ฺฺBe Careful!! เด็กอันตราย ตอนที่ 3

ตอนแรก http://pantip.com/topic/33309892
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/33315124




3
สิ่งที่เหลืออยู่



                    “พอมาดูของจริงแล้ว  ค่อยเข้าขั้นสมชื่อสัตว์ร้ายหน่อย”  

                    ทินพูดขณะกวาดสายตาไปรอบๆ ส่วนเนียร์กลับคิดว่ามันต่างไปจากเมื่อคืนนี้มากพอดู

                    สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ  ไม่มีศพ  หรือเศษชิ้นส่วนบางชิ้นและกองเลือดเลย  แต่เศษกระจกที่แตกนั้นยังคงอยู่เหมือนเดิมและบางร้านมีการจัดของกันใหม่  แต่จากที่สังเกตนั้น  ไม่เห็นมีใครสนใจ  และเข้าไปซื้อของกันเหมือนเดิม  ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                    “นึกว่านายตั้งความหวังไว้มากกว่านี้ซะอีก”  เนียร์มีท่าทีผิดหวังกับเกณฑ์ที่คนข้างตัวตั้งเอาไว้

                    “แล้วคิดว่าฉันตั้งไว้ขนาดไหนกันล่ะ”  ทินถามพร้อมลากเธอมาติดกับกำแพงเพื่อไม่ให้ขวางทางคนเดิน

                    “ก็...ยังเห็นศพเกลื่อน  รอยเลือดสาดกระจาย  ตึกถล่มทลายไปสักหลังสองหลัง ...ประมาณเนี้ย”  ถึงจะไม่รู้สึกตัว  แต่เนียร์กลับพูดเรื่องน่ากลัวออกมาให้เห็นเป็นฉากๆ ได้หน้าตาเฉย

                    ทินเกาแก้มตัวเอง  “เฮ้อ  ฉันลดเกณฑ์ลงมาตั้งแต่เธอบอกว่ามีคนตายแค่ 8 คนแล้ว  ขนาดแค่นี้ยังแอบเสียดายนิดๆ เลย  แต่ว่า...เธอพูดผิดอยู่อย่างนะ”  ทินชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงระดับสายตา  ก่อนจะใช้ชี้ไปที่กลางถนน  “ใครว่าไม่มีรอยเลือดให้เห็นกันล่ะ”

                    ด้วยความสงสัย  เนียร์จึงไปตรงจุดที่ทินชี้  ชันเข่าก้มลงมองดู  ปลายนิ้วสัมผัสพื้นตรงที่ยังมีรอยเข้มกว่าจุดอื่นและไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือรอยอะไร

                    ปิ๊น! ปิ๊น!

                    “เฮ้ย! นั่งตรงนี้อยากตายรึไงวะ”  รถยนต์คันหนึ่งบีบแตรไล่

                    “อะ! ขอโทษค่ะ”  เธอผงกหัวขอโทษรีบขึ้นทางเท้าทันที  ลืมไปว่าจุดที่ทินชี้มันอยู่กลางถนน  ถึงจะไม่ใช่ความผิดของคนบอก  แต่พอเห็นทินกำลังเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะเต็มที่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้

                    “ขำอะไรของนาย”

                    “เปล่านี่  หึๆ”  ยังมีหลุดออกมาอีกทำเอาเนียร์หน้ามุ่ย  เธอเห็นบางคนแถวนี้บ้างก็แอบหัวเราะบ้างก็ส่ายหน้าเอือม  แต่จะแบบไหนก็ไม่ดีเลยสักนิด

                    นี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนะ!  เนียร์สบถดังๆ ในใจ  พลางมองตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกจำเป็น  ซึ่งดูเหมือนว่าจะหยุดหัวเราะได้แล้วและพูดว่า

                    “คนในเมืองนี้ก็แปลกดีนะ”

                    ถึงแม้จะยังหงุดหงิดเรื่องเมื่อกี้ไม่หาย  และอยากสวนคืนแทบขาดใจว่านายต่างหากที่แปลกพิลึกพิสดารกว่าเมืองนี้หลายเท่า  แต่เนียร์จำต้องเก็บคำนั้นไว้  เพราะรู้ดีว่าชายคนนี้  ด่าอะไรไปไม่เคยจะสำนึกหรอก  มันด้าน!  แล้วจบลงตรงที่เธอต้องกัดฟันถามกลับ

                   “ตรงไหน”  

                   “ก็ขนาดมีคนตายซะตั้งขนาดนั้น  ถูกสัตว์ประหลาดอาละวาดซะขนาดนี้  ไม่แตกตื่นกันเลยสักนิด  แถมยังไม่มีใครพูดถึงเลยสักคำ  มันแปลกมั้ยล่ะ”  

                   ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยของมนุษย์  ที่หากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้วจริงๆ ล่ะก็  ป่านนี้ลือกันถึงเรื่องนี้ไม่หยุดปากแน่นอน  ทว่านี่กลับเงียบสนิท

                   ทินพูดจบก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย  แต่นั่นเป็นรอยยิ้มสื่อว่า  ‘ชักมีอะไรไม่ชอบมาพากล’  ทำให้คนคิดจะพูดจิกนึกขึ้นได้ทันที  เนียร์มองฝูงคนที่เดินไปมาตามทางเท้าด้วยความสงสัย...  

                   ทุกอย่าง...เป็นปกติจนเกินไป  ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงฝันร้าย  ไม่ใช่เรื่องจริง

                   “มันชักจะ ’ยิ้มๆ แล้วว่ามั้ย”  คราวนี้เนียร์เห็นด้วยกับพี่ชายอย่างแรง

                   เสียงกระดิ่งหน้าร้านขายของที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเรียกความสนใจเนียร์ไป  มีหญิงชราคนหนึ่งออกมากวาดเศษกระจกที่แตกไปตั้งแต่เมื่อคืน

                   เนียร์เหม่อมองเพียงชั่วครู่  ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้  แล้วรีบข้ามถนนไปหาหญิงชราคนนั้นทันทีโดยไม่คิดจะหันมาบอกทินก่อน  ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจกับการกระทำของเธออยู่ครู่หนึ่ง  แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจความคิดของน้องสาวอย่างรวดเร็ว  แล้วเดินตามไปอีกคน

                   ถ้าอยากรู้ว่าเมื่อคืนมีอะไรที่ทำให้คนในเมืองไม่ปกติเช่นนี้ล่ะก็...ไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์จริงเลยละกัน

                   “คุณป้าคะ  ขอโทษนะคะ”  เนียร์เรียกหญิงสูงวัยคนนั้น

                   คนถูกเรียกหันมามอง  คิดว่าเธอจะถามเกี่ยวกับของที่จะซื้อ  แต่แล้วก็ร้องโหวกเหวกทันทีที่เนียร์เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืน  จนคนเป็นฝ่ายถามสะดุ้งตกใจเอง

                   เนียร์มองอีกฝ่ายที่ร้องว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นอย่างไม่เชื่อใจนัก  เพราะอาการมันแสดงโจ่งแจ้งเลยว่าต้องรู้เรื่องเมื่อคืนนี้แน่นอน

                   แต่สภาพในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะคาดคั้นถามเลยจริงๆ  เมื่อมีใครหลายคนพากันมองพวกเธอสองคนอย่างสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้น  หากพูดแล้วจบแค่นั้น  เนียร์จะไม่ว่าสักคำ  แต่นี่มีบางคนพูดแล้วชี้นิ้วมาทางเธอพร้อมกับหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างตัวต่ออีก...นี่หรอกที่รับไม่ได้

                   เมื่อกี้ต้องรับบทเป็นตัวตลกจำเป็นยังไม่พอ  นี่ยังต้องมาเป็นผู้ต้องสงสัยทำร้ายร่างกายคนแก่จนเสียสติอีกหรือไง  ถึงไม่ได้ยินแต่เด็กสาวก็เชื่อเลยว่า  คนพวกนั้นต้องกล่าวโทษกับเธอแบบนี้แน่

                   ก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปมากกว่านี้  เนียร์ก็คว้าต้นแขนของอีกฝ่ายมาจับไว้แน่นทั้งสองข้าง  บีบเล็กน้อยพอให้รู้สึกตัว

                   “คุณป้าคะ  ฟังหนูพูดก่อนค่ะ”  เธอเอ่ยเสียงเบาทว่าเน้นหนัก  เป็นทำนองออกคำสั่งว่า  ‘ฟังตรูด้วยโว้ย’

                   หญิงชรายอมฟังแต่โดยดี  แม้จะยังมีท่าทีสั่นๆ อยู่ก็ตาม

                   “เมื่อคืนนี้คุณป้าคงรู้เรื่องเหตุการณ์นั่นใช่มั้ยคะ”  เนียร์รู้คำตอบนั้นอยู่แล้วจึงพูดต่อ  “หนูแค่อยากรู้ว่าทำไมไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนั้นเลยสักคน”

                   อีกฝ่ายหันซ้ายหันขวาเหมือนกลัวว่าจะมีใครแอบฟังอยู่  พอทำท่าจะพูดอะไรออกมาก็หุบปากเงียบทันที  เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสีดำแซมทองที่เพิ่งข้ามถนนเข้ามาหยุดฟังด้วย

                   เนียร์เห็นแล้วรีบอธิบายว่าเป็นพี่ชายตัวเอง  ทำให้หญิงชรายอมพูดต่อ

                   จากที่อีกฝ่ายเล่ามา  ทำให้ทั้งสองคนรู้ว่า  ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ  พวกเธอไม่ได้อุปาทานขึ้นมาเอง  เรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลแล้ว  ตอนนั้นเองที่คนกลุ่มนั้นปรากฏตัวขึ้น

                   เหล่ากลุ่มคนในชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการ  ที่เหมือนมีเวทมนตร์ลบความทรงจำของผู้คนจำนวนมากได้ด้วยเงินชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด  ออกค่าพยาบาลให้  และเงินกองโตสำหรับคนที่ตายไป  โดยแลกกับว่าพวกเขาจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครทั้งสิ้น

                   หญิงชราเล่าพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อนึกถึงเงินที่ได้มา  เพราะตัวเองอยู่ตัวคนเดียว  ลูกหลานก็ย้ายไปที่อื่นหมด  ทำให้ไม่มีใครที่รักบาดเจ็บหรือตาย  แถมแค่กระจกแตกนิดหน่อยก็ได้เงินเป็นจำนวนมากแล้ว

                   เด็กสาวฟังแล้วรู้สึกว่า  หญิงแก่คนนี้ไม่ได้เศร้าใจหรือเห็นใจครอบครัวที่มีคนตายเลยสักนิด  ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงที่น่าจะเป็นเพื่อนบ้านกันแท้ๆ  ขนาดเธอยังรู้สึกเศร้าเลยทั้งที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันเลยสักนิด

                   ...จริงสิ...ก็จะไม่ให้รู้สึกอย่างนี้ได้ไงล่ะ  ในเมื่อต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องตาย  มันคือเธอนี่นา

                   ความรู้สึกผิดเริ่มเข้าจู่โจมอีกครั้ง  จนเนียร์ต้องยกมือขึ้นกอดตัวเองที่เริ่มสั่นอย่างคุมไม่อยู่  ภาพเมื่อคืนถูกกรอเล่นใหม่ในหัว

                   ทันใดนั้นเอง  มือใหญ่ของคนที่คอยเฝ้ามองอยู่ก็เข้ามาวางบนบ่าของเนียร์  ทำให้เธอหันไปมองเจ้าของมือที่ช่วยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจได้ในยามแบบนี้

                   คนที่ปกติจะใช้ปากพูดกวนตลอดเวลาจนน่าโมโหน่าหาอะไรมายัดปากซะ  บัดนี้กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้พร้อมบีบบ่าเธอเป็นทำนองว่า  ตราบใดที่เขายังอยู่  เธอไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น

                   เนียร์แทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นพี่ชายคนเดียวกันกับที่เธอเคยรู้จักมาก่อน  แต่นั่นทำให้ความรู้สึกอึดอัดจนร่างกายหนาวสั่นค่อยๆ หายไป  ความอุ่นใจจนแทบอยากจะร้องไห้แต่ยังฝืนได้อยู่เริ่มเข้ามาแทนที่  ทำให้เธอกล้าเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง  เนียร์ยิ้มให้และพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว  ก่อนจะตั้งคำถามกับหญิงชราต่อ

