ผมลาออกจากงานประจำตอนอายุ 24 เพื่อมาทำฝันเปิดสำนักพิมพ์

ฉากที่ 1 โต๊ะวงสนทนาครอบครัวและเพื่อนแม่
เพื่อนแม่ :ทำไมรีบลาออกจากงานประจำ ทำไมไม่อดทนทำไปก่อน งานประจำมันให้ประสบการณ์เยอะนะ
ผม : ผมลองทำแล้ว รู้ตัวแล้วว่าไม่ชอบ
เพื่อนแม่ : แค่สองเดือนเองนะ ดูอี้สิ ยังอดทนทำเป็นปีๆ
ผม : แล้วต้องกี่ปีถึงจะออกได้
เพื่อนแม่ : ....

ฉากที่ 2 นั่งในรถกับญาติๆ
ผม : ว่าจะทำสำนักพิมพ์แหละ
ญาติ : (ส่ายหัว)  ยาก... (ส่ายหัว)  ทำไม่ได้หรอก เสียเวลา
ผม : (กูคนทำ ไม่ใช่_ึงงง)

สองฉากหลักในชีวิตจริงของผมที่เป็นส่วนหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่จะลบล้างคำสบประมาท
ผมเป็นลูกคนโตครอบครัวคนจีน นั่นก็แบกรับความคาดหวังเพียงพออยู่แล้ว สำหรับการต้องอยู่ในกรอบที่พ่อแม่วางไว้ให้อย่างสวยหรู

แต่อย่างว่า กรอบก็ต้องมีไว้แหก (อันนี้ผมพูดเอง) ผมจึงเป็นลูกคนแรก (ก็แน่นอนละ) ที่ติด ถาปัด ธรรมศาสตร์ เป็นเด็กปากช่อง 1 ใน 3 ที่ติดมหาลัยนี้
ซึ่งยุคสมัยของพ่อแม่ การที่ลูกติดมหาลัยชื่อดังของประเทศเป็นอะไรที่ภาคภูมิใจ (เชี่ยๆ) ยิ้มหน้าบานแก้มปริ 3 วัน 7 วัน พ่อแม่ผมอยู่ปากช่องนานับ 20 ปี ตั้งแต่ผม 1 ขวบ  แน่นอนว่า ข่าวนี้ ดังไกลทั่วอำเภอปากช่อง (1 ใน 3 ของเด็กปากช่องเชียวนะครับ)

หารู้ไม่ว่า ผมติดด้วยคะแนนความถนัดล้วนๆ วิชาหลักอื่นๆแค่ผ่านเกณฑ์ 30 กว่าๆ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเราฉลาดเลือกคณะที่เปิดมาไม่นาน (สมัยนั้นผมเข้าเป็นเป็นรุ่นที่ 5) เลือกคณะที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับระบบมหาลัย (ค่าเทอมถึงไม่เหมือน ม รัฐสักนิด ตอนนั้นก็สามหมื่นกว่า) เลือกคณะที่ไม่เข้าใจว่าเราเรียนไปทำไม เราก็แค่ชอบวาดการ์ตูน  เราก็จะติดได้

และหลังจากนั้น 2 ปี  เราก็จะซึ่ว!!!

ท้าวความซะยืดยาว ประเด็นก็คือ การซิ่วออกมาครั้งนั้น ทำให้ผมจะต้องจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันถึง 2 ปี
ทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมต้องโตกว่าเพื่อนรุ่นน้องที่เรียนด้วยกัน  เพราะผมเสียเวลาไปแล้ว 2 ปี

จุดเปลี่ยนที่ 1 เรื่องซิ่ว เล่ามากจะยาวไป รายละเอียดมันเยอะมากกกกก  
ตัดมาฉากที่เรียนใหม่
ผมเข้ามาที่ใหม่ ในคณะ ศิลปะและการออกแบบ สาขา 2D อนิเมชั่น ตรงสายกว่าเดิม เรียนได้ดี ได้ใช้ชีวิตเด็กมหาลัยเอกชนอย่างเต็มที่
ตัดมาที่ฉากเรียนจบ

