาก
เราเป็นเด็กได้แต่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด

โชคดีมากแล้วที่รอดปากเหยียวปากกามาได้

พ่อเสียใจมากที่คิดผิดไว้ใจทิ้งเราไว้กับ2ผัวเมียคู่นี้
เราตกลงกันจะไม่พูดเรื่องนี้กับแม่ เพื่อไม่ให้แม่กังวล

ผ่านเรื่องนี้มาได้ เพราะแม่ค่ะ...
ตอนนั้นทุกวันที่ผ่านไป
เพราะคิดว่าอยากทำงานหาเงิน
จ่ายค่าเทมอได้ แม่จะได้สบายใจ

หลังจากนั้นเราก็พบเจอเรื่องยากๆในชีวิตมาตลอดนะคะ
ต้องทำงานหารายได้พิเศษมาเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนตลอดจนจบปวช.-ปวส.
และผ่านสิ่งต่างๆมากมายค่ะ แต่ครั้งนั้นหนักสุดจริงๆ

วันนี้พอนึกถึงเรื่องนั้นก็มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
ว่าเราแข็งแกรงขนาดไหน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้
วันนี้เลยอยากฟังเรื่องคนอื่นบ้าง
ว่าคุณผ่านวันเวลาอย่างนั้นมายังไง

มาเติมกำลังใจให้กันนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่