ตอนแรก
http://pantip.com/topic/33309892
ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/33315124
3
สิ่งที่เหลืออยู่
“พอมาดูของจริงแล้ว ค่อยเข้าขั้นสมชื่อสัตว์ร้ายหน่อย”
ทินพูดขณะกวาดสายตาไปรอบๆ ส่วนเนียร์กลับคิดว่ามันต่างไปจากเมื่อคืนนี้มากพอดู
สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ไม่มีศพ หรือเศษชิ้นส่วนบางชิ้นและกองเลือดเลย แต่เศษกระจกที่แตกนั้นยังคงอยู่เหมือนเดิมและบางร้านมีการจัดของกันใหม่ แต่จากที่สังเกตนั้น ไม่เห็นมีใครสนใจ และเข้าไปซื้อของกันเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นึกว่านายตั้งความหวังไว้มากกว่านี้ซะอีก” เนียร์มีท่าทีผิดหวังกับเกณฑ์ที่คนข้างตัวตั้งเอาไว้
“แล้วคิดว่าฉันตั้งไว้ขนาดไหนกันล่ะ” ทินถามพร้อมลากเธอมาติดกับกำแพงเพื่อไม่ให้ขวางทางคนเดิน
“ก็...ยังเห็นศพเกลื่อน รอยเลือดสาดกระจาย ตึกถล่มทลายไปสักหลังสองหลัง ...ประมาณเนี้ย” ถึงจะไม่รู้สึกตัว แต่เนียร์กลับพูดเรื่องน่ากลัวออกมาให้เห็นเป็นฉากๆ ได้หน้าตาเฉย
ทินเกาแก้มตัวเอง “เฮ้อ ฉันลดเกณฑ์ลงมาตั้งแต่เธอบอกว่ามีคนตายแค่ 8 คนแล้ว ขนาดแค่นี้ยังแอบเสียดายนิดๆ เลย แต่ว่า...เธอพูดผิดอยู่อย่างนะ” ทินชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงระดับสายตา ก่อนจะใช้ชี้ไปที่กลางถนน “ใครว่าไม่มีรอยเลือดให้เห็นกันล่ะ”
ด้วยความสงสัย เนียร์จึงไปตรงจุดที่ทินชี้ ชันเข่าก้มลงมองดู ปลายนิ้วสัมผัสพื้นตรงที่ยังมีรอยเข้มกว่าจุดอื่นและไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือรอยอะไร
ปิ๊น! ปิ๊น!
“เฮ้ย! นั่งตรงนี้อยากตายรึไงวะ” รถยนต์คันหนึ่งบีบแตรไล่
“อะ! ขอโทษค่ะ” เธอผงกหัวขอโทษรีบขึ้นทางเท้าทันที ลืมไปว่าจุดที่ทินชี้มันอยู่กลางถนน ถึงจะไม่ใช่ความผิดของคนบอก แต่พอเห็นทินกำลังเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะเต็มที่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้
“ขำอะไรของนาย”
“เปล่านี่ หึๆ” ยังมีหลุดออกมาอีกทำเอาเนียร์หน้ามุ่ย เธอเห็นบางคนแถวนี้บ้างก็แอบหัวเราะบ้างก็ส่ายหน้าเอือม แต่จะแบบไหนก็ไม่ดีเลยสักนิด
นี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนะ! เนียร์สบถดังๆ ในใจ พลางมองตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกจำเป็น ซึ่งดูเหมือนว่าจะหยุดหัวเราะได้แล้วและพูดว่า
“คนในเมืองนี้ก็แปลกดีนะ”
ถึงแม้จะยังหงุดหงิดเรื่องเมื่อกี้ไม่หาย และอยากสวนคืนแทบขาดใจว่านายต่างหากที่แปลกพิลึกพิสดารกว่าเมืองนี้หลายเท่า แต่เนียร์จำต้องเก็บคำนั้นไว้ เพราะรู้ดีว่าชายคนนี้ ด่าอะไรไปไม่เคยจะสำนึกหรอก มันด้าน! แล้วจบลงตรงที่เธอต้องกัดฟันถามกลับ
“ตรงไหน”
“ก็ขนาดมีคนตายซะตั้งขนาดนั้น ถูกสัตว์ประหลาดอาละวาดซะขนาดนี้ ไม่แตกตื่นกันเลยสักนิด แถมยังไม่มีใครพูดถึงเลยสักคำ มันแปลกมั้ยล่ะ”
ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยของมนุษย์ ที่หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้ลือกันถึงเรื่องนี้ไม่หยุดปากแน่นอน ทว่านี่กลับเงียบสนิท
ทินพูดจบก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่นั่นเป็นรอยยิ้มสื่อว่า ‘ชักมีอะไรไม่ชอบมาพากล’ ทำให้คนคิดจะพูดจิกนึกขึ้นได้ทันที เนียร์มองฝูงคนที่เดินไปมาตามทางเท้าด้วยความสงสัย...
ทุกอย่าง...เป็นปกติจนเกินไป ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงฝันร้าย ไม่ใช่เรื่องจริง
“มันชักจะ ’

ๆ แล้วว่ามั้ย” คราวนี้เนียร์เห็นด้วยกับพี่ชายอย่างแรง
เสียงกระดิ่งหน้าร้านขายของที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเรียกความสนใจเนียร์ไป มีหญิงชราคนหนึ่งออกมากวาดเศษกระจกที่แตกไปตั้งแต่เมื่อคืน
เนียร์เหม่อมองเพียงชั่วครู่ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วรีบข้ามถนนไปหาหญิงชราคนนั้นทันทีโดยไม่คิดจะหันมาบอกทินก่อน ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจกับการกระทำของเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจความคิดของน้องสาวอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตามไปอีกคน
ถ้าอยากรู้ว่าเมื่อคืนมีอะไรที่ทำให้คนในเมืองไม่ปกติเช่นนี้ล่ะก็...ไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงเลยละกัน
“คุณป้าคะ ขอโทษนะคะ” เนียร์เรียกหญิงสูงวัยคนนั้น
คนถูกเรียกหันมามอง คิดว่าเธอจะถามเกี่ยวกับของที่จะซื้อ แต่แล้วก็ร้องโหวกเหวกทันทีที่เนียร์เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืน จนคนเป็นฝ่ายถามสะดุ้งตกใจเอง
เนียร์มองอีกฝ่ายที่ร้องว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นอย่างไม่เชื่อใจนัก เพราะอาการมันแสดงโจ่งแจ้งเลยว่าต้องรู้เรื่องเมื่อคืนนี้แน่นอน
แต่สภาพในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะคาดคั้นถามเลยจริงๆ เมื่อมีใครหลายคนพากันมองพวกเธอสองคนอย่างสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น หากพูดแล้วจบแค่นั้น เนียร์จะไม่ว่าสักคำ แต่นี่มีบางคนพูดแล้วชี้นิ้วมาทางเธอพร้อมกับหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างตัวต่ออีก...นี่หรอกที่รับไม่ได้
เมื่อกี้ต้องรับบทเป็นตัวตลกจำเป็นยังไม่พอ นี่ยังต้องมาเป็นผู้ต้องสงสัยทำร้ายร่างกายคนแก่จนเสียสติอีกหรือไง ถึงไม่ได้ยินแต่เด็กสาวก็เชื่อเลยว่า คนพวกนั้นต้องกล่าวโทษกับเธอแบบนี้แน่
ก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปมากกว่านี้ เนียร์ก็คว้าต้นแขนของอีกฝ่ายมาจับไว้แน่นทั้งสองข้าง บีบเล็กน้อยพอให้รู้สึกตัว
“คุณป้าคะ ฟังหนูพูดก่อนค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเบาทว่าเน้นหนัก เป็นทำนองออกคำสั่งว่า ‘ฟังตรูด้วยโว้ย’
หญิงชรายอมฟังแต่โดยดี แม้จะยังมีท่าทีสั่นๆ อยู่ก็ตาม
“เมื่อคืนนี้คุณป้าคงรู้เรื่องเหตุการณ์นั่นใช่มั้ยคะ” เนียร์รู้คำตอบนั้นอยู่แล้วจึงพูดต่อ “หนูแค่อยากรู้ว่าทำไมไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนั้นเลยสักคน”
อีกฝ่ายหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวว่าจะมีใครแอบฟังอยู่ พอทำท่าจะพูดอะไรออกมาก็หุบปากเงียบทันที เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสีดำแซมทองที่เพิ่งข้ามถนนเข้ามาหยุดฟังด้วย
เนียร์เห็นแล้วรีบอธิบายว่าเป็นพี่ชายตัวเอง ทำให้หญิงชรายอมพูดต่อ
จากที่อีกฝ่ายเล่ามา ทำให้ทั้งสองคนรู้ว่า ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ พวกเธอไม่ได้อุปาทานขึ้นมาเอง เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลแล้ว ตอนนั้นเองที่คนกลุ่มนั้นปรากฏตัวขึ้น
