สวัสดีครับ มีเรื่องเกี่ยวกับลูกชายคนเล็กผมมาแชร์ซักหน่อย เพื่อเป็นแนวทางให้กับคุณพ่อคุณแม่ ที่พบปัญหาเดียวกัน....
เมื่อปลายปี 2556 ลูกชายผมอายุได้ 2 ขวบครึ่ง พัฒนาการทางร่างกายปกติดีทุกอย่าง แต่มีปัญหาคือ ไม่ยอมพูด หรือพูดเป็นภาษามนุษย์ต่างดาว ไม่ยอมเข้าใจเรื่องอะไรทั้งสิ้น อยู่นิ่งได้ไม่เกิน 2 นาที ไม่กลัวคนแปลกหน้า เหล่านี้คืออาการที่ทำให้ที่บ้านเอะใจ และพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมป์ หลังจากแพทย์วินิจฉัย แล้วก็ลงความเห็นว่า ลูกผมเป็นเด็กพิเศษครับ มีอาการออทิสติกอ่อนๆ แต่ยังรักษาให้กลับเป็นปกติหรือสามารถช่วยเหลือตัวเองและเข้าสังคมได้...
โดยคุณหมอ ได้ให้พาลูกเข้าร่วมกลุ่มเตาะแตะ (เป็นกลุ่มสร้างเสริมพัฒนาการให้กับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ) ที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 8.00 – 12.00 น. เป็นเวลา 3 เดือน ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าผมโชคดีครับ ที่คุณแม่ของผม หรือคุณย่าของเด็กรับอาสาดูแลให้ แต่ตัวผมเองก็ลางานไปบ้าง บางครั้ง เพื่อเข้าร่วมกลุ่มด้วย เพราะในกลุ่มไม่ได้ฝึกแต่พัฒนาการของเด็ก แต่จะฝึกคุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กให้เรียนรู้การดูแลเด็กพิเศษกลุ่มนี้อย่างถูกวิธีด้วยครับ
กิจกรรมในคลาสจะเริ่มต้นด้วย การตรวจสุขภาพประจำวันก่อนเข้าห้อง มีการวัดไข้ ดูสุขภาพทั่วๆ ไป หากเด็กมีอาการไข้ ไอ น้ำมูกไหล จะไม่ได้เข้าร่วมในวันนั้นๆ นะครับ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แต่เราสามารถพาลูกไปเรียนซ่อมร่วมกับกลุ่มอื่นในวันอื่นได้นะครับ
หลังจากได้เข้าห้องฝึกแล้ว ก็เริ่มกิจกรรมเคารพธงชาติ, สวดมนต์-ไหว้พระ, กายบริหารตามเพลง, มีการนวดตัวเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและฝึกให้เด็กอยู่นิ่งๆ (ตรงนี้ต้องเตรียมโลชันสำหรับเด็กไปด้วย), สอนนับ 1-10, สอนให้เรียกชื่อตัวเองและชื่อเพื่อนได้ โดยให้คุณพ่อคุณแม่ เตรียมรูปถ่ายของลูกไป แล้วครูฝึกจะหยิบรูปขึ้นมาพร้อมถามว่ารูปนี้คือรูปของใครให้เจ้าตัวออกไปรับแล้วนำไปวางในจุดที่กำหนดไว้, ฝึกสอนการควบคุมอารมณ์ของเด็ก โดยใช้การกอดและการกระซิบพูดข้างหูเด็ก ย้ำว่ากระซิบนะครับ อย่าเสียงดัง
ก่อนกลับบ้านในแต่ละวัน จะมีการรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างเด็กๆ, คุณพ่อคุณแม่ และครูฝึก โดยให้เด็กรับประทานเอง (ตรงนี้อาหารคุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมไปนะครับ) และมีการบ้านให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาฝึกลูกที่บ้านด้วย
