"ม.ล.ปนัดดา" เรียกร้องคนไทยจงรักภักดีต่อสถาบัน ร่วมกันนำความสามัคคีสู่ประเทศ แนะคนการเมือง เลิกเอาวงศาคณาญาติมาเกี่ยวข้องการเมือง รอกฤษฎีกาชี้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชุมนุม "กปปส.-เสื้อแดง" ได้ 7.5 ล.เท่ากันหรือไม่ เผยอาจครอบคลุมชื่อตกหล่นในอดีตด้วย...
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ก.พ. ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ กองบัญชาการกองทัพไทย โดย กรมกิจการพลเรือนทหาร ได้จัดโครงการมวลชนกองทัพไทยร่วมใจเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ โดยมี พลโทบัณฑิตย์ บุณยะปาน เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร เป็นประธานในพิธีเปิด โดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาบรรยายพิเศษเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ” ใจความตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน อยู่ใต้ร่มพระบารมีเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมามีการนำการเมืองมาแบ่งแยกคนไทย ต้องอย่าลืมว่าทุกคนอยู่ได้ในผืนแผ่นดินนี้ด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกคนเกิดในยุคสมัย ในแผ่นดินของพระองค์ท่านทั้งนั้น แต่แปลกที่กลับมีคนบางกลุ่มข่มเหง รังแก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ธรรมชาติของคนไทยทุกคนที่ปลูกฝังกันมาแต่ไหนแต่ไร ก็ถูกสั่งสอนให้มีความจงรักภักดี ก็อยากให้ยึดตามนั้น ตนอยากให้ทุกคนช่วยกันฟื้นฟูประเทศกลับสู่แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า เมื่อปีที่แล้ว มีผู้บริหารท่านหนึ่งพูดกับคนในจังหวัดหนึ่งว่า ระวังให้ดีนะหากไปเลือกพรรคการเมืองพรรคนั้น พรรคนี้ ระวังให้ดีเถอะรัฐบาลจะไม่จัดสรรงบประมาณไปช่วยจังหวัดของคุณ ซึ่งถือเป็นคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบอย่างมาก เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เพราะเงินงบประมาณเป็นเงินภาษีของประเทศ เป็นภาษีที่ได้จากประชาชน แต่รสนิยมทางการเมือง เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล อย่านำเรื่องการเมืองมาแบ่งแยกบุคคลออกจากกัน อย่ามาแยกภาค แยกจังหวัด ทุกคนเป็นคนไทย อยู่ใต้ร่มพระบารมีเดียวกัน เราอยู่ได้ด้วยสถาบัน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวด้วยว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีความจงรักภักดี ทำให้ตัวอย่างให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งในอดีตเคยมีหนังสือต่างประเทศเรียกนาม พล.อ.เปรม ว่าเป็น “มิสเตอร์คลีน” ซึ่งสื่อไทยนำมาแปลความหมายว่า “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” ซึ่งหากหัวดำรงความถูกต้อง ลูกทีมก็จะดำเนินตาม ซึ่งมีการนำคำพูดนี้มาเปรียบกับพล.อ.เปรม ด้วย
“เดี๋ยวนี้สังคมไทยกล่าวคำเท็จกันเป็นเรื่องธรรมดา พูดขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว พูดให้ร้ายคนอื่น มีบทวิเคราะห์ของชาวอเมริกันระบุว่า หากประชาธิปไตยของประเทศจะก้าวเดินได้สู่อนาคตที่สดใส คนที่อยู่ในแวดวงการเมืองต้องเลิกโลภโมโทสัน เลิกเอาญาติ พวกพ้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องของญาติพี่น้อง ไม่ใช่เรื่องของวงศาคณาญาติ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองต้องไม่กล่าวคำเท็จ ต้องรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องไม่ลืมตัวเป็นวัวลืมตีน แค่นี้การเมืองไทยก็จะไปได้ดีกว่าที่เคย เราก็ต้องทำให้ได้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของวงศาคณาญาติ เป็นเรื่องของแผ่นดินและคนไทยทุกคน สำหรับอีกปีกว่าก็จะเกษียณแล้ว ก็คงพอกันที” ม.ล.ปนัดดา กล่าว
ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีความขัดแย้งเลย จนมาเมื่อสิบปีเศษๆ ที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้คนไทยแบ่งแยก จนเกิดเป็นความแตกแยก มีอาจารย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งมาพูดกับตนว่า ทะเลาะกันจนถึงขนาดนี้ ประหัตประหารกัน เป็นขั้ว เป็นฝ่าย ทะเลาะจนกลายเป็นศัตรูจะหลงเรียกว่าประชาธิปไตยอีกหรือ คนไทยเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เพราะตามหลักรัฐศาสตร์เรียกว่า อนาธิปไตย หมายถึงบ้านเมืองไม่มีขื่อ ไม่มีแป ดังนั้นหากจะให้เกิดความสามัคคีต้องเลิกแบ่งแยก กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญต้องมีความโปร่งใสหรือมีธรรมาภิบาลนั่นเอง เมื่อเราอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ก็ต้องซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน
หลังจากนั้น ม.ล.ปนัดดา ยังให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. จะมีจำนวน 7.5 ล้านบาทเท่ากับสมัยที่ทางกลุ่ม นปช. ได้รับหรือไม่ ว่า ได้ให้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยตีความในทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจน ขณะเดียวกันตนก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ไปพลางก่อนด้วย
เมื่อถามว่าหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเยียวยาจะเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับในอดีตที่กลุ่ม นปช. เคยได้รับหรือไม่ ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า ตนเห็นที่ผ่านมาก็ได้ไม่เท่ากันสักครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้คงต้องรอฟังทางกฤษฎีกาพิจารณาหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินก่อนว่าจะครอบคลุมถึงไหน รวมถึงคงพิจารณาด้วยว่า การเยียวยาจะรวมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในอดีตที่ยังตกหล่น ไม่ได้รับการเยียวยาด้วยหรือไม่ และนายกฯ ก็ย้ำแล้วว่าต้องพิจารณาด้วยความเท่าเทียมกัน เพราะเป็นคนไทยด้วย.
ปนัดดา วอนคนไทยส่มัคคี นำแผ่นดินไปสู่แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง
"ม.ล.ปนัดดา" เรียกร้องคนไทยจงรักภักดีต่อสถาบัน ร่วมกันนำความสามัคคีสู่ประเทศ แนะคนการเมือง เลิกเอาวงศาคณาญาติมาเกี่ยวข้องการเมือง รอกฤษฎีกาชี้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชุมนุม "กปปส.-เสื้อแดง" ได้ 7.5 ล.เท่ากันหรือไม่ เผยอาจครอบคลุมชื่อตกหล่นในอดีตด้วย...
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ก.พ. ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ กองบัญชาการกองทัพไทย โดย กรมกิจการพลเรือนทหาร ได้จัดโครงการมวลชนกองทัพไทยร่วมใจเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ โดยมี พลโทบัณฑิตย์ บุณยะปาน เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร เป็นประธานในพิธีเปิด โดย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาบรรยายพิเศษเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์กับความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ” ใจความตอนหนึ่งว่า ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน อยู่ใต้ร่มพระบารมีเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมามีการนำการเมืองมาแบ่งแยกคนไทย ต้องอย่าลืมว่าทุกคนอยู่ได้ในผืนแผ่นดินนี้ด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกคนเกิดในยุคสมัย ในแผ่นดินของพระองค์ท่านทั้งนั้น แต่แปลกที่กลับมีคนบางกลุ่มข่มเหง รังแก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ธรรมชาติของคนไทยทุกคนที่ปลูกฝังกันมาแต่ไหนแต่ไร ก็ถูกสั่งสอนให้มีความจงรักภักดี ก็อยากให้ยึดตามนั้น ตนอยากให้ทุกคนช่วยกันฟื้นฟูประเทศกลับสู่แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า เมื่อปีที่แล้ว มีผู้บริหารท่านหนึ่งพูดกับคนในจังหวัดหนึ่งว่า ระวังให้ดีนะหากไปเลือกพรรคการเมืองพรรคนั้น พรรคนี้ ระวังให้ดีเถอะรัฐบาลจะไม่จัดสรรงบประมาณไปช่วยจังหวัดของคุณ ซึ่งถือเป็นคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบอย่างมาก เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เพราะเงินงบประมาณเป็นเงินภาษีของประเทศ เป็นภาษีที่ได้จากประชาชน แต่รสนิยมทางการเมือง เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล อย่านำเรื่องการเมืองมาแบ่งแยกบุคคลออกจากกัน อย่ามาแยกภาค แยกจังหวัด ทