ตอนนี้ ร้านค้าและโรงงานขนาดเล็ก กระจายตัวไปนอก กทม. เยอะมาก ซึ่งจังหวัดที่เป็นปริมณฑลกรุงเทพ
รวมถึง ต่างจังหวัด ล้วนแล้วมี องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นผู้จัดเก็บภาษีโรงเรือน
โดยจัดเก็บ กับผู้ประกอบการ ทั้งปล่อยเช่า หรือทำธุรกิจ (ภาษีโรงเรือนห้องเช่า มีในเน็ตมากมาย ส่วนตัวไม่มีประสบการณ์จะไม่เอ่ยถึง)
สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ คงไม่มีปัญหา เพราะ ยอดขายคงตกไม่มาก
แต่ปัจจุบัน ธุรกิจขนาดย่อย และ เล็ก ยอดขายตกมากมาย พอมาเจอข่าวว่า อบต. ปีนี้ และ ปีหน้า จะมีการขึ้น อัตราทำเลใหม่
ก็คงพอทราบว่า ต้องจ่ายภาษีโรงเรือนเพิ่มขึ้นแน่นอน และ แชร์ประสบการณ์เป็นวิทยาทาน กับผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยโดนตรวจ
ต้องจัดการตัวเองให้พร้อม
สำหรับธุรกิจ และโรงงาน ขนาดย่อย และ เล็ก ส่วนใหญ่เจ้าของกิจการคนเดียว ทำเองหมด อาจมีลูกน้องไม่มาก
การจัดสิ่งของไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ กล่องบรรจุภัณฑ์ อาจไม่เรียบร้อย เสียพื้นที่ (ซึ่งภาษีโรงเรือนจะรวมถึง พื้นที่วาง เก็บ สิ่งของเหล่านี้)
ดังนั้น จัดเก็บพื้นที่ให้เป็นระเบียบ ถ้าพื้นที่คุณกว้าง คุณต้องแสดงให้ จนท. เห็นว่า พื้นที่เก็บของของคุณมีพื้นที่กว้างยาวแค่ไหน
แล้วพื้นที่ส่วนที่เหลือ คุณไม่ได้ใช้งานจริงไหม (อันนี้ก็แล้วแต่ ความเข้มงวดของ จนท. และ "วาทะศิลป์ของคุณ")
นอกจากนี้สิ่งที่อาจลืมไป คือ ขยะ หรือสิ่งที่ไม่ใช้แล้วในโรงงาน เศษจากการผลิต หรือ สินค้าที่มีปัญหา
ส่วนใหญ่ สิ่งของเหล่านี้ ผู้ประกอบการ จะกองทิ้งไว้ ถ้าไม่ใช่ ปีใหม่ ตรุจจีน สงกรานต์ ก็แทบจะไม่ไปยุ่ง บางครั้งกองเป็นภูเขา
ดังนั้น คุณควรเคลียสินค้าเหล่านี้ให้เรียบร้อย เพราะ พื้นที่ตรงนี้ จนท. ก็มีสิทธิ์ที่จะคิดเป็นพื้นที่เก็บสินค้าเช่นกัน
เมื่อคุณจัดพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ให้แบ่งพื้นที่เป็น พื้นที่ออฟฟิต พื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว พื้นที่วางเครื่องจักร พื้นที่วางสิ่งของ พื้นที่จอดรถขึ้นของ
พื้นที่โล่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆ (จัดทุกอย่างให้เรียบร้อย)
แจ้งต่อ จนท. อบต. ว่าต้องการเสียภาษีโรงเรือน
ก่อนสิ้นเดือน กุมภาพันธ์ ให้คุณไปแจ้ง อบต. ว่าคุณจะมาเสียภาษีโรงเรือน จนท.อบต. ถ้าจนท.ยังไม่เคยไปสำรวจประเมิณพื้นที่
คุณสามารถสอบถาม ประกาศจากอบต. ถึง "อัตราทำเล"
(อัตราทำเล คือ อัตราค่าเช่าต่อหนึ่ง ตร.ม. ต่อเดือน อัตราทำเล ติดถนนใหญ่ ถนนซอย ซอยย่อย จะมีราคาที่แตกต่างกัน
