เชื่อว่าทุกคนเคยเขียนไดอารี่.....
คืนนี้นอนไม่หลับ หรือว่าหลับไม่ลง ไม่รู้ว่าควรจะเลือกใช้คำไหนดี
กว่าสามเดือนหลังจากเรียนจบ ก็ตั้งหน้าตั้งตาสมัครงาน ระหว่างที่รอบริษัทเรียกสัมภาษณ์
ก็ทำให้มีเวลาให้ตัวเองอย่างเต็มที่ (เกินลิมิตจากที่เคยบอกพี่ชายเอาไว้ว่าขอพักเดือนเดียว)
ชีวิตตอนนี้เรียกได้ว่ามีโอกาสได้คุยกับตัวเองมากที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยล่ะ
ไม่รู้ว่าการที่ได้คุยกับตัวเองมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ...??
เพราะหลังๆเริ่มสังเกตุตัวเองว่าเริ่มจะเพ้อเจ้อและคิดมากกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาทั้งเก่าและใหม่
ปกติแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามแต่ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะถูกจดบันทึกลงไปในไดอารี่
แต่เพิ่งมาเลิกเขียนก็เมื่อปีที่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงเลิกเขียน เหตุผลน่ะมี แต่ไม่รู้ว่าจะใช่เหตุผลจริงๆหรือเปล่า ?
เคยเป็นมั้ยที่กลับมาเปิดอ่านไดอารี่ แล้วภาพเหตุการณ์ในขณะที่จดบันทึกลงไป มันวิ่งแว๊บเข้ามาในหัว
ถ้าโผล่มาแค่ภาพก็คงไม่คิดอะไร แต่ดันมีเรื่องของความรู้สึกในขณะนั้นวิ่งเข้ามาหาด้วยน่ะสิ
ดึกคืนนี้ พยายามจะข่มตาให้หลับ ปิดไฟวางโทรศัพท์ให้ห่างตัว แต่ก็พลิกไปพลิกมาไม่หลับเสียที
เลยลุกขึ้นมาเปิดไฟ และเดินตรงไปที่ลิ้นชัก ..
หยิบถุงกระดาษใบหนึ่งที่ตอนนี้สภาพเก่ามาก จนต้องนำถุงพลาสติกมาห่อหุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง
เมื่อเปิดออกมา ก็พบกับไดอารี่ตั้งแต่สมัยประถม นอนนิ่งอยู่ในถุงกระดาษอย่างไร้ความรู้สึก
แต่แปลก ที่เรากลับมีความรู้สึกกับไดอารี่เหล่านั้น
ไม่เพียงแต่ไดอารี่เท่านั้น ในถุงกระดาษมหัศจรรย์ใบนั้น ยังเต็มไปด้วยรูปถ่ายและของต่างๆที่เก็บไว้ประกอบเหตุการณ์
ความรู้สึกเมื่อเห็นกองความทรงจำวางอยู่ตรงหน้า มันมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์
ที่กำลังฉายหนังเรื่องเศร้า ที่เรารู้ทั้งรู้ว่ามันจะต้องทำให้เราเสียน้ำตาและเจ็บปวด เราก็ยังเดินเข้าไปดู ...
ความรู้สึกตื่นเต้นปนหม่นใจ กำลังตีกันอยู่ในหัวสมอง เพราะเรื่องราวบางเรื่อง ทำไมมันถึงกล้ามาเกิดกับเราได้
แล้วตอนนั้นเราไปแวะทักทายมันนานขนาดนั้นเลยหรอ ??
ไดอารี่ทุกเล่มพูดถึงเรื่องราวความรักที่ผ่านมา สวยงามและเจ็บปวด เปรียบเหมือนดอกกุหลาบที่มีหนามทิ่มแทง
มุมปากขยับขึ้นลง ตามความรู้สึกของเหตุการณ์
นี่หรือเปล่านะ ที่เป็นเหตุผลของการเลิกเขียนไดอารี่
ความเจ็บปวดที่ถูกบันทึกลงไป มันหลากหลายรูปแบบไม่ต่างอะไรกับสีสันบนกระดาษ
ทุกครั้งที่จบความสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่ง เมื่อย้อนกลับมาอ่านเรื่องราวที่เคยทำร่วมกัน มันทำให้รู้สึกขยาด !
เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นจบลง .....
ความเจ็บปวดจะไม่ได้มีร่วมกันแล้ว เป็นเพียงเราฝ่ายเดียวเท่านั้นและไม่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดนั้นให้ใครได้
หรือเป็นเพราะความหวาดกลัว ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
จึงทำให้เรื่องราวของคนรักในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกบันทึกลงไปในไดอารี่สักเล่มเดียว
หรือจริงๆแล้วเราเปลี่ยนรูปแบบการจดบันทึกมาเป็นการตั้งสเตัสใน Facebook แทน !!!
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในการเปิดอ่านไดอารี่มากที่สุด คือการเรียนรู้อดีต สิ่งไหนพลาด สิ่งไหนผิด เราจะเห็นตัวเอง
เราจะไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำในตอนนั้นมันดีหรือไม่ จนเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเรามาเปิดอ่าน
น่าแปลกที่เราจดจำความรู้สึกเจ็บปวดได้ดีกว่าความรู้สึกสมหวัง
แต่อย่างน้อยๆก็ได้ข้อดีมาเหมือนกันนะ ...ว่าสุดท้ายแล้ว
ความรู้สึกเจ็บปวดมันจะอยู่กับเราไม่นาน เมื่อเวลาผ่านไปเราจะเข้มแข็งและยอมรับความจริงได้มากขึ้น
แล้วคุณก็จะหลงรักความเข้มแข็งของคุณเอง เชื่อสิ ..
ปล.อันนี้เป็นบันทึกของเราเมื่อ 3 ปีที่แล้วค่ะ ตอนนี้ก็กำลังลังเลว่าจะกลับมาเขียนไดอารี่อีกดีมั้ย เพราะมันก็ห่างมือมานานมากแล้ว
ไดอารี่เล่มเก่า (มาแชร์บันทึกกันหน่อยมั้ยคะ)
คืนนี้นอนไม่หลับ หรือว่าหลับไม่ลง ไม่รู้ว่าควรจะเลือกใช้คำไหนดี
กว่าสามเดือนหลังจากเรียนจบ ก็ตั้งหน้าตั้งตาสมัครงาน ระหว่างที่รอบริษัทเรียกสัมภาษณ์
ก็ทำให้มีเวลาให้ตัวเองอย่างเต็มที่ (เกินลิมิตจากที่เคยบอกพี่ชายเอาไว้ว่าขอพักเดือนเดียว)
ชีวิตตอนนี้เรียกได้ว่ามีโอกาสได้คุยกับตัวเองมากที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยล่ะ
ไม่รู้ว่าการที่ได้คุยกับตัวเองมันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ...??
เพราะหลังๆเริ่มสังเกตุตัวเองว่าเริ่มจะเพ้อเจ้อและคิดมากกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาทั้งเก่าและใหม่
ปกติแล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามแต่ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะถูกจดบันทึกลงไปในไดอารี่
แต่เพิ่งมาเลิกเขียนก็เมื่อปีที่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงเลิกเขียน เหตุผลน่ะมี แต่ไม่รู้ว่าจะใช่เหตุผลจริงๆหรือเปล่า ?
เคยเป็นมั้ยที่กลับมาเปิดอ่านไดอารี่ แล้วภาพเหตุการณ์ในขณะที่จดบันทึกลงไป มันวิ่งแว๊บเข้ามาในหัว
ถ้าโผล่มาแค่ภาพก็คงไม่คิดอะไร แต่ดันมีเรื่องของความรู้สึกในขณะนั้นวิ่งเข้ามาหาด้วยน่ะสิ
ดึกคืนนี้ พยายามจะข่มตาให้หลับ ปิดไฟวางโทรศัพท์ให้ห่างตัว แต่ก็พลิกไปพลิกมาไม่หลับเสียที
เลยลุกขึ้นมาเปิดไฟ และเดินตรงไปที่ลิ้นชัก ..
หยิบถุงกระดาษใบหนึ่งที่ตอนนี้สภาพเก่ามาก จนต้องนำถุงพลาสติกมาห่อหุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง
เมื่อเปิดออกมา ก็พบกับไดอารี่ตั้งแต่สมัยประถม นอนนิ่งอยู่ในถุงกระดาษอย่างไร้ความรู้สึก
แต่แปลก ที่เรากลับมีความรู้สึกกับไดอารี่เหล่านั้น
ไม่เพียงแต่ไดอารี่เท่านั้น ในถุงกระดาษมหัศจรรย์ใบนั้น ยังเต็มไปด้วยรูปถ่ายและของต่างๆที่เก็บไว้ประกอบเหตุการณ์
ความรู้สึกเมื่อเห็นกองความทรงจำวางอยู่ตรงหน้า มันมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์
ที่กำลังฉายหนังเรื่องเศร้า ที่เรารู้ทั้งรู้ว่ามันจะต้องทำให้เราเสียน้ำตาและเจ็บปวด เราก็ยังเดินเข้าไปดู ...
ความรู้สึกตื่นเต้นปนหม่นใจ กำลังตีกันอยู่ในหัวสมอง เพราะเรื่องราวบางเรื่อง ทำไมมันถึงกล้ามาเกิดกับเราได้
แล้วตอนนั้นเราไปแวะทักทายมันนานขนาดนั้นเลยหรอ ??
ไดอารี่ทุกเล่มพูดถึงเรื่องราวความรักที่ผ่านมา สวยงามและเจ็บปวด เปรียบเหมือนดอกกุหลาบที่มีหนามทิ่มแทง
มุมปากขยับขึ้นลง ตามความรู้สึกของเหตุการณ์
นี่หรือเปล่านะ ที่เป็นเหตุผลของการเลิกเขียนไดอารี่
ความเจ็บปวดที่ถูกบันทึกลงไป มันหลากหลายรูปแบบไม่ต่างอะไรกับสีสันบนกระดาษ
ทุกครั้งที่จบความสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่ง เมื่อย้อนกลับมาอ่านเรื่องราวที่เคยทำร่วมกัน มันทำให้รู้สึกขยาด !
เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นจบลง .....
ความเจ็บปวดจะไม่ได้มีร่วมกันแล้ว เป็นเพียงเราฝ่ายเดียวเท่านั้นและไม่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดนั้นให้ใครได้
หรือเป็นเพราะความหวาดกลัว ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
จึงทำให้เรื่องราวของคนรักในปัจจุบัน ไม่ได้ถูกบันทึกลงไปในไดอารี่สักเล่มเดียว
หรือจริงๆแล้วเราเปลี่ยนรูปแบบการจดบันทึกมาเป็นการตั้งสเตัสใน Facebook แทน !!!
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในการเปิดอ่านไดอารี่มากที่สุด คือการเรียนรู้อดีต สิ่งไหนพลาด สิ่งไหนผิด เราจะเห็นตัวเอง
เราจะไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำในตอนนั้นมันดีหรือไม่ จนเมื่อเวลาผ่านไปแล้วเรามาเปิดอ่าน
น่าแปลกที่เราจดจำความรู้สึกเจ็บปวดได้ดีกว่าความรู้สึกสมหวัง
แต่อย่างน้อยๆก็ได้ข้อดีมาเหมือนกันนะ ...ว่าสุดท้ายแล้ว
ความรู้สึกเจ็บปวดมันจะอยู่กับเราไม่นาน เมื่อเวลาผ่านไปเราจะเข้มแข็งและยอมรับความจริงได้มากขึ้น
แล้วคุณก็จะหลงรักความเข้มแข็งของคุณเอง เชื่อสิ ..
ปล.อันนี้เป็นบันทึกของเราเมื่อ 3 ปีที่แล้วค่ะ ตอนนี้ก็กำลังลังเลว่าจะกลับมาเขียนไดอารี่อีกดีมั้ย เพราะมันก็ห่างมือมานานมากแล้ว