                   “แล้วคุณป้ารู้รึเปล่าคะว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”

                   “ไม่รู้เหมือนกัน”  หญิงแก่ตอบทันควัน  “ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนหรอก”

                   แน่ละ  เขาเป็นใครไม่สน  สนแต่เงินที่ให้มาก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ  เนียร์เหน็บแนมในใจอย่างอดไม่ได้

                   “ว่าแต่...แม่หนู  อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเชียว  เพราะมันจะทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้ามาในเมือง  ไม่เป็นอันทำมาหากินกันพอดี”  

                   เนียร์พยักหน้ารับ  แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกลับเข้าร้านไป

                   ดวงตาสีดำหันมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาตามปกติ...ผู้คนที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังเดินอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยคนตายเมื่อคืนนี้

                   เด็กสาวกำมือแน่น  คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่  ถึงได้มาปิดปากคนในเหตุการณ์ไม่ให้เรื่องรั่วไหล...ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดตัวนั้นแน่นอน  เธอเชื่อเช่นนั้น  แล้วควรทำอย่างไรดีนะ  ถึงจะมีทางรู้ได้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร  และมีจุดประสงค์อะไร

                   “เฮ้  เนียร์  ถามอะไรหน่อยสิ”  เสียงเรียกของคนที่เงียบมานานจนถึงเมื่อกี้ดังขึ้น  ให้อีกฝ่ายที่ยังจมอยู่ในความคิดของตัวเองถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ

                   “มีอะไร”

                   “เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้เด็ดหัวใครไว้รึเปล่า”

                   คำถามแปลกๆ ที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้  ดึงความคิดของเธอให้ไปสนใจคนตั้งคำถามที่กำลังเงยหน้ามองบางอย่างอยู่  แบบที่เธอคิดว่าคงมองดูท้องฟ้าทั่วไป

                   “นายจะรู้ไปทำไมล่ะ”  เนียร์ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสนวิธีฆ่าคนของสัตว์ประหลาดนั่นไปทำไม

                   ทินไม่ยอมตอบ  และยังถามซ้ำ  “มีรึเปล่าล่ะ”  

                  “...ก็คงมีมั้ง”  เธอไม่ได้สนใจจะมองการฆ่าคนเมื่อคืนนี้เสียด้วยสิ  ใครที่ไหนมันจะบ้าไปยืนมองกัน

                  “แล้วเธอรู้รึเปล่าว่าพวกนั้นเจอศพไม่มีหัวบ้างมั้ย”

                  “ฉันจะไปรู้ได้ไงเล่า  แล้วนายรู้ได้ไงว่ามีคนถูกเด็ดหัว”  เนียร์ถามอย่างอดไม่ไหว

                  แทนคำตอบ  ทินชี้มือไปบนตึกสูงหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามพวกเธอพอดี

                  เนียร์มองตามไป  ตอนแรกนั้นยังไม่เห็นอะไร  แต่พอสังเกตดีๆ แล้วถึงได้รู้  เป็นภาพที่ทำเอาขาเธอแทบทรุด  

                  ภาพของหัวของผู้ชายคนหนึ่งถูกเสียบไว้กับเสาธงชาติที่ยื่นออกมาจากผนังตึก  ถ้าไม่สังเกตคงไม่มีใครเห็น  คนเบื้องล่างที่เดินซื้อของอย่างสบายใจโดยหารู้ไม่ว่า  บนเหนือหัวของตัวเองมีหัวคนถูกเสียบประจานอยู่อย่างน่าอนาถ

                  เนียร์หน้าซีดเผือดหันกลับมามองชายที่ยังยืนมองอย่างหน้าตาเฉย  ทินส่งยิ้มสนุกราวกับคนละคนที่ช่วยเป็นกำลังใจให้เมื่อครู่ลิบลับ  แถมยังพูดอีกว่า

                  “ฉันว่า...ไปเรียกคนมาเก็บก่อนที่จะมีคนมาเห็นอีกดีกว่านะ  ไม่งั้นได้ตกใจกันยกใหญ่แน่”


จบตอนที่ 3
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่