(อัตราทำเล สำหรับ ธุรกิจการค้า โรงงาน โรงแรม ฯ จะแตกต่างกัน ให้คุณสอบถามจาก จนท. ได้เลย)
จนท. จะนัดวันคุณขอเข้าไปประเมิณ (เนื่องจากเป็น จนท.ในพื้นที่ ดังนั้น วันนัดอาจเป็นบ่ายวันนั้น หรือวันต่อมา)
จนท. ส่วนใหญ่จะรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี จนท.อาจไม่ต้องให้คุณไปรับ จนท.จะเข้ามาหาคุณเอง
เมื่อ จนท. เข้ามา จนท.จะสอบถาม การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ก็ให้คุณบอก จนท. ตามที่คุณจัดไว้ด้านบน
พื้นที่ ออฟฟิต ที่พักอาศัย บ้านพักคนงาน ที่วางเครื่องจักร ส่วนประกอบ ที่วางสินค้า ของต่างๆ ฯ
ส่วนใหญ่ ถ้า พื้นที่ไม่ใหญ่มาก จนท. จะใช้พื้นที่ตัวอาคารเลย กว้าง คูณ ยาว
โดย จนท. จะนำใบประเมิณ ( ภรด ๒) กรอกข้อมูลของคุณ
ถ้าเป็น ค่าเช่า ก็จะมีแบบฟอร์ม ค่าเช่า
ถ้าเป็น แบบประเมิณ ก็มีฟอร์ม ประเมิณ
การประเมิณ จนท. ที่มาประเมิณ ก็จะมี ประกาศของ อบต. เรื่อง อัตราทำเล มาแสดงให้ดูด้วย
สำหรับธุรกิจขนาดย่อย จนท. จะประเมิณ เป็น กว้าง คูณ ยาว คูณ อัตราทำเล คูณ สิบสองเดือน คูณ สิบสองจุดห้าเปอร์เซ็นต์ (อัตราภาษีที่ต้องจ่าย)
เช่น ถ้าพื้นที่โดยรวมคุณ เป็นพื้นที่ กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร (อัตราทำเล 20 บาท ต่อ ตรม.)
ได้ 10 x 20 x 20 x 12 x 12.5% = 6000 บาท คือ จะต้องเสีย ภาษีโรงเรือน 6000 บาท
นอกจากนี้ ถ้าธุรกิจคุณ จนท. ประเมิณแล้วว่า มีผลต่อสิ่งแวดล้อม คุณก็จะต้อง เสียภาษีสิ่งแวดล้อมให้ กับ อบต. ด้วย
ภาษีสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่จะเริ่มที่ 2000 บาท โดยดูจากขนาดพื้นที่ ข้างต้น (พื้นที่ยิ่งใหญ่ ก็เสียภาษีมาก)
ภาษีป้าย ถ้าธุรกิจคุณมี ป้ายร้านค้า ป้ายภาษไทย จะถูก กว่า ป้ายภาษาอังกฤษ ( ภาษีป้ายเริ่มที่ 400 บาท)
ทั้งหมด นี้ จนท. จะเข้ามาประเมิณ ใช้เวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง
จนท. ส่วนใหญ่จะเข้ามาทั้งหมด สามท่าน ผู้ประเมิณหนึ่งท่าน และ ผู้ช่วยสองท่าน
สรุป สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทราบ คือ "อัตราทำเล" ที่ อบต. ในพื้นที่นั้นๆ ประกาศ เพื่อที่ ผู้ประกอบการจะได้มาประเมิณตัวเลขที่จะเสียก่อนได้
ขั้นตอนต่างๆ จนท.ที่มาประเมิณจะอธิบายให้ผู้ประกอบการทราบอย่างละเอียด
ปล. อัตรทำเล จะขึ้นทุกๆ สามสี่ปี ดังนั้น ภาษีโรงเรือน ก็จะขึ้นตาม "อัตรทำเล"
ปล.๒ ถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ แต่ละท่านที่เจอ อาจไม่เป็นไปตามนี้ทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการใหม่ๆ
ปล.๓ ภาษีที่เก็บได้ จะเข้า อบต. ทั้งหมด เพื่อใช้พัฒนาชุมชน ต่างจาก ภงด. แวด ที่เก็บจากสรรพากร ที่เก็บเข้ารัฐ
