ร่างหมดสติของพีถูกวางนอนบนพื้นหญ้าเขียวที่ขึ้นอยู่ประปราย สร้อยแก้วดึงเสื้อผ้าสำรองของเขาออกจากเป้หลังพับเป็นหมอนบางๆให้หนุนไว้แล้วนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
ท่านพ่อไกรศักดิ์ พรานโละ โจและเหมียวนั่งลงมองไปรอบตัว ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา ด้วยความรู้สึกทั้งดีใจและยำเกรงในสภาพพื้นที่ที่เห็นรอบๆ
องค์พญายมราช มหาเทพแห่งความตายผู้ยิ่งใหญ่ได้ประทานบททดสอบความอุตสาหะแก่พวกเขาในเบื้องต้น ด้วยการเดินเท้าที่แสนเข็ญในโพรงถ้ำสีดำ อดอยากหนาวเย็นเจียนตาย และบทพิสูจน์ที่สำคัญอีกบทหนึ่งที่แสดงให้ประจักษ์ต่อสายพระเนตรแล้วว่า มนุษย์ขี้ผงผู้อยู่ในหน้าที่ทัพหน้ามันพร้อมสละชีวิตเพื่อผู้อื่นได้จริง อันเพลานี้ยังนอนหมดสติรอพระเมตตาของพระองค์อยู่
รอบกายของครอบครัวทั้งหกชีวิตคือโพรงถ้ำขนาดใหญ่ พื้นถ้ำนั้นประมาณด้วยสายตาสักสองร้อยตารางวาไม่ขาดเกินกว่ามากนัก ผนังและเพดานถ้ำประดับประดาด้วยผงแร่ไปจนทั่วส่งแสงประกายขาว น้ำเงินและเหลืองระยิบระยับสะท้อนรับแสงสว่างที่ขึ้นมาจากกลางพื้นถ้ำอันเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่รูปวงรี ทั่วทั้งถ้ำจึงสว่างเรืองด้วยแสงที่สะท้อนไปมา
พุ่มไม้รูปทรงประหลาดรวมกลุ่มกันอยู่สี่ห้าพุ่มสูงขนาดเทียมอก กิ่งก้านสีดำเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ใบของต้นนั้นหยักเป็นสามแฉกคล้ายกับสามง่ามที่ใช้เป็นอาวุธ หากแต่ปลายกิ่งทุกกิ่งแปะปลายไว้ทั่วทั้งพุ่มด้วยผลคล้ายมะปรางสีเหลืองอมแสด ผิวของมันนวลอร่ามล่อตาล่อใจสิ่งมีชีวิตที่หิวโหยไส้แทบขาดอยู่ขณะนี้นัก
พวกเขานั่งมองไปที่พุ่มไม้ที่อุดมด้วยผลดกนั้นด้วยความรู้สึกเดียวกัน
“เราได้พระเมตตาให้พักเอาแรงบ้างรึเปล่าครับ” โจพูดทำลายความเงียบขึ้นเบาๆ
“ลุงก็คิดอย่างนั้นนะ” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
“คุณลุงว่าผลไม้นั่นทานได้มั้ยครับ” โจถามแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
“ลุงกำลังบังอาจประเมินพระประสงค์ขององค์ท่านอยู่ ว่าประทานให้หรือยั่วเย้าดูความอดทน” ลุงไกรตอบ
“ให้ฉันลองก่อนดีรึไรนายท่าน” พรานโละอาสาทดลอง
“ลุงประเมินว่าเรายังมองไม่เห็นทางออกไปภายนอก พระองค์น่าจะเมตตาประทานเรี่ยวแรงให้บ้าง” ลุงไกรพูด
พูดจบแล้วท่านแม่ทัพลุกขึ้นเดินไปยังพุ่มไม้นั้น เขายืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหลับตาลงเพื่ออธิษฐานจิต
“ข้าแต่องค์พญายมราช บัดนี้เหล่าข้าพระพุทธเจ้าสิ้นเรี่ยวแรงจะต่อสู้ ขอพระเมตตาด้วยเถิด” ไกรศักดิ์ตั้งจิตขอ
ไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นแล้วเอื้อมมือไปปลิดผลไม้นั้นใส่ปากเคี้ยวไป โจ เหมียวและพรานโละรีบลุกขึ้นตามไปยืนอยู่ข้างๆลุงไกรเพื่อเตรียมช่วยเหลือหากมีอะไรเกิดขึ้น