เนื่องด้วยการเป็นคณะด้านศิลปะ ดังนั้นเกรดเฉลี่ยแทบไม่ได้ใช้  เค้าเข้าบริษัทกันได้ด้วย Portfolio  การเข้าไปเรียนมหาลัยก็เพื่อทำพอร์ตดีๆมาใช้ยื่นตอนเรียนจบ

หลังจากเรียนจบก็เคว้ง รู้สึกเหมือนเป็นอีกโลกที่พ่อแม่ ปล่อยวางกับชีวิตเรา เลิกจ้ำจี้จ้ำใชกับเรา เลิกให้เงินค่าขนมเราทันที
ผมก็ไปไม่เป็นสิครับ เพราะมันเป็นอีกโลกเลยทีเดียว

คือมหาลัยยังมีเป้าหมายให้เราพุ่งชน  อาจารย์ยังสั่งงานให้เราต้องใช้เวลานั่งทำ ยังมีเปิดเทอมปิดเทอมให้เราได้เฝ้ารอ
แต่ชีวิตหลังเรียนจบ  เราต้องใช้หัวสมองคิดเอง
ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยตั้งแต่ก่อนเรียนจบ จนได้เรียนจบ 5555

ผมจึงทำตามอย่างที่คนอื่นเค้าได้ทำกันมา (ซึ่งนี่เป็นแพทเทิลที่เบสิคสุดๆสำหรับคนที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปกับชีวิตที่เรียนจบแล้ว)
นั่นก็คือ  

"ไปสมัครงาน"

ยื่นไปหลายที่มากครับ รายละเอียดเยอะแยะ ตัดเข้าสู่การทำงานบริษัท
การทำงานบริษัทก็ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถที่ผมมี  ผมเข้าไปทำในตำแหน่ง Script Writer ของบริษัทอนิเมชั่นแห่งหนึ่ง  ที่สมัครเข้าไปก็เพื่อให้ได้รู้สึกคุ้มค่ากับค่าเทอมที่พ่อแม่เสียไป เข้าไปแบบไม่มีแรงขับ หรือเป้าหมายอะไรเลยครับ

งานก็คือ Standby รอคนเค้ามาสั่งงาน พอเค้าสั่ง เราก็ทำๆๆๆ เสร็จเมื่อไรก็บอกเค้า

ด้วยความที่ในใจมีอะไรที่อยากทำ มีโปรเจคที่อยากทำอยู่ในใจ หลักๆคือผมชอบแต่งการ์ตูนครับ ชอบวาดเป็นเรื่อง เคยส่งงานไป สนพ บ้าง แต่ก็งานยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ยังไม่ถึงกับมีรวมเล่มแบบคนอื่นเค้า ลายเส้นก็ไม่ได้เทพอะไร  ส่วนใหญ่ก็โพสลงบล็อกให้อ่านฟรี มีคนรู้จักประมาณหนึ่ง
ตัวอย่างลายเส้นสมัยนั้นก็ประมาณนี้


ค่อนข้างไก่กาอาราเล่ เป้าบุ้นจิ้นชอบกินไข่เต่ามาก  แต่ก็มีฝันครับ
เชื่อว่าฝันของนักเขียนการ์ตูนทุกคนคือ อยากมีรวมเล่มเป็นของตัวเอง
สิ้นคิด สั้น และง่าย

ดังนั้น จึงต้องหาเวลามาเขียนการ์ตูนให้ได้
ถ้าแยกเวลาของผมออกในกิจวัตรแต่ละวัน จะแยกได้ดังนี้
เวลา 24 ชม
นอน 8
อยู่ออฟฟิซ 8+พักเที่ยง 1
3 ชม สำหรับเวลาเดินทางรถติด ไป-กลับ
2 ชม สำหรับสุขอนามัย
รวม 22 เหลือเวลาอีก 2 ชม สำหรับการ
รีแลกซ์ พักผ่อน เหนื่อยจากการเดินทาง และอื่นๆ รวมถึงเวลาทำฝัน
สำหรับบางคน เวลาทำฝัน 2 ชม ต่อวันก็อาจจะเพียงพอแล้ว ผมก็ไม่ต่างกันครับ แต่มันเหนื่อย  คือเข้าใจพนักงานประจำ แค่เดินทางกลับมาถึงบ้านก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว ดูทีวี กินข้าว อาบน้ำ นอน แล้วก็วนลูปมาอีกวัน (พอเป็นแบบนี้สักอาทิตย์ ผมเริ่มรู้สึกทันทีว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์)

