ในสมัยรัชกาลที่5 หลวงชลภูมิพานิช ข้าราชการผู้น้อยลูกหลานชาวจีนผู้นี้
เข้ารับราชการอยู่ที่กรมท่าซ้าย ในกระทรวงมหาดไทย
วันหนึ่งหลวงชลภูมิพาณิชได้บังเอิญไปพบกับนางสาวส่วน บริเวณหน้าประตูวังหลวง
หลวงชลภูมิพานิชเกิดมีใจรักและเสน่หาในตัวนางสาวส่วนตั้งแต่แรกพบ
แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปสนทนาทำความรู้จัก ด้วยความที่เป็นชายหนุ่มไม่ค่อยกล้าจะแสดงออก
หลวงชลภูมิพานิชจึงทำได้เพียงแค่แอบมอง และมายืนรอหน้าประตูวังหวังว่าจะได้พบนางสาวส่วนอีกสักครั้ง
นางสาวส่วนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ซึ่งผู้เป็นแม่ได้นำมาถวายเป็นข้าหลวงตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้รับการอบรมในราชสำนักเป็นอย่างดี
ทั้งในด้านวิชาการ ศิลปะ มารยาทจึงเป็นกุลสตรีทุกระเบียบนิ้ว
และเป็นคนค่อนข้างจะถือเนื้อถือตัวเอาการ ไม่เปิดโอกาสให้ชายใดมาทำความรู้จักได้อย่างง่าย
ด้วยเหตุนี้หลวงชลภูมิพานิชจึงไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักหรือพูดคุยเลย
เมื่อถึงเวลาพักหรือเสร็จราชการหลวงชลภูมิพานิชเป็นอันต้องไปดักรอดูนางสาวส่วนอยู่ร่ำไป
จนวันหนึ่งเรื่องความรักของข้าราชการหนุ่มผู้นี้ก็ได้ทราบไปถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทรัชกาลที่5
พระองค์จึงปรึกษากับสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
สุดท้ายจึงมีพระบรมราชานุญาติให้ทั้งคู่ได้ลองทำความรู้จักและคบหาสมาคม
โดยเริ่มจากการส่งจดหมายหากัน และพบเจอกันได้ในบางโอกาส
ในที่สุด นางสาวส่วนจึงถวายบังคมลาจากการเป็นข้าหลวงเพื่อทำการสมรสกับหลวงชลภูมิพานิช
เรื่องนี้สร้างความปิติยินดีให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังที่เอาใจช่วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกรมท่าซ้าย
และราชสำนักสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ด้วยความรักนี้ หลวงชลภูมิพานิชจึงสร้างเนื้อสร้างตัวเก็บหอมรอมริบเพื่อสร้างเรือนหอ
ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้แก่หญิงผู้เป็นที่รัก ซึ่งต่อมาเรียกว่า "บ้านบางยี่ขัน"
โดยมีโจทย์ในการออกแบบคือ"ความรัก"เพื่อให้สถาปนิกชาวยุโรปออกแบบ
เรือนหอหลังนี้สร้างแล้วเสร็จในปี2466 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่6
และเป็นช่วงเวลาที่หลวงชลภูมิพานิชเจริญก้าวหน้าในราชการ
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาชลภูมิพานิช
นางสาวส่วนจึงได้รับพระราชทานเครื่องราชฯชั้นคุณหญิงตามศักดิ์ของสามี
พร้อมทั้งได้รับพระราชทานนามสกุลประจำตระกูลคือ “อเนกวณิช”
ท่านพระยากับคุณหญิงครองรักกันอย่างมีความสุขพร้อมพยานรักที่น่ารักอีก10คน

ทายาทของท่านอาศัยอยู่ในบ้านบางยี่ขันเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคที่ผู้คนไม่นิยมสัญจรทางเรือ
แต่เปลี่ยนไปขับรถยนต์แทน ด้วยอาณาเขตของบ้านบางยี่ขันที่มีทางเข้าออกแค่ทางเรือเท่านั้น
จึงทำให้ไม่สะดวกในการเดินทาง ในปี2487นายปานจิดต์บุตรชายคนที่7
จึงตัดสินใจขายบ้านบางยี่ขันให้แก่กลุ่มมุสลิมบางกอกน้อย
เพื่อใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนราชการุญ ซึ่งต่อมาได้ปิดกิจการไป
ปัจจุบันบ้านบางยี่ขันได้รับการบูรณะเป็นโรงแรมหรู โดยยังคงเสน่ห์ของความเป็นเรือนหอที่สร้างขึ้นจากความรัก
โรงแรมหรูแห่งนี้ชื่อว่าPraya Palazzoหมายถึงคฤหาสน์แห่งพระยาชลภูมิพานิช
ที่มองด้วยตาเปล่าก็สามารถรับรู้ได้ว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นจากความรัก
ที่มา: ประวัติความเป็นมาบริเวณพนังห้องอาหาร พนักงานเจ้าหน้าที่ โรงแรมพระยาพาลาสโซ่
รายละเอียดกระทู้คุณหมูอ้วนจอมพลังค่ะ
http://pantip.com/topic/32323018
ข้อมูลและภาพ
คลังประวัติสาสตร์ไทย
เว็บhiniceplaces.com