แต่... ส่วนสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่การฝึกที่โรงพยาบาลนะครับ สำคัญที่สุดคือการกลับมาฝึกที่บ้านครับ ต้องพยายามทำทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้มาจากการฝึกที่โรงพยาบาลครับ ทำซ้ำๆ กันทุกวัน จะเห็นผลเร็วมาก ซึ่งหลักๆ ที่ผมทำตอนอยู่ที่บ้านคือ ปิดทีวี งดใช้สมาร์ทโฟนทั้งหลายตลอดเวลาที่อยู่กับลูก เน้นการพูดคุยกับลูก ถึงเค้าจะไม่รู้เรื่องกับเราก็ตาม แต่ก็แค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น หลังจากนั้นเด็กจะค่อยๆ เรียนรู้สิ่งที่เราพูดคุยกับเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ เอง ฝึกให้เค้าช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ถึงจะช้าไปหน่อยก็ต้องยอมครับ
หลังจบคอร์ส 3 เดือนจะมีการประเมินผลเด็กแต่ละคนครับว่า ใครได้ออกจากบ้าน AF เอ้ยได้กลับไปฝึกเองที่บ้านต่อ หรือใครจะต้องมาฝึกต่ออีก 3 เดือน (3 เดือนหลังนี่ คุณพ่อคุณแม่ ได้แค่พาลูกไปส่งตอนเช้านะครับ หลังจากนั้นครูฝึกจะทำหน้าที่เองตลอด คุณพ่อคุณแม่ มารับอีกทีตอนเที่ยงเลย) ซึ่งลูกผมได้กลับไปฝึกเองต่อที่บ้านครับ ไม่ต้องเข้ากลุ่มแล้ว แต่ยังมีการนัดเพื่อติดตามพัฒนาการของเด็ก นัดเข้าคลาสฝึกพูด อยู่เรื่อยๆ นะครับ แต่จะห่างขึ้นเรื่อยๆ ตามพัฒนาการของเค้าที่มากขึ้นครับ
สรุปเลยแล้วกัน ยาวเกินไปแล้ว... หลังจากวันแรกที่ไปโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ผ่านมา 1 ปีครึ่งได้ ตอนนี้ลูกชายคนเล็กของผม
สามารถกินข้าวเอง (ถึงจะเลอะเทอะเป็นหว่านนาก็เถอะ)
แต่งตัวเองได้ (แต่ยังติดกระดุมไม่ค่อยคล่องนะครับ กำลังฝึก)
อาบน้ำถูสบู่เอง (แต่ยังต้องคอยยืนกำกับนิดนึง ไม่งั้นฉีดน้ำฝักบัวเล่นสนุกสนาน)
พูดคุยตอบโต้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ (หลังๆ มานี่มีวิ่งมาฟ้องพ่อแม่ด้วย เวลาพี่เค้าทำอะไรผิด)
ทำให้มีกำลังใจที่จะฝึกสอนเค้ามากขึ้นเยอะครับ อย่างน้อยอนาคตเค้าก็น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วละ
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบครับ อาจจะเล่าเรื่องวกวนไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยครับ มีข้อสงสัยหรืออะไร สอบถามไว้ได้เลยครับ เดี๋ยวว่างงานแล้วจะเข้ามาตอบเท่าที่ตอบได้นะครับ
เมื่อลูกผมเป็นเด็กพิเศษ....
เมื่อปลายปี 2556 ลูกชายผมอายุได้ 2 ขวบครึ่ง พัฒนาการทางร่างกายปกติดีทุกอย่าง แต่มีปัญหาคือ ไม่ยอมพูด หรือพูดเป็นภาษามนุษย์ต่างดาว ไม่ยอมเข้าใจเรื่องอะไรทั้งสิ้น อยู่นิ่งได้ไม่เกิน 2 นาที ไม่กลัวคนแปลกหน้า เหล่านี้คืออาการที่ทำให้ที่บ้านเอะใจ และพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมป์ หลังจากแพทย์วินิจฉัย แล้วก็ลงความเห็นว่า ลูกผมเป็นเด็กพิเศษครับ มีอาการออทิสติกอ่อนๆ แต่ยังรักษาให้กลับเป็นปกติหรือสามารถช่วยเหลือตัวเองและเข้าสังคมได้...
โดยคุณหมอ ได้ให้พาลูกเข้าร่วมกลุ่มเตาะแตะ (เป็นกลุ่มสร้างเสริมพัฒนาการให้กับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ) ที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 4 ชั่วโมง ตั้งแต่ 8.00 – 12.00 น. เป็นเวลา 3 เดือน ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าผมโชคดีครับ ที่คุณแม่ของผม หรือคุณย่าของเด็กรับอาสาดูแลให้ แต่ตัวผมเองก็ลางานไปบ้าง บางครั้ง เพื่อเข้าร่วมกลุ่มด้วย เพราะในกลุ่มไม่ได้ฝึกแต่พัฒนาการของเด็ก แต่จะฝึกคุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กให้เรียนรู้การดูแลเด็กพิเศษกลุ่มนี้อย่างถูกวิธีด้วยครับ
กิจกรรมในคลาสจะเริ่มต้นด้วย การตรวจสุขภาพประจำวันก่อนเข้าห้อง มีการวัดไข้ ดูสุขภาพทั่วๆ ไป หากเด็กมีอาการไข้ ไอ น้ำมูกไหล จะไม่ได้เข้าร่วมในวันนั้นๆ นะครับ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แต่เราสามารถพาลูกไปเรียนซ่อมร่วมกับกลุ่มอื่นในวันอื่นได้นะครับ
หลังจากได้เข้าห้องฝึกแล้ว ก็เริ่มกิจกรรมเคารพธงชาติ, สวดมนต์-ไหว้พระ, กายบริหารตามเพลง, มีการนวดตัวเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและฝึกให้เด็กอยู่นิ่งๆ (ตรงนี้ต้องเตรียมโลชันสำหรับเด็กไปด้วย), สอนนับ 1-10, สอนให้เรียกชื่อตัวเองและชื่อเพื่อนได้ โดยให้คุณพ่อคุณแม่ เตรียมรูปถ่ายของลูกไป แล้วครูฝึกจะหยิบรูปขึ้นมาพร้อมถามว่ารูปนี้คือรูปของใครให้เจ้าตัวออกไปรับแล้วนำไปวางในจุดที่กำหนดไว้, ฝึกสอนการควบคุมอารมณ์ของเด็ก โดยใช้การกอดและการกระซิบพูดข้างหูเด็ก ย้ำว่ากระซิบนะครับ อย่าเสียงดัง
ก่อนกลับบ้านในแต่ละวัน จะมีการรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างเด็กๆ, คุณพ่อคุณแม่ และครูฝึก โดยให้เด็กรับประทานเอง (ตรงนี้อาหารคุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมไปนะครับ) และมีการบ้านให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาฝึกลูกที่บ้านด้วย
แต่... ส่วนสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่การฝึกที่โรงพยาบาลนะครับ สำคัญที่สุดคือการกลับมาฝึกที่บ้านครับ ต้องพยายามทำทุกอย่างที่เราได้เรียนรู้มาจากการฝึกที่โรงพยาบาลครับ ทำซ้ำๆ กันทุกวัน จะเห็นผลเร็วมาก ซึ่งหลักๆ ที่ผมทำตอนอยู่ที่บ้านคือ ปิดทีวี งดใช้สมาร์ทโฟนทั้งหลายตลอดเวลาที่อยู่กับลูก เน้นการพูดคุยกับลูก ถึงเค้าจะไม่รู้เรื่องกับเราก็ตาม แต่ก็แค่ช่วงแรกๆ เท่านั้น หลังจากนั้นเด็กจะค่อยๆ เรียนรู้สิ่งที่เราพูดคุยกับเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ เอง ฝึกให้เค้าช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด ถึงจะช้าไปหน่อยก็ต้องยอมครับ
หลังจบคอร์ส 3 เดือนจะมีการประเมินผลเด็กแต่ละคนครับว่า ใครได้ออกจากบ้าน AF เอ้ยได้กลับไปฝึกเองที่บ้านต่อ หรือใครจะต้องมาฝึกต่ออีก 3 เดือน (3 เดือนหลังนี่ คุณพ่อคุณแม่ ได้แค่พาลูกไปส่งตอนเช้านะครับ หลังจากนั้นครูฝึกจะทำหน้าที่เองตลอด คุณพ่อคุณแม่ มารับอีกทีตอนเที่ยงเลย) ซึ่งลูกผมได้กลับไปฝึกเองต่อที่บ้านครับ ไม่ต้องเข้ากลุ่มแล้ว แต่ยังมีการนัดเพื่อติดตามพัฒนาการของเด็ก นัดเข้าคลาสฝึกพูด อยู่เรื่อยๆ นะครับ แต่จะห่างขึ้นเรื่อยๆ ตามพัฒนาการของเค้าที่มากขึ้นครับ
สรุปเลยแล้วกัน ยาวเกินไปแล้ว... หลังจากวันแรกที่ไปโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ผ่านมา 1 ปีครึ่งได้ ตอนนี้ลูกชายคนเล็กของผม
สามารถกินข้าวเอง (ถึงจะเลอะเทอะเป็นหว่านนาก็เถอะ)
แต่งตัวเองได้ (แต่ยังติดกระดุมไม่ค่อยคล่องนะครับ กำลังฝึก)
อาบน้ำถูสบู่เอง (แต่ยังต้องคอยยืนกำกับนิดนึง ไม่งั้นฉีดน้ำฝักบัวเล่นสนุกสนาน)
พูดคุยตอบโต้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ (หลังๆ มานี่มีวิ่งมาฟ้องพ่อแม่ด้วย เวลาพี่เค้าทำอะไรผิด)
ทำให้มีกำลังใจที่จะฝึกสอนเค้ามากขึ้นเยอะครับ อย่างน้อยอนาคตเค้าก็น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วละ
ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบครับ อาจจะเล่าเรื่องวกวนไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยครับ มีข้อสงสัยหรืออะไร สอบถามไว้ได้เลยครับ เดี๋ยวว่างงานแล้วจะเข้ามาตอบเท่าที่ตอบได้นะครับ