เหล่ากลุ่มคนในชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการ ที่เหมือนมีเวทมนตร์ลบความทรงจำของผู้คนจำนวนมากได้ด้วยเงินชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด ออกค่าพยาบาลให้ และเงินกองโตสำหรับคนที่ตายไป โดยแลกกับว่าพวกเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครทั้งสิ้น
หญิงชราเล่าพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเงินที่ได้มา เพราะตัวเองอยู่ตัวคนเดียว ลูกหลานก็ย้ายไปที่อื่นหมด ทำให้ไม่มีใครที่รักบาดเจ็บหรือตาย แถมแค่กระจกแตกนิดหน่อยก็ได้เงินเป็นจำนวนมากแล้ว
เด็กสาวฟังแล้วรู้สึกว่า หญิงแก่คนนี้ไม่ได้เศร้าใจหรือเห็นใจครอบครัวที่มีคนตายเลยสักนิด ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงที่น่าจะเป็นเพื่อนบ้านกันแท้ๆ ขนาดเธอยังรู้สึกเศร้าเลยทั้งที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลยสักนิด
...จริงสิ...ก็จะไม่ให้รู้สึกอย่างนี้ได้ไงล่ะ ในเมื่อต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องตาย มันคือเธอนี่นา
ความรู้สึกผิดเริ่มเข้าจู่โจมอีกครั้ง จนเนียร์ต้องยกมือขึ้นกอดตัวเองที่เริ่มสั่นอย่างคุมไม่อยู่ ภาพเมื่อคืนถูกกรอเล่นใหม่ในหัว
ทันใดนั้นเอง มือใหญ่ของคนที่คอยเฝ้ามองอยู่ก็เข้ามาวางบนบ่าของเนียร์ ทำให้เธอหันไปมองเจ้าของมือที่ช่วยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจได้ในยามแบบนี้
คนที่ปกติจะใช้ปากพูดกวนตลอดเวลาจนน่าโมโหน่าหาอะไรมายัดปากซะ บัดนี้กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้พร้อมบีบบ่าเธอเป็นทำนองว่า ตราบใดที่เขายังอยู่ เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
เนียร์แทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นพี่ชายคนเดียวกันกับที่เธอเคยรู้จักมาก่อน แต่นั่นทำให้ความรู้สึกอึดอัดจนร่างกายหนาวสั่นค่อยๆ หายไป ความอุ่นใจจนแทบอยากจะร้องไห้แต่ยังฝืนได้อยู่เริ่มเข้ามาแทนที่ ทำให้เธอกล้าเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง เนียร์ยิ้มให้และพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว ก่อนจะตั้งคำถามกับหญิงชราต่อ
“แล้วคุณป้ารู้รึเปล่าคะว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน” หญิงแก่ตอบทันควัน “ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนหรอก”
แน่ละ เขาเป็นใครไม่สน สนแต่เงินที่ให้มาก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ เนียร์เหน็บแนมในใจอย่างอดไม่ได้
“ว่าแต่...แม่หนู อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียว เพราะมันจะทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้ามาในเมือง ไม่เป็นอันทำมาหากินกันพอดี”
เนียร์พยักหน้ารับ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกลับเข้าร้านไป
ดวงตาสีดำหันมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาตามปกติ...ผู้คนที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังเดินอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยคนตายเมื่อคืนนี้
เด็กสาวกำมือแน่น คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ถึงได้มาปิดปากคนในเหตุการณ์ไม่ให้เรื่องรั่วไหล...ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นแน่นอน เธอเชื่อเช่นนั้น แล้วควรทำอย่างไรดีนะ ถึงจะมีทางรู้ได้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร และมีจุดประสงค์อะไร