*** อนุสรณ์แห่งความรัก"เรือนหอบางยี่ขัน" ***
ในสมัยรัชกาลที่5 หลวงชลภูมิพานิช ข้าราชการผู้น้อยลูกหลานชาวจีนผู้นี้
เข้ารับราชการอยู่ที่กรมท่าซ้าย ในกระทรวงมหาดไทย
วันหนึ่งหลวงชลภูมิพาณิชได้บังเอิญไปพบกับนางสาวส่วน บริเวณหน้าประตูวังหลวง
หลวงชลภูมิพานิชเกิดมีใจรักและเสน่หาในตัวนางสาวส่วนตั้งแต่แรกพบ
แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปสนทนาทำความรู้จัก ด้วยความที่เป็นชายหนุ่มไม่ค่อยกล้าจะแสดงออก
หลวงชลภูมิพานิชจึงทำได้เพียงแค่แอบมอง และมายืนรอหน้าประตูวังหวังว่าจะได้พบนางสาวส่วนอีกสักครั้ง
นางสาวส่วนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นข้าหลวงในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ซึ่งผู้เป็นแม่ได้นำมาถวายเป็นข้าหลวงตั้งแต่ยังเด็ก จึงได้รับการอบรมในราชสำนักเป็นอย่างดี
ทั้งในด้านวิชาการ ศิลปะ มารยาทจึงเป็นกุลสตรีทุกระเบียบนิ้ว
และเป็นคนค่อนข้างจะถือเนื้อถือตัวเอาการ ไม่เปิดโอกาสให้ชายใดมาทำความรู้จักได้อย่างง่าย
ด้วยเหตุนี้หลวงชลภูมิพานิชจึงไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักหรือพูดคุยเลย
เมื่อถึงเวลาพักหรือเสร็จราชการหลวงชลภูมิพานิชเป็นอันต้องไปดักรอดูนางสาวส่วนอยู่ร่ำไป
จนวันหนึ่งเรื่องความรักของข้าราชการหนุ่มผู้นี้ก็ได้ทราบไปถึงฝ่าละอองธุลีพระบาทรัชกาลที่5
พระองค์จึงปรึกษากับสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
สุดท้ายจึงมีพระบรมราชานุญาติให้ทั้งคู่ได้ลองทำความรู้จักและคบหาสมาคม
โดยเริ่มจากการส่งจดหมายหากัน และพบเจอกันได้ในบางโอกาส
ในที่สุด นางสาวส่วนจึงถวายบังคมลาจากการเป็นข้าหลวงเพื่อทำการสมรสกับหลวงชลภูมิพานิช
เรื่องนี้สร้างความปิติยินดีให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังที่เอาใจช่วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกรมท่าซ้าย
และราชสำนักสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ด้วยความรักนี้ หลวงชลภูมิพานิชจึงสร้างเนื้อสร้างตัวเก็บหอมรอมริบเพื่อสร้างเรือนหอ
ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้แก่หญิงผู้เป็นที่รัก ซึ่งต่อมาเรียกว่า "บ้านบางยี่ขัน"
โดยมีโจทย์ในการออกแบบคือ"ความรัก"เพื่อให้สถาปนิกชาวยุโรปออกแบบ
เรือนหอหลังนี้สร้างแล้วเสร็จในปี2466 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่6
และเป็นช่วงเวลาที่หลวงชลภูมิพานิชเจริญก้าวหน้าในราชการ
ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาชลภูมิพานิช
นางสาวส่วนจึงได้รับพระราชทานเครื่องราชฯชั้นคุณหญิงตามศักดิ์ของสามี
พร้อมทั้งได้รับพระราชทานนามสกุลประจำตระกูลคือ “อเนกวณิช”
ท่านพระยากับคุณหญิงครองรักกันอย่างมีความสุขพร้อมพยานรักที่น่ารักอีก10คน
ทายาทของท่านอาศัยอยู่ในบ้านบางยี่ขันเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคที่ผู้คนไม่นิยมสัญจรทางเรือ
แต่เปลี่ยนไปขับรถยนต์แทน ด้วยอาณาเขตของบ้านบางยี่ขันที่มีทางเข้าออกแค่ทางเรือเท่านั้น
จึงทำให้ไม่สะดวกในการเดินทาง ในปี2487นายปานจิดต์บุตรชายคนที่7
จึงตัดสินใจขายบ้านบางยี่ขันให้แก่กลุ่มมุสลิมบางกอกน้อย
เพื่อใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนราชการุญ ซึ่งต่อมาได้ปิดกิจการไป
ปัจจุบันบ้านบางยี่ขันได้รับการบูรณะเป็นโรงแรมหรู โดยยังคงเสน่ห์ของความเป็นเรือนหอที่สร้างขึ้นจากความรัก
โรงแรมหรูแห่งนี้ชื่อว่าPraya Palazzoหมายถึงคฤหาสน์แห่งพระยาชลภูมิพานิช
ที่มองด้วยตาเปล่าก็สามารถรับรู้ได้ว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นจากความรัก
ที่มา: ประวัติความเป็นมาบริเวณพนังห้องอาหาร พนักงานเจ้าหน้าที่ โรงแรมพระยาพาลาสโซ่
รายละเอียดกระทู้คุณหมูอ้วนจอมพลังค่ะ
http://pantip.com/topic/32323018
ข้อมูลและภาพ
คลังประวัติสาสตร์ไทย
เว็บhiniceplaces.com