พอทำงานได้ 2 เดือน เลยย้ายที่ทำงานใหม่ ไปทำตำแหน่ง Creative ในวงการโฆษณา เพียงเพราะคิดว่า เคยฝึกงานมา ทำได้! และ ใกล้บ้านมากขึ้น เราจะมีเวลาใหัตัวเองทำฝันมากขึ้น

อนิจจัง บริษัทที่ไปทำเป็นโฮมออฟฟิซ  กำหนดเวลาเลิกงาน 6 โมง แต่ทุกคนยังนั่งทำเ_ี่ยอะไรไม่รู้ไม่ยอมกลับบ้าน
บางคนเล่นเนต บางคนทำโน่นทำที่ ผมเข้าไปใหม่ ก็ทำใจไมไ่ด้ ไม่กล้ากลับก่อน
ดังนั้น ผมจึงอดทนได้อยู่ 3 วัน
ออก!!!!

มาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านคงรู้สึกว่า ไอ้หมอนี่มันไม่อดทนอะไรเอาสักอย่างเลยนี่หว่า
ผมจะบอกว่า ผมก็คิดแบบนั้นแหละ

ผมเป็นคนที่ความอดทนค่อนข้างต่ำ ถ้าฝืนปุ๊ป คำถามจะเด้งขึ้นมาบนหน้าผากอัตโมมัติเลยว่า
ทำไมต้องทน?
ทางเลือกอื่นไม่มีแล้วหรอ?
พอมีปุ๊ป  ผมก็ไปทันที  ไม่รอ ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีข้อแม้

โชคดีที่ หลังจากที่ออกมาแบบไม่มีแผนอะไรสักอย่าง จังหวะที่ทำงานอนิเมชั่น ปลุกปั้นโปรเจคการ์ตูน  ทำให้ผมมีงานเขียนสตอรี่บอร์ดที่สัญญายาวไป 6 เดือน ทำให้มีเงินใช้ต่อเดือนเท่าๆเดิม  ในขณะที่ใช้เวลาในงานทำงานต่อสัปดาห์เพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น
มันเจ๋ง!!  ผมได้เวลาของผมกลับมาแล้ว!!!!!

การจะเขียนหนังสือการ์ตูนสักเล่ม ใช้เวลา อย่างน้อยสามเดือน
ผมคิดแผนหลากหลายทางมาก
ทางเบสิคนึงก็คือ  เขียนส่งสนพ ลงแล้วก็ค่อยรวมเล่มให้ได้  แต่มันไม่มีสนพ ที่จะลง การ์ตูนได้ จนครบแล้วรวมเล่มได้ ภายในระยะเวลา 6 เดือน
ทางเดียวก็คือ  เขียนรวดจนรวมเล่มไปเลย

ซึ่งมันบริหารเวลายากมากกก สำหรับคนที่ยังไม่เคยมีรวมเล่มสักเล่ม
ผมจึงคิดอีกแผนขึ้นมาว่า ถ้าผมมี ธุรกิจอะไรสักอย่างแล้วสามารถทำให้มันเลี้ยงชีพออกมาเป็นเงินเดือนได้  หลังจากนั้น ผมก็จะสามารถเขียนงานออกมาได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะหาเงินใช้จ่ายที่ไหนในแต่ละเดือน

เป็นทางเลือกที่อ้อมมากกก แต่ในระยะยาวแล้ว คิดว่า การที่เราไม่ต้องให้งานเขียนเรา มาแบกรับการหารายได้  ไม่ต้องมาเผางานเพราะเดตไลน์
จะเป็นการดีที่ เราสามารถสร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มที่

ผมมักถือคติที่ว่า ถ้าจะเขียนงานเผาออกมา สู้ไม่ออกซะจะดีกว่า

ผมจึงเริ่มทำแผนนี้นับตั้งแต่นั้น
ส่วนตัวธุรกิจ เงื่อนไขก็คือ ต้องทำขนานข้างไปด้วยกันกับการ์ตูนได้  ต้องทำแล้วส่งเสริมกันได้
จึงเลือกออกมาเป็น แบรนด์เสื้อยืด  (ดีเทลเยอะมาก ตัดข้ามไปฉาก ผลิตเป็นเสื้อแล้ว)

ผลงานเสื้อล็อตแรกที่สกรีนเองกับมือ

สำหรับผ้าล็อตแรก ผมไปเลือกผ้าเอง สั่งตัด จ้างเย็บ สกรีนเอง ขายเอง
คนซื้อไปล็อตนั้น ผมต้องกราบขอขมา เพราะ ผ้าล็อตแรกๆทีทำ น่าจะใส่ได้ครั้งเดียว ซักแล้วหดเบี้ยวไปหมด เต่อเป็นเสื้อเอวลอย
อับอาย แต่ก็ยังทำพับต่อๆมา เปลี่ยนร้านผ้าไปเรื่อย


อีเว้นคอนเสิร์ตแรกที่ไปขาย ของผ้าล็อตแรก ขายดีด้วยนะ ได้ 60 กว่าตัว กราบขอขมาลูกค้าในวันนั้นมา ณ ที่กระทู้นี้

สเต็ปถัดมาก็เปิดร้าน

สไตล์ร้านก็ไก่กาอาราเล่อีกแล้ว เปิดที่ตะวันนา กลุ่มลูกค้าก็ไม่ตรง ร้านก็เป็นแบบ เปิดแล้วต้องเก็บทุกวัน ผมต้องออกจากบ้านไป บ่ายสามโมง เตรียมร้าน ขายของ จนเลิกสามทุ่มทุกวัน เปิดได้สัปดาห์เดียว ก็ไม่อดทน

ด้วยความที่ เป็นแค่นักเขียนการ์ตูนสมัครเล่น ที่ถ้าเรื่องแต่งเรื่อง สู้ไหว แต่พอเป็นเรื่องออกแบบนี้ ยอมแพ้เลย นักเขียนบางคนอาจจะมีสกิลหลากหลาย คือแต่งเรื่องได้ ลงสีได้ ออกแบบได้  แต่สกิลผมนี่ค่อนข้างจำกัดจำเขี่ย  คือ นอกจากแต่งเรื่องแล้ว ออกแบบก็ไม่ชอบ พอไม่ชอบ ฝืน ก็ไม่ทำ
พอถึงเวลาต้องทำจริงๆ เลยไม่มีสกิลแฝงให้ดึงออกมาใช้สักนิด

แล้วก็ขายไปขายมา ออกบูทตามคอนเสิร์ต ก็ได้รู้ว่า กลุ่มเป้าหมายเรา เป็นวัยรุ่นแนวๆ (ซึ่งตั้งไว้ตั้งแต่แรกที่ออกแบบเสื้อ แต่มาชัดขึ้นเมื่อได้ไปเจอลูกค้า)
จนสุดท้าย ได้เจอพี่ที่ทำเสื้อยืดเหมือนกัน เลยร่วมกันมาเปิดร้านอย่างเต็มตัวที่ตลาดนัดจตุจักรเป็นที่แรก


หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะไว้มาขอเล่าต่ออีกทีครับ ถ้ากระทู้ไม่โดนลบไปซะก่อนนะ ฮาาาา

ปล. ถ้าส่วนไหน สุ่มเสี่ยงต่อการโดนลบ เข้าข่ายการโฆษณาแอบแฝง ฝากแจ้งผมนิดนึงนะครับ ผมอยากจะเล่าต่อให้จบ ^^

อ่าน Part 2 ที่ความเห็น 19 นะครับ
Part 3 ที่ความเห็น 26 ครับ
Part 4 สุดท้ายที่ความเห็น 31 จ้า
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่