“เฮ้ เนียร์ ถามอะไรหน่อยสิ” เสียงเรียกของคนที่เงียบมานานจนถึงเมื่อกี้ดังขึ้น ให้อีกฝ่ายที่ยังจมอยู่ในความคิดของตัวเองถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“มีอะไร”
“เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้เด็ดหัวใครไว้รึเปล่า”
คำถามแปลกๆ ที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ ดึงความคิดของเธอให้ไปสนใจคนตั้งคำถามที่กำลังเงยหน้ามองบางอย่างอยู่ แบบที่เธอคิดว่าคงมองดูท้องฟ้าทั่วไป
“นายจะรู้ไปทำไมล่ะ” เนียร์ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสนวิธีฆ่าคนของสัตว์ประหลาดนั่นไปทำไม
ทินไม่ยอมตอบ และยังถามซ้ำ “มีรึเปล่าล่ะ”
“...ก็คงมีมั้ง” เธอไม่ได้สนใจจะมองการฆ่าคนเมื่อคืนนี้เสียด้วยสิ ใครที่ไหนมันจะบ้าไปยืนมองกัน
“แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าพวกนั้นเจอศพไม่มีหัวบ้างมั้ย”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า แล้วนายรู้ได้ไงว่ามีคนถูกเด็ดหัว” เนียร์ถามอย่างอดไม่ไหว
แทนคำตอบ ทินชี้มือไปบนตึกสูงหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามพวกเธอพอดี
เนียร์มองตามไป ตอนแรกนั้นยังไม่เห็นอะไร แต่พอสังเกตดีๆ แล้วถึงได้รู้ เป็นภาพที่ทำเอาขาเธอแทบทรุด
ภาพของหัวของผู้ชายคนหนึ่งถูกเสียบไว้กับเสาธงชาติที่ยื่นออกมาจากผนังตึก ถ้าไม่สังเกตคงไม่มีใครเห็น คนเบื้องล่างที่เดินซื้อของอย่างสบายใจโดยหารู้ไม่ว่า บนเหนือหัวของตัวเองมีหัวคนถูกเสียบประจานอยู่อย่างน่าอนาถ
เนียร์หน้าซีดเผือดหันกลับมามองชายที่ยังยืนมองอย่างหน้าตาเฉย ทินส่งยิ้มสนุกราวกับคนละคนที่ช่วยเป็นกำลังใจให้เมื่อครู่ลิบลับ แถมยังพูดอีกว่า
“ฉันว่า...ไปเรียกคนมาเก็บก่อนที่จะมีคนมาเห็นอีกดีกว่านะ ไม่งั้นได้ตกใจกันยกใหญ่แน่”
จบตอนที่ 3
ฺฺBe Careful!! เด็กอันตราย ตอนที่ 3
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/33315124
สิ่งที่เหลืออยู่
“พอมาดูของจริงแล้ว ค่อยเข้าขั้นสมชื่อสัตว์ร้ายหน่อย”
ทินพูดขณะกวาดสายตาไปรอบๆ ส่วนเนียร์กลับคิดว่ามันต่างไปจากเมื่อคืนนี้มากพอดู
สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ไม่มีศพ หรือเศษชิ้นส่วนบางชิ้นและกองเลือดเลย แต่เศษกระจกที่แตกนั้นยังคงอยู่เหมือนเดิมและบางร้านมีการจัดของกันใหม่ แต่จากที่สังเกตนั้น ไม่เห็นมีใครสนใจ และเข้าไปซื้อของกันเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นึกว่านายตั้งความหวังไว้มากกว่านี้ซะอีก” เนียร์มีท่าทีผิดหวังกับเกณฑ์ที่คนข้างตัวตั้งเอาไว้
“แล้วคิดว่าฉันตั้งไว้ขนาดไหนกันล่ะ” ทินถามพร้อมลากเธอมาติดกับกำแพงเพื่อไม่ให้ขวางทางคนเดิน
“ก็...ยังเห็นศพเกลื่อน รอยเลือดสาดกระจาย ตึกถล่มทลายไปสักหลังสองหลัง ...ประมาณเนี้ย” ถึงจะไม่รู้สึกตัว แต่เนียร์กลับพูดเรื่องน่ากลัวออกมาให้เห็นเป็นฉากๆ ได้หน้าตาเฉย
ทินเกาแก้มตัวเอง “เฮ้อ ฉันลดเกณฑ์ลงมาตั้งแต่เธอบอกว่ามีคนตายแค่ 8 คนแล้ว ขนาดแค่นี้ยังแอบเสียดายนิดๆ เลย แต่ว่า...เธอพูดผิดอยู่อย่างนะ” ทินชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงระดับสายตา ก่อนจะใช้ชี้ไปที่กลางถนน “ใครว่าไม่มีรอยเลือดให้เห็นกันล่ะ”
ด้วยความสงสัย เนียร์จึงไปตรงจุดที่ทินชี้ ชันเข่าก้มลงมองดู ปลายนิ้วสัมผัสพื้นตรงที่ยังมีรอยเข้มกว่าจุดอื่นและไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือรอยอะไร
ปิ๊น! ปิ๊น!
“เฮ้ย! นั่งตรงนี้อยากตายรึไงวะ” รถยนต์คันหนึ่งบีบแตรไล่
“อะ! ขอโทษค่ะ” เธอผงกหัวขอโทษรีบขึ้นทางเท้าทันที ลืมไปว่าจุดที่ทินชี้มันอยู่กลางถนน ถึงจะไม่ใช่ความผิดของคนบอก แต่พอเห็นทินกำลังเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะเต็มที่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้
“ขำอะไรของนาย”
“เปล่านี่ หึๆ” ยังมีหลุดออกมาอีกทำเอาเนียร์หน้ามุ่ย เธอเห็นบางคนแถวนี้บ้างก็แอบหัวเราะบ้างก็ส่ายหน้าเอือม แต่จะแบบไหนก็ไม่ดีเลยสักนิด
นี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนะ! เนียร์สบถดังๆ ในใจ พลางมองตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกจำเป็น ซึ่งดูเหมือนว่าจะหยุดหัวเราะได้แล้วและพูดว่า
“คนในเมืองนี้ก็แปลกดีนะ”
ถึงแม้จะยังหงุดหงิดเรื่องเมื่อกี้ไม่หาย และอยากสวนคืนแทบขาดใจว่านายต่างหากที่แปลกพิลึกพิสดารกว่าเมืองนี้หลายเท่า แต่เนียร์จำต้องเก็บคำนั้นไว้ เพราะรู้ดีว่าชายคนนี้ ด่าอะไรไปไม่เคยจะสำนึกหรอก มันด้าน! แล้วจบลงตรงที่เธอต้องกัดฟันถามกลับ
“ตรงไหน”
“ก็ขนาดมีคนตายซะตั้งขนาดนั้น ถูกสัตว์ประหลาดอาละวาดซะขนาดนี้ ไม่แตกตื่นกันเลยสักนิด แถมยังไม่มีใครพูดถึงเลยสักคำ มันแปลกมั้ยล่ะ”
ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยของมนุษย์ ที่หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วจริงๆ ล่ะก็ ป่านนี้ลือกันถึงเรื่องนี้ไม่หยุดปากแน่นอน ทว่านี่กลับเงียบสนิท
ทินพูดจบก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่นั่นเป็นรอยยิ้มสื่อว่า ‘ชักมีอะไรไม่ชอบมาพากล’ ทำให้คนคิดจะพูดจิกนึกขึ้นได้ทันที เนียร์มองฝูงคนที่เดินไปมาตามทางเท้าด้วยความสงสัย...
ทุกอย่าง...เป็นปกติจนเกินไป ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงฝันร้าย ไม่ใช่เรื่องจริง
“มันชักจะ ’
เสียงกระดิ่งหน้าร้านขายของที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเรียกความสนใจเนียร์ไป มีหญิงชราคนหนึ่งออกมากวาดเศษกระจกที่แตกไปตั้งแต่เมื่อคืน
เนียร์เหม่อมองเพียงชั่วครู่ ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วรีบข้ามถนนไปหาหญิงชราคนนั้นทันทีโดยไม่คิดจะหันมาบอกทินก่อน ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจกับการกระทำของเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจความคิดของน้องสาวอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตามไปอีกคน
ถ้าอยากรู้ว่าเมื่อคืนมีอะไรที่ทำให้คนในเมืองไม่ปกติเช่นนี้ล่ะก็...ไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงเลยละกัน
“คุณป้าคะ ขอโทษนะคะ” เนียร์เรียกหญิงสูงวัยคนนั้น
คนถูกเรียกหันมามอง คิดว่าเธอจะถามเกี่ยวกับของที่จะซื้อ แต่แล้วก็ร้องโหวกเหวกทันทีที่เนียร์เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืน จนคนเป็นฝ่ายถามสะดุ้งตกใจเอง
เนียร์มองอีกฝ่ายที่ร้องว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นอย่างไม่เชื่อใจนัก เพราะอาการมันแสดงโจ่งแจ้งเลยว่าต้องรู้เรื่องเมื่อคืนนี้แน่นอน
แต่สภาพในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะคาดคั้นถามเลยจริงๆ เมื่อมีใครหลายคนพากันมองพวกเธอสองคนอย่างสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น หากพูดแล้วจบแค่นั้น เนียร์จะไม่ว่าสักคำ แต่นี่มีบางคนพูดแล้วชี้นิ้วมาทางเธอพร้อมกับหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างตัวต่ออีก...นี่หรอกที่รับไม่ได้
เมื่อกี้ต้องรับบทเป็นตัวตลกจำเป็นยังไม่พอ นี่ยังต้องมาเป็นผู้ต้องสงสัยทำร้ายร่างกายคนแก่จนเสียสติอีกหรือไง ถึงไม่ได้ยินแต่เด็กสาวก็เชื่อเลยว่า คนพวกนั้นต้องกล่าวโทษกับเธอแบบนี้แน่
ก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปมากกว่านี้ เนียร์ก็คว้าต้นแขนของอีกฝ่ายมาจับไว้แน่นทั้งสองข้าง บีบเล็กน้อยพอให้รู้สึกตัว
“คุณป้าคะ ฟังหนูพูดก่อนค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเบาทว่าเน้นหนัก เป็นทำนองออกคำสั่งว่า ‘ฟังตรูด้วยโว้ย’
หญิงชรายอมฟังแต่โดยดี แม้จะยังมีท่าทีสั่นๆ อยู่ก็ตาม
“เมื่อคืนนี้คุณป้าคงรู้เรื่องเหตุการณ์นั่นใช่มั้ยคะ” เนียร์รู้คำตอบนั้นอยู่แล้วจึงพูดต่อ “หนูแค่อยากรู้ว่าทำไมไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนั้นเลยสักคน”
อีกฝ่ายหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวว่าจะมีใครแอบฟังอยู่ พอทำท่าจะพูดอะไรออกมาก็หุบปากเงียบทันที เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสีดำแซมทองที่เพิ่งข้ามถนนเข้ามาหยุดฟังด้วย
เนียร์เห็นแล้วรีบอธิบายว่าเป็นพี่ชายตัวเอง ทำให้หญิงชรายอมพูดต่อ
จากที่อีกฝ่ายเล่ามา ทำให้ทั้งสองคนรู้ว่า ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ พวกเธอไม่ได้อุปาทานขึ้นมาเอง เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลแล้ว ตอนนั้นเองที่คนกลุ่มนั้นปรากฏตัวขึ้น
เหล่ากลุ่มคนในชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการ ที่เหมือนมีเวทมนตร์ลบความทรงจำของผู้คนจำนวนมากได้ด้วยเงินชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด ออกค่าพยาบาลให้ และเงินกองโตสำหรับคนที่ตายไป โดยแลกกับว่าพวกเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครทั้งสิ้น
หญิงชราเล่าพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเงินที่ได้มา เพราะตัวเองอยู่ตัวคนเดียว ลูกหลานก็ย้ายไปที่อื่นหมด ทำให้ไม่มีใครที่รักบาดเจ็บหรือตาย แถมแค่กระจกแตกนิดหน่อยก็ได้เงินเป็นจำนวนมากแล้ว
เด็กสาวฟังแล้วรู้สึกว่า หญิงแก่คนนี้ไม่ได้เศร้าใจหรือเห็นใจครอบครัวที่มีคนตายเลยสักนิด ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงที่น่าจะเป็นเพื่อนบ้านกันแท้ๆ ขนาดเธอยังรู้สึกเศร้าเลยทั้งที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลยสักนิด
...จริงสิ...ก็จะไม่ให้รู้สึกอย่างนี้ได้ไงล่ะ ในเมื่อต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องตาย มันคือเธอนี่นา
ความรู้สึกผิดเริ่มเข้าจู่โจมอีกครั้ง จนเนียร์ต้องยกมือขึ้นกอดตัวเองที่เริ่มสั่นอย่างคุมไม่อยู่ ภาพเมื่อคืนถูกกรอเล่นใหม่ในหัว
ทันใดนั้นเอง มือใหญ่ของคนที่คอยเฝ้ามองอยู่ก็เข้ามาวางบนบ่าของเนียร์ ทำให้เธอหันไปมองเจ้าของมือที่ช่วยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจได้ในยามแบบนี้
คนที่ปกติจะใช้ปากพูดกวนตลอดเวลาจนน่าโมโหน่าหาอะไรมายัดปากซะ บัดนี้กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้พร้อมบีบบ่าเธอเป็นทำนองว่า ตราบใดที่เขายังอยู่ เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