ประสบการณ์จ่ายภาษีโรงเรือน สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งที่เป็นร้านค้า และโรงงาน
รวมถึง ต่างจังหวัด ล้วนแล้วมี องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นผู้จัดเก็บภาษีโรงเรือน
โดยจัดเก็บ กับผู้ประกอบการ ทั้งปล่อยเช่า หรือทำธุรกิจ (ภาษีโรงเรือนห้องเช่า มีในเน็ตมากมาย ส่วนตัวไม่มีประสบการณ์จะไม่เอ่ยถึง)
สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ คงไม่มีปัญหา เพราะ ยอดขายคงตกไม่มาก
แต่ปัจจุบัน ธุรกิจขนาดย่อย และ เล็ก ยอดขายตกมากมาย พอมาเจอข่าวว่า อบต. ปีนี้ และ ปีหน้า จะมีการขึ้น อัตราทำเลใหม่
ก็คงพอทราบว่า ต้องจ่ายภาษีโรงเรือนเพิ่มขึ้นแน่นอน และ แชร์ประสบการณ์เป็นวิทยาทาน กับผู้ประกอบการที่ยังไม่เคยโดนตรวจ
ต้องจัดการตัวเองให้พร้อม
สำหรับธุรกิจ และโรงงาน ขนาดย่อย และ เล็ก ส่วนใหญ่เจ้าของกิจการคนเดียว ทำเองหมด อาจมีลูกน้องไม่มาก
การจัดสิ่งของไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ กล่องบรรจุภัณฑ์ อาจไม่เรียบร้อย เสียพื้นที่ (ซึ่งภาษีโรงเรือนจะรวมถึง พื้นที่วาง เก็บ สิ่งของเหล่านี้)
ดังนั้น จัดเก็บพื้นที่ให้เป็นระเบียบ ถ้าพื้นที่คุณกว้าง คุณต้องแสดงให้ จนท. เห็นว่า พื้นที่เก็บของของคุณมีพื้นที่กว้างยาวแค่ไหน
แล้วพื้นที่ส่วนที่เหลือ คุณไม่ได้ใช้งานจริงไหม (อันนี้ก็แล้วแต่ ความเข้มงวดของ จนท. และ "วาทะศิลป์ของคุณ")
นอกจากนี้สิ่งที่อาจลืมไป คือ ขยะ หรือสิ่งที่ไม่ใช้แล้วในโรงงาน เศษจากการผลิต หรือ สินค้าที่มีปัญหา
ส่วนใหญ่ สิ่งของเหล่านี้ ผู้ประกอบการ จะกองทิ้งไว้ ถ้าไม่ใช่ ปีใหม่ ตรุจจีน สงกรานต์ ก็แทบจะไม่ไปยุ่ง บางครั้งกองเป็นภูเขา
ดังนั้น คุณควรเคลียสินค้าเหล่านี้ให้เรียบร้อย เพราะ พื้นที่ตรงนี้ จนท. ก็มีสิทธิ์ที่จะคิดเป็นพื้นที่เก็บสินค้าเช่นกัน
เมื่อคุณจัดพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ให้แบ่งพื้นที่เป็น พื้นที่ออฟฟิต พื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว พื้นที่วางเครื่องจักร พื้นที่วางสิ่งของ พื้นที่จอดรถขึ้นของ
พื้นที่โล่งไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆ (จัดทุกอย่างให้เรียบร้อย)
แจ้งต่อ จนท. อบต. ว่าต้องการเสียภาษีโรงเรือน
ก่อนสิ้นเดือน กุมภาพันธ์ ให้คุณไปแจ้ง อบต. ว่าคุณจะมาเสียภาษีโรงเรือน จนท.อบต. ถ้าจนท.ยังไม่เคยไปสำรวจประเมิณพื้นที่
คุณสามารถสอบถาม ประกาศจากอบต. ถึง "อัตราทำเล"
(อัตราทำเล คือ อัตราค่าเช่าต่อหนึ่ง ตร.ม. ต่อเดือน อัตราทำเล ติดถนนใหญ่ ถนนซอย ซอยย่อย จะมีราคาที่แตกต่างกัน
(อัตราทำเล สำหรับ ธุรกิจการค้า โรงงาน โรงแรม ฯ จะแตกต่างกัน ให้คุณสอบถามจาก จนท. ได้เลย)