“ผลไม้นี่หอมหวานไม่มีเมล็ด ตั้งจิตไหว้สำนึกพระกรุณาแล้วกินได้” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
ทั้งสามคนก้มลงตั้งจิตกราบที่พื้นเพื่อแสดงความสำนึกในพระกรุณา รวมถึงสร้อยแก้วที่นั่งดูแลพีอยู่ก็กราบลงที่พื้นด้วยเช่นกัน
“ค่อยๆกินแค่พออิ่มก่อนนะทุกคน” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด เขาไม่อยากแสดงความละโมบของมนุษย์ออกมา
“สร้อยแก้วรับไว้” เหมียวรีบปลิดมาห้าหกลูกเดินมาให้สร้อยแก้วก่อน
“จ้ะพี่” สร้อยแก้วยกมือไหว้รับผลไม้ไว้ แล้วหันไปมองพี
“กินซะก่อนจะได้มีแรง ไม่ต้องห่วงพี่พี เดี๋ยวฟื้นขึ้นมาก็มีกินอีก” เหมียวยิ้มพูดแล้วเดินไปปลิดกินเองบ้าง
ผลไม้ทิพย์คนละห้าหกผลที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานให้อยู่ในท้องของทุกคนพอให้ได้มีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ท่านไกรศักดิ์เดินไปที่ริมแอ่งน้ำคุกเข่าก้มลงมอง เขายกมือไหว้ก่อนแล้วจึงวักขึ้นมาดื่ม
พรานโละ โจและเหมียวมานั่งอยู่ด้วย สร้อยแก้วจึงลุกขึ้นเดินตามมาเพื่อดื่มน้ำนั้น ทุกคนจ้องมองลงไปในน้ำที่ใสดังกระจกพยายามมองดูพื้นของแอ่งน้ำว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
“ขาวเรืองสว่างเลยนะ” โจพูด
“นั่นสิ” เหมียวพูดตายังคงจ้องมองอยู่
“คุณว่าจะมีโพรงใต้น้ำให้เรามุดออกไปมั้ย” โจพูด
“ภาวนาให้มีก็แล้วกันนะเหมียวว่า” หญิงสาวตอบ
“โอย..” เสียงลากครางยาวๆดังมาจากทัพหน้าที่นอนสลบอยู่
ทั้งหมดถลันพรวดเข้าไปหาทันที
“ไอ้พี ไอ้พี” โจร้องเรียกเมื่อนั่งลงข้างๆ
“ท่านพี่ ท่านพี่” สร้อยแก้วร้องเรียกด้วยนั่งลงอีกข้างหนึ่ง
“โอย..” พีครางค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
“เป็นยังไงบ้างไอ้พี” โจเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
พีกรอกตามองทุกคนแล้วหลับตาหน้าเหยครางด้วยความเจ็บระบม
“โอย..” พียังคงครางอยู่
“พี เจ็บตรงไหนบ้างลูก” ลุงไกรถามเบาๆ
พีลืมตาจ้องหน้าลุงไกรอยู่อย่างนั้นแล้วเอ่ยปากเมื่อสำนึกความจำเริ่มกลับมา
“นี่.ตาย.กัน.หมดแล้ว.เหรอ.” พีลากเสียงถามด้วยความเจ็บระบม
“ยังไอ้พี เอ็งก็ยังไม่ตาย” โจบอก
ทัพหน้ากรอกตามองไปทีละคนจนหยุดอยู่ที่สร้อยแก้ว
“สร้อยแก้ว.ไม่เป็น.อะไร.ใช่มั้ย.” พีถาม เขาพยายามยกมือขึ้นจะสัมผัสใบหน้าเธอ
“สร้อยแก้วอยู่นี่จ้ะ” หญิงสาวตอบน้ำตารินด้วยความดีใจ เธอยกมือเขาขึ้นแนบแก้มของเธอไว้
“เจ็บมากมั้ยพี่พี เจ็บหน้าอกใช่มั้ย” เหมียวถาม
พีหลับตาพยักหน้ารับหน้าเหยอีกครั้งเมื่อกลับไปจับความรู้สึกตัวเอง
“เจ็บตรงไหนมากๆบ้างมั้ย” ลุงไกรก้มหน้าไปถาม
พีส่ายหน้าช้าๆ
“แค่ระบมหน้าอกใช่มั้ย” ลุงไกรถามต่อ
พีพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นลูกนอนพักก่อนนะ ตื่นขึ้นมามีผลไม้ให้กิน” ลุงไกรบอก
พีพยักหน้ารับรู้แต่ยังไม่มีสติสมบูรณ์ที่จะสงสัยว่าผลไม้มาจากไหน
ทั้งห้าคนต่างถอนหายใจโล่งอกไปตามๆกัน สร้อยแก้วก้มลงเอาแก้มแนบกับหน้าผากชายหนุ่มไว้ เธอรู้สึกดีใจเหลือล้นที่ได้คนที่เธอรักกลับคืนมา พีนอนกระพริบตาปริบๆพยายามรวบรวมสติและความจำให้ชัดเจนขึ้น
ท่านลุงไกรศักดิ์ลุกขึ้นเดินไปหยุดมองช่องของโพรงถ้ำที่พวกเขาโหนเชือกไถลตัวลงมา
“พวกเรามาดูอะไรนี่” ท่านลุงเรียก
พรานโละ โจ เหมียวเดินเข้ามาหา สร้อยแก้วยังคงนั่งอยู่กับพี ท่านไกรศักดิ์ชี้นิ้วให้ดูแอ่งน้ำหน้าช่องโพรง น้ำในแอ่งไหลทวนขึ้นมายังช่องโพรงที่สูงกว่าขึ้นไปแล้วไปรินลงอีกครั้งเข้าสู่พื้นถ้ำอันมืดมิดที่พวกเขาเดินเข้ามา ไหลยาวตามพื้นถ้ำแล้วออกไปตกลงสู่ลำธารเชี่ยวกรากที่ก้นเหวด้านนอก
ท่านลุงชะโงกหน้าเข้าไปเปิดไฟฉายสาดแสงสำรวจช่องโพรงอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ถึงระเบิดไดนาไมท์สองแท่งที่พีจุดขึ้น ครู่ใหญ่จึงดึงตัวกลับออกมา
“มีแต่เศษของแท่งระเบิดที่กลางช่องโพรงนี่แค่นั้น” ท่านลุงพูด
“ไม่ระคายผิวเลยสักนิด” ท่านลุงพูดต่อ
“ระเบิดแตกตัวค่อนมาด้านล่างนี้แล้ว ผิวน้ำในแอ่งเลยซับแรงอัดไว้” ท่านลุงวิเคราะห์
“แต่ที่ลุงพูดนี่พิจารณาแบบเหตุผลของมนุษย์นะ”
“พญายมราชพระองค์คงอยากพิสูจน์จิตใจมนุษย์มากกว่า” ลุงไกรพูดแล้วมองไปที่พี
“พระองค์เห็นแล้วใช่มั้ยคะ” เหมียวพูด
“ขอทรงโปรดเมตตาผู้น้อยด้วย” โจพูดแล้วยกมือไหว้ไปรอบๆ
“อากาศในถ้ำนี้เย็นสบายจังเลยนะคะ” เหมียวพูด
“ใช่ครับ ต่างจากถ้ำที่เราเดินกันมามากมายเลย” โจพูดเสริม
“พวกเราพักกันสักระยะให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้นแล้วค่อยหาทางกันต่อ” ท่านลุงพูด
“ผลไม้ที่พุ่มนั่น กินพออิ่มก็พอนะ อย่าปลิดมาเก็บตุนเป็นอันขาดนะพวกเรา” ท่านลุงบอกสั่ง
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ
สร้อยแก้วค่อยๆประคองพีให้ชันตัวขึ้นนั่งแล้วประคองหลังไว้ให้
“ท่านพ่อจ๊ะ” สร้อยแก้วร้องเรียกท่านพ่อไกรศักดิ์
“อ้าวพี เป็นยังไงบ้างลูก” ท่านลุงพูดแล้วรีบเดินไปหา อีกสามคนจึงตามไปด้วย
ครอบครัวกลับมาล้อมวงกันรอบๆตัวพีที่กำลังเริ่มเหลียวมองซ้ายขวาอย่างงุนงง
“เป็นยังไงบ้างคะพี่พี” เหมียวถามจับมือเขาไว้
“เจ็บหน้าอก” พีตอบเสียงแผ่ว
“พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ยไอ้พี เดี๋ยวไปเอาผลไม้มาให้” โจถาม
“สร้อยแก้วจะไปเอามาให้จ้ะ” สร้อยแก้วพูด
“ไม่เป็นไร สร้อยแก้วนั่งเถอะ พี่ไปเอามาให้เอง” โจพูดแล้วเดินไปปลิดผลไม้มาห้าหกผล
โจเดินกลับมาส่งผลไม้ให้สร้อยแก้วถือไว้ให้แล้วใส่มือพีทีละลูก ทัพหน้าของครอบครัวก้มมองผลไม้สีสวยในมือ
“เอามาจากไหน” พีถามเบาๆ
“เดี๋ยวหายดีแล้วค่อยเล่า ตอนนี้ลูกกินให้มีแรงซะก่อน รสอร่อยมากนะ” ลุงไกรยิ้มพูดกับเขาเบาๆ
พีใส่ปากเคี้ยวที่ละลูกจนหมด
“เอาอีกมั้ยคะพี่” เหมียวถาม
พีส่ายหน้าช้าๆ
“อิ่มแล้วเหมียว ขอบคุณนะ” พีตอบเธอหน้ายิ้มเซียวๆ
“นี่เป็นเวลาพักเอาแรงกันจริงๆเลยนะ ไม่ต้องนั่งยาม อากาศเย็นสบาย ใครหิวลุกไปปลิดผลไม้กิน หิวน้ำก็ในแอ่งนั่นนะ ใครอยากหลับๆได้เลย” ท่านลุงไกรศักดิ์พูดทำความเข้าใจกับทุกคน
“พี ลูกไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ” ลุงไกรหันไปถาม
“แค่ยังเจ็บหน้าอกครับ” พีตอบเบาๆ
สร้อยแก้วกับเหมียวประคองให้พีนอนลง สร้อยแก้วขยับเตรียมจะนอนดูแลเขาอยู่ใกล้
“พี่พีนอนหลับพักยาวไปเลยนะ ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล” เหมียวบอกเขา
“ขอบคุณมากเหมียว” พียิ้มเจื่อนตอบด้วยเสียงคนป่วย
ท่านลุงไกรศักดิ์เอนหลังลงแตะพื้น พรานโละเดินวนรอบแอ่งน้ำมองลงครู่หนึ่งแล้วกลับมานอนลงใกล้กับนายท่าน เหมียวจัดเป้หลังเป็นหมอนสองใบใกล้กันแล้วนอนลงดึงมือโจที่นั่งอยู่ให้นอนข้างๆ
“นอนซะ เต็มตื่นมีแรงแล้วค่อยสู้ต่อ” เธอยิ้มบอกเขา
“ครับ” โจรับคำแล้วจึงนอนลงข้างเธอ
ไม่กี่อึดใจ หกชีวิตที่ต่อสู้ตรากตรำมาจนอ่อนล้าสายตัวแทบขาดก็หลับสนิทอย่างเป็นสุขที่สุดในเวลานี้ เวลาที่ไม่รู้ด้วยว่าเป็นกลางคืนหรือกลางวัน ความสว่างที่เรืองสวย ความระยิบระยับของเพดานและผนังถ้ำบวกกับความเย็นสบายของอากาศกำลังพอเหมาะรอบตัว โอบอุ้มพวกเขาไว้ในนิทรารมย์อันแสนสุข
เวลาล่วงผ่านไป
ท่านไกรศักดิ์ลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับที่สนิทที่สุดในรอบกว่าเดือนที่ผ่านมา เขายกข้อมือขึ้นดูเวลาจึงรู้ว่าได้นอนไปกว่าสิบชั่วโมง ความรู้สึกเวลานี้นั้นร่างกายกระปรี้กระเปร่าอาจเป็นเพราะได้รับสารอาหารจากผลไม้ทิพย์นั้นด้วย ไกรศักดิ์ลุกเดินไปที่แอ่งน้ำวักขึ้นดื่มและลูบหน้าลูบตาให้สว่างแจ่มใสขึ้น เขาเปลี่ยนท่านั่งคุกเข่าล้างหน้าเป็นขัดสมาธิอยู่ที่ริมแอ่งเพ่งมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่ขาวสว่างเรืองอยู่นั้นครู่ใหญ่ เมื่อรู้สึกว่ายังไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลยเขาจึงเปลี่ยนวิธีใหม่เป็นหลับตาลงเข้าสู่กรรมฐาน เพียงไม่นานจิตของผู้มากบารมีก็สัมผัสกับผู้บอกกล่าวในกระแสจิต
“ท่านจะมิอับจน” เสียงนั้นเริ่มส่งมา
“ฉันกำลังค้นหาทางออกอยู่” จิตของผู้อยู่ในกรรมฐานบอก
“เหล่าท่านจะรู้เมื่อเพลามาถึง” เสียงบอกเงื่อนเวลา
“ใยท่านจึงมิคิดผันผ่อนกายอีกทั้งปัญญาให้เข้มแข็งเสียก่อน” เสียงกล่าวเตือน
“หากมิรีบร้อนผองเราเกรงจะมิทันกาล” จิตของกรรมฐานกล่าวความจำเป็น
“กาลของเหล่าท่านนั้นเอาประการใดมากำหนด” เสียงกล่าวเตือนด้วยแง่คิด
“ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจปลดคำถามเวลาด้วยปัญญาตนได้” จิตกรรมฐานเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเมื่อเริ่มรู้รับว่าไม่ใช่เสียงของท่านผา
ธารทิพย์ บทที่ 39
ท่านพ่อไกรศักดิ์ พรานโละ โจและเหมียวนั่งลงมองไปรอบตัว ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา ด้วยความรู้สึกทั้งดีใจและยำเกรงในสภาพพื้นที่ที่เห็นรอบๆ
องค์พญายมราช มหาเทพแห่งความตายผู้ยิ่งใหญ่ได้ประทานบททดสอบความอุตสาหะแก่พวกเขาในเบื้องต้น ด้วยการเดินเท้าที่แสนเข็ญในโพรงถ้ำสีดำ อดอยากหนาวเย็นเจียนตาย และบทพิสูจน์ที่สำคัญอีกบทหนึ่งที่แสดงให้ประจักษ์ต่อสายพระเนตรแล้วว่า มนุษย์ขี้ผงผู้อยู่ในหน้าที่ทัพหน้ามันพร้อมสละชีวิตเพื่อผู้อื่นได้จริง อันเพลานี้ยังนอนหมดสติรอพระเมตตาของพระองค์อยู่
รอบกายของครอบครัวทั้งหกชีวิตคือโพรงถ้ำขนาดใหญ่ พื้นถ้ำนั้นประมาณด้วยสายตาสักสองร้อยตารางวาไม่ขาดเกินกว่ามากนัก ผนังและเพดานถ้ำประดับประดาด้วยผงแร่ไปจนทั่วส่งแสงประกายขาว น้ำเงินและเหลืองระยิบระยับสะท้อนรับแสงสว่างที่ขึ้นมาจากกลางพื้นถ้ำอันเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่รูปวงรี ทั่วทั้งถ้ำจึงสว่างเรืองด้วยแสงที่สะท้อนไปมา
พุ่มไม้รูปทรงประหลาดรวมกลุ่มกันอยู่สี่ห้าพุ่มสูงขนาดเทียมอก กิ่งก้านสีดำเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ใบของต้นนั้นหยักเป็นสามแฉกคล้ายกับสามง่ามที่ใช้เป็นอาวุธ หากแต่ปลายกิ่งทุกกิ่งแปะปลายไว้ทั่วทั้งพุ่มด้วยผลคล้ายมะปรางสีเหลืองอมแสด ผิวของมันนวลอร่ามล่อตาล่อใจสิ่งมีชีวิตที่หิวโหยไส้แทบขาดอยู่ขณะนี้นัก
พวกเขานั่งมองไปที่พุ่มไม้ที่อุดมด้วยผลดกนั้นด้วยความรู้สึกเดียวกัน
“เราได้พระเมตตาให้พักเอาแรงบ้างรึเปล่าครับ” โจพูดทำลายความเงียบขึ้นเบาๆ
“ลุงก็คิดอย่างนั้นนะ” ท่านลุงไกรศักดิ์ตอบ
“คุณลุงว่าผลไม้นั่นทานได้มั้ยครับ” โจถามแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
“ลุงกำลังบังอาจประเมินพระประสงค์ขององค์ท่านอยู่ ว่าประทานให้หรือยั่วเย้าดูความอดทน” ลุงไกรตอบ
“ให้ฉันลองก่อนดีรึไรนายท่าน” พรานโละอาสาทดลอง
“ลุงประเมินว่าเรายังมองไม่เห็นทางออกไปภายนอก พระองค์น่าจะเมตตาประทานเรี่ยวแรงให้บ้าง” ลุงไกรพูด
พูดจบแล้วท่านแม่ทัพลุกขึ้นเดินไปยังพุ่มไม้นั้น เขายืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหลับตาลงเพื่ออธิษฐานจิต
“ข้าแต่องค์พญายมราช บัดนี้เหล่าข้าพระพุทธเจ้าสิ้นเรี่ยวแรงจะต่อสู้ ขอพระเมตตาด้วยเถิด” ไกรศักดิ์ตั้งจิตขอ
ไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นแล้วเอื้อมมือไปปลิดผลไม้นั้นใส่ปากเคี้ยวไป โจ เหมียวและพรานโละรีบลุกขึ้นตามไปยืนอยู่ข้างๆลุงไกรเพื่อเตรียมช่วยเหลือหากมีอะไรเกิดขึ้น
“ผลไม้นี่หอมหวานไม่มีเมล็ด ตั้งจิตไหว้สำนึกพระกรุณาแล้วกินได้” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด
ทั้งสามคนก้มลงตั้งจิตกราบที่พื้นเพื่อแสดงความสำนึกในพระกรุณา รวมถึงสร้อยแก้วที่นั่งดูแลพีอยู่ก็กราบลงที่พื้นด้วยเช่นกัน
“ค่อยๆกินแค่พออิ่มก่อนนะทุกคน” ท่านลุงไกรศักดิ์พูด เขาไม่อยากแสดงความละโมบของมนุษย์ออกมา
“สร้อยแก้วรับไว้” เหมียวรีบปลิดมาห้าหกลูกเดินมาให้สร้อยแก้วก่อน
“จ้ะพี่” สร้อยแก้วยกมือไหว้รับผลไม้ไว้ แล้วหันไปมองพี
“กินซะก่อนจะได้มีแรง ไม่ต้องห่วงพี่พี เดี๋ยวฟื้นขึ้นมาก็มีกินอีก” เหมียวยิ้มพูดแล้วเดินไปปลิดกินเองบ้าง
ผลไม้ทิพย์คนละห้าหกผลที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานให้อยู่ในท้องของทุกคนพอให้ได้มีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ท่านไกรศักดิ์เดินไปที่ริมแอ่งน้ำคุกเข่าก้มลงมอง เขายกมือไหว้ก่อนแล้วจึงวักขึ้นมาดื่ม
พรานโละ โจและเหมียวมานั่งอยู่ด้วย สร้อยแก้วจึงลุกขึ้นเดินตามมาเพื่อดื่มน้ำนั้น ทุกคนจ้องมองลงไปในน้ำที่ใสดังกระจกพยายามมองดูพื้นของแอ่งน้ำว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
“ขาวเรืองสว่างเลยนะ” โจพูด
“นั่นสิ” เหมียวพูดตายังคงจ้องมองอยู่
“คุณว่าจะมีโพรงใต้น้ำให้เรามุดออกไปมั้ย” โจพูด
“ภาวนาให้มีก็แล้วกันนะเหมียวว่า” หญิงสาวตอบ
“โอย..” เสียงลากครางยาวๆดังมาจากทัพหน้าที่นอนสลบอยู่
ทั้งหมดถลันพรวดเข้าไปหาทันที
“ไอ้พี ไอ้พี” โจร้องเรียกเมื่อนั่งลงข้างๆ
“ท่านพี่ ท่านพี่” สร้อยแก้วร้องเรียกด้วยนั่งลงอีกข้างหนึ่ง
“โอย..” พีครางค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น
“เป็นยังไงบ้างไอ้พี” โจเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
พีกรอกตามองทุกคนแล้วหลับตาหน้าเหยครางด้วยความเจ็บระบม
“โอย..” พียังคงครางอยู่
“พี เจ็บตรงไหนบ้างลูก” ลุงไกรถามเบาๆ
พีลืมตาจ้องหน้าลุงไกรอยู่อย่างนั้นแล้วเอ่ยปากเมื่อสำนึกความจำเริ่มกลับมา
“นี่.ตาย.กัน.หมดแล้ว.เหรอ.” พีลากเสียงถามด้วยความเจ็บระบม
“ยังไอ้พี เอ็งก็ยังไม่ตาย” โจบอก
ทัพหน้ากรอกตามองไปทีละคนจนหยุดอยู่ที่สร้อยแก้ว
“สร้อยแก้ว.ไม่เป็น.อะไร.ใช่มั้ย.” พีถาม เขาพยายามยกมือขึ้นจะสัมผัสใบหน้าเธอ
“สร้อยแก้วอยู่นี่จ้ะ” หญิงสาวตอบน้ำตารินด้วยความดีใจ เธอยกมือเขาขึ้นแนบแก้มของเธอไว้
“เจ็บมากมั้ยพี่พี เจ็บหน้าอกใช่มั้ย” เหมียวถาม
พีหลับตาพยักหน้ารับหน้าเหยอีกครั้งเมื่อกลับไปจับความรู้สึกตัวเอง
“เจ็บตรงไหนมากๆบ้างมั้ย” ลุงไกรก้มหน้าไปถาม
พีส่ายหน้าช้าๆ
“แค่ระบมหน้าอกใช่มั้ย” ลุงไกรถามต่อ
พีพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นลูกนอนพักก่อนนะ ตื่นขึ้นมามีผลไม้ให้กิน” ลุงไกรบอก
พีพยักหน้ารับรู้แต่ยังไม่มีสติสมบูรณ์ที่จะสงสัยว่าผลไม้มาจากไหน
ทั้งห้าคนต่างถอนหายใจโล่งอกไปตามๆกัน สร้อยแก้วก้มลงเอาแก้มแนบกับหน้าผากชายหนุ่มไว้ เธอรู้สึกดีใจเหลือล้นที่ได้คนที่เธอรักกลับคืนมา พีนอนกระพริบตาปริบๆพยายามรวบรวมสติและความจำให้ชัดเจนขึ้น
ท่านลุงไกรศักดิ์ลุกขึ้นเดินไปหยุดมองช่องของโพรงถ้ำที่พวกเขาโหนเชือกไถลตัวลงมา
“พวกเรามาดูอะไรนี่” ท่านลุงเรียก
พรานโละ โจ เหมียวเดินเข้ามาหา สร้อยแก้วยังคงนั่งอยู่กับพี ท่านไกรศักดิ์ชี้นิ้วให้ดูแอ่งน้ำหน้าช่องโพรง น้ำในแอ่งไหลทวนขึ้นมายังช่องโพรงที่สูงกว่าขึ้นไปแล้วไปรินลงอีกครั้งเข้าสู่พื้นถ้ำอันมืดมิดที่พวกเขาเดินเข้ามา ไหลยาวตามพื้นถ้ำแล้วออกไปตกลงสู่ลำธารเชี่ยวกรากที่ก้นเหวด้านนอก
ท่านลุงชะโงกหน้าเข้าไปเปิดไฟฉายสาดแสงสำรวจช่องโพรงอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ถึงระเบิดไดนาไมท์สองแท่งที่พีจุดขึ้น ครู่ใหญ่จึงดึงตัวกลับออกมา
“มีแต่เศษของแท่งระเบิดที่กลางช่องโพรงนี่แค่นั้น” ท่านลุงพูด
“ไม่ระคายผิวเลยสักนิด” ท่านลุงพูดต่อ
“ระเบิดแตกตัวค่อนมาด้านล่างนี้แล้ว ผิวน้ำในแอ่งเลยซับแรงอัดไว้” ท่านลุงวิเคราะห์
“แต่ที่ลุงพูดนี่พิจารณาแบบเหตุผลของมนุษย์นะ”
“พญายมราชพระองค์คงอยากพิสูจน์จิตใจมนุษย์มากกว่า” ลุงไกรพูดแล้วมองไปที่พี
“พระองค์เห็นแล้วใช่มั้ยคะ” เหมียวพูด
“ขอทรงโปรดเมตตาผู้น้อยด้วย” โจพูดแล้วยกมือไหว้ไปรอบๆ
“อากาศในถ้ำนี้เย็นสบายจังเลยนะคะ” เหมียวพูด
“ใช่ครับ ต่างจากถ้ำที่เราเดินกันมามากมายเลย” โจพูดเสริม
“พวกเราพักกันสักระยะให้มีเรี่ยวแรงมากขึ้นแล้วค่อยหาทางกันต่อ” ท่านลุงพูด
“ผลไม้ที่พุ่มนั่น กินพออิ่มก็พอนะ อย่าปลิดมาเก็บตุนเป็นอันขาดนะพวกเรา” ท่านลุงบอกสั่ง
ทุกคนพยักหน้ารับทราบ
สร้อยแก้วค่อยๆประคองพีให้ชันตัวขึ้นนั่งแล้วประคองหลังไว้ให้
“ท่านพ่อจ๊ะ” สร้อยแก้วร้องเรียกท่านพ่อไกรศักดิ์
“อ้าวพี เป็นยังไงบ้างลูก” ท่านลุงพูดแล้วรีบเดินไปหา อีกสามคนจึงตามไปด้วย
ครอบครัวกลับมาล้อมวงกันรอบๆตัวพีที่กำลังเริ่มเหลียวมองซ้ายขวาอย่างงุนงง
“เป็นยังไงบ้างคะพี่พี” เหมียวถามจับมือเขาไว้
“เจ็บหน้าอก” พีตอบเสียงแผ่ว
“พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ยไอ้พี เดี๋ยวไปเอาผลไม้มาให้” โจถาม
“สร้อยแก้วจะไปเอามาให้จ้ะ” สร้อยแก้วพูด
“ไม่เป็นไร สร้อยแก้วนั่งเถอะ พี่ไปเอามาให้เอง” โจพูดแล้วเดินไปปลิดผลไม้มาห้าหกผล
โจเดินกลับมาส่งผลไม้ให้สร้อยแก้วถือไว้ให้แล้วใส่มือพีทีละลูก ทัพหน้าของครอบครัวก้มมองผลไม้สีสวยในมือ
“เอามาจากไหน” พีถามเบาๆ
“เดี๋ยวหายดีแล้วค่อยเล่า ตอนนี้ลูกกินให้มีแรงซะก่อน รสอร่อยมากนะ” ลุงไกรยิ้มพูดกับเขาเบาๆ
พีใส่ปากเคี้ยวที่ละลูกจนหมด
“เอาอีกมั้ยคะพี่” เหมียวถาม
พีส่ายหน้าช้าๆ
“อิ่มแล้วเหมียว ขอบคุณนะ” พีตอบเธอหน้ายิ้มเซียวๆ
“นี่เป็นเวลาพักเอาแรงกันจริงๆเลยนะ ไม่ต้องนั่งยาม อากาศเย็นสบาย ใครหิวลุกไปปลิดผลไม้กิน หิวน้ำก็ในแอ่งนั่นนะ ใครอยากหลับๆได้เลย” ท่านลุงไกรศักดิ์พูดทำความเข้าใจกับทุกคน
“พี ลูกไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ” ลุงไกรหันไปถาม
“แค่ยังเจ็บหน้าอกครับ” พีตอบเบาๆ
สร้อยแก้วกับเหมียวประคองให้พีนอนลง สร้อยแก้วขยับเตรียมจะนอนดูแลเขาอยู่ใกล้
“พี่พีนอนหลับพักยาวไปเลยนะ ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล” เหมียวบอกเขา
“ขอบคุณมากเหมียว” พียิ้มเจื่อนตอบด้วยเสียงคนป่วย
ท่านลุงไกรศักดิ์เอนหลังลงแตะพื้น พรานโละเดินวนรอบแอ่งน้ำมองลงครู่หนึ่งแล้วกลับมานอนลงใกล้กับนายท่าน เหมียวจัดเป้หลังเป็นหมอนสองใบใกล้กันแล้วนอนลงดึงมือโจที่นั่งอยู่ให้นอนข้างๆ
“นอนซะ เต็มตื่นมีแรงแล้วค่อยสู้ต่อ” เธอยิ้มบอกเขา
“ครับ” โจรับคำแล้วจึงนอนลงข้างเธอ
ไม่กี่อึดใจ หกชีวิตที่ต่อสู้ตรากตรำมาจนอ่อนล้าสายตัวแทบขาดก็หลับสนิทอย่างเป็นสุขที่สุดในเวลานี้ เวลาที่ไม่รู้ด้วยว่าเป็นกลางคืนหรือกลางวัน ความสว่างที่เรืองสวย ความระยิบระยับของเพดานและผนังถ้ำบวกกับความเย็นสบายของอากาศกำลังพอเหมาะรอบตัว โอบอุ้มพวกเขาไว้ในนิทรารมย์อันแสนสุข
เวลาล่วงผ่านไป
ท่านไกรศักดิ์ลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับที่สนิทที่สุดในรอบกว่าเดือนที่ผ่านมา เขายกข้อมือขึ้นดูเวลาจึงรู้ว่าได้นอนไปกว่าสิบชั่วโมง ความรู้สึกเวลานี้นั้นร่างกายกระปรี้กระเปร่าอาจเป็นเพราะได้รับสารอาหารจากผลไม้ทิพย์นั้นด้วย ไกรศักดิ์ลุกเดินไปที่แอ่งน้ำวักขึ้นดื่มและลูบหน้าลูบตาให้สว่างแจ่มใสขึ้น เขาเปลี่ยนท่านั่งคุกเข่าล้างหน้าเป็นขัดสมาธิอยู่ที่ริมแอ่งเพ่งมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่ขาวสว่างเรืองอยู่นั้นครู่ใหญ่ เมื่อรู้สึกว่ายังไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลยเขาจึงเปลี่ยนวิธีใหม่เป็นหลับตาลงเข้าสู่กรรมฐาน เพียงไม่นานจิตของผู้มากบารมีก็สัมผัสกับผู้บอกกล่าวในกระแสจิต
“ท่านจะมิอับจน” เสียงนั้นเริ่มส่งมา
“ฉันกำลังค้นหาทางออกอยู่” จิตของผู้อยู่ในกรรมฐานบอก
“เหล่าท่านจะรู้เมื่อเพลามาถึง” เสียงบอกเงื่อนเวลา
“ใยท่านจึงมิคิดผันผ่อนกายอีกทั้งปัญญาให้เข้มแข็งเสียก่อน” เสียงกล่าวเตือน
“หากมิรีบร้อนผองเราเกรงจะมิทันกาล” จิตของกรรมฐานกล่าวความจำเป็น
“กาลของเหล่าท่านนั้นเอาประการใดมากำหนด” เสียงกล่าวเตือนด้วยแง่คิด
“ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจปลดคำถามเวลาด้วยปัญญาตนได้” จิตกรรมฐานเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเมื่อเริ่มรู้รับว่าไม่ใช่เสียงของท่านผา