เนียร์แทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นพี่ชายคนเดียวกันกับที่เธอเคยรู้จักมาก่อน แต่นั่นทำให้ความรู้สึกอึดอัดจนร่างกายหนาวสั่นค่อยๆ หายไป ความอุ่นใจจนแทบอยากจะร้องไห้แต่ยังฝืนได้อยู่เริ่มเข้ามาแทนที่ ทำให้เธอกล้าเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง เนียร์ยิ้มให้และพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว ก่อนจะตั้งคำถามกับหญิงชราต่อ
“แล้วคุณป้ารู้รึเปล่าคะว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”
“ไม่รู้เหมือนกัน” หญิงแก่ตอบทันควัน “ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนหรอก”
แน่ละ เขาเป็นใครไม่สน สนแต่เงินที่ให้มาก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ เนียร์เหน็บแนมในใจอย่างอดไม่ได้
“ว่าแต่...แม่หนู อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียว เพราะมันจะทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้ามาในเมือง ไม่เป็นอันทำมาหากินกันพอดี”
เนียร์พยักหน้ารับ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกลับเข้าร้านไป
ดวงตาสีดำหันมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาตามปกติ...ผู้คนที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังเดินอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยคนตายเมื่อคืนนี้
เด็กสาวกำมือแน่น คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ถึงได้มาปิดปากคนในเหตุการณ์ไม่ให้เรื่องรั่วไหล...ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นแน่นอน เธอเชื่อเช่นนั้น แล้วควรทำอย่างไรดีนะ ถึงจะมีทางรู้ได้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร และมีจุดประสงค์อะไร
“เฮ้ เนียร์ ถามอะไรหน่อยสิ” เสียงเรียกของคนที่เงียบมานานจนถึงเมื่อกี้ดังขึ้น ให้อีกฝ่ายที่ยังจมอยู่ในความคิดของตัวเองถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“มีอะไร”
“เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้เด็ดหัวใครไว้รึเปล่า”
คำถามแปลกๆ ที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ ดึงความคิดของเธอให้ไปสนใจคนตั้งคำถามที่กำลังเงยหน้ามองบางอย่างอยู่ แบบที่เธอคิดว่าคงมองดูท้องฟ้าทั่วไป
“นายจะรู้ไปทำไมล่ะ” เนียร์ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสนวิธีฆ่าคนของสัตว์ประหลาดนั่นไปทำไม
ทินไม่ยอมตอบ และยังถามซ้ำ “มีรึเปล่าล่ะ”
“...ก็คงมีมั้ง” เธอไม่ได้สนใจจะมองการฆ่าคนเมื่อคืนนี้เสียด้วยสิ ใครที่ไหนมันจะบ้าไปยืนมองกัน
“แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าพวกนั้นเจอศพไม่มีหัวบ้างมั้ย”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า แล้วนายรู้ได้ไงว่ามีคนถูกเด็ดหัว” เนียร์ถามอย่างอดไม่ไหว
แทนคำตอบ ทินชี้มือไปบนตึกสูงหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามพวกเธอพอดี
เนียร์มองตามไป ตอนแรกนั้นยังไม่เห็นอะไร แต่พอสังเกตดีๆ แล้วถึงได้รู้ เป็นภาพที่ทำเอาขาเธอแทบทรุด
ภาพของหัวของผู้ชายคนหนึ่งถูกเสียบไว้กับเสาธงชาติที่ยื่นออกมาจากผนังตึก ถ้าไม่สังเกตคงไม่มีใครเห็น คนเบื้องล่างที่เดินซื้อของอย่างสบายใจโดยหารู้ไม่ว่า บนเหนือหัวของตัวเองมีหัวคนถูกเสียบประจานอยู่อย่างน่าอนาถ
เนียร์หน้าซีดเผือดหันกลับมามองชายที่ยังยืนมองอย่างหน้าตาเฉย ทินส่งยิ้มสนุกราวกับคนละคนที่ช่วยเป็นกำลังใจให้เมื่อครู่ลิบลับ แถมยังพูดอีกว่า
“ฉันว่า...ไปเรียกคนมาเก็บก่อนที่จะมีคนมาเห็นอีกดีกว่านะ ไม่งั้นได้ตกใจกันยกใหญ่แน่”