จนท. จะนัดวันคุณขอเข้าไปประเมิณ (เนื่องจากเป็น จนท.ในพื้นที่ ดังนั้น วันนัดอาจเป็นบ่ายวันนั้น หรือวันต่อมา)
จนท. ส่วนใหญ่จะรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี จนท.อาจไม่ต้องให้คุณไปรับ จนท.จะเข้ามาหาคุณเอง
เมื่อ จนท. เข้ามา จนท.จะสอบถาม การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ก็ให้คุณบอก จนท. ตามที่คุณจัดไว้ด้านบน
พื้นที่ ออฟฟิต ที่พักอาศัย บ้านพักคนงาน ที่วางเครื่องจักร ส่วนประกอบ ที่วางสินค้า ของต่างๆ ฯ
ส่วนใหญ่ ถ้า พื้นที่ไม่ใหญ่มาก จนท. จะใช้พื้นที่ตัวอาคารเลย กว้าง คูณ ยาว
โดย จนท. จะนำใบประเมิณ ( ภรด ๒) กรอกข้อมูลของคุณ
ถ้าเป็น ค่าเช่า ก็จะมีแบบฟอร์ม ค่าเช่า
ถ้าเป็น แบบประเมิณ ก็มีฟอร์ม ประเมิณ
การประเมิณ จนท. ที่มาประเมิณ ก็จะมี ประกาศของ อบต. เรื่อง อัตราทำเล มาแสดงให้ดูด้วย
สำหรับธุรกิจขนาดย่อย จนท. จะประเมิณ เป็น กว้าง คูณ ยาว คูณ อัตราทำเล คูณ สิบสองเดือน คูณ สิบสองจุดห้าเปอร์เซ็นต์ (อัตราภาษีที่ต้องจ่าย)
เช่น ถ้าพื้นที่โดยรวมคุณ เป็นพื้นที่ กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร (อัตราทำเล 20 บาท ต่อ ตรม.)
ได้ 10 x 20 x 20 x 12 x 12.5% = 6000 บาท คือ จะต้องเสีย ภาษีโรงเรือน 6000 บาท
นอกจากนี้ ถ้าธุรกิจคุณ จนท. ประเมิณแล้วว่า มีผลต่อสิ่งแวดล้อม คุณก็จะต้อง เสียภาษีสิ่งแวดล้อมให้ กับ อบต. ด้วย
ภาษีสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่จะเริ่มที่ 2000 บาท โดยดูจากขนาดพื้นที่ ข้างต้น (พื้นที่ยิ่งใหญ่ ก็เสียภาษีมาก)
ภาษีป้าย ถ้าธุรกิจคุณมี ป้ายร้านค้า ป้ายภาษไทย จะถูก กว่า ป้ายภาษาอังกฤษ ( ภาษีป้ายเริ่มที่ 400 บาท)
ทั้งหมด นี้ จนท. จะเข้ามาประเมิณ ใช้เวลาไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง
จนท. ส่วนใหญ่จะเข้ามาทั้งหมด สามท่าน ผู้ประเมิณหนึ่งท่าน และ ผู้ช่วยสองท่าน
สรุป สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทราบ คือ "อัตราทำเล" ที่ อบต. ในพื้นที่นั้นๆ ประกาศ เพื่อที่ ผู้ประกอบการจะได้มาประเมิณตัวเลขที่จะเสียก่อนได้
ขั้นตอนต่างๆ จนท.ที่มาประเมิณจะอธิบายให้ผู้ประกอบการทราบอย่างละเอียด
ปล. อัตรทำเล จะขึ้นทุกๆ สามสี่ปี ดังนั้น ภาษีโรงเรือน ก็จะขึ้นตาม "อัตรทำเล"
ปล.๒ ถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ แต่ละท่านที่เจอ อาจไม่เป็นไปตามนี้ทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการใหม่ๆ
ปล.๓ ภาษีที่เก็บได้ จะเข้า อบต. ทั้งหมด เพื่อใช้พัฒนาชุมชน ต่างจาก ภงด. แวด ที่เก็บจากสรรพากร ที่เก็บเข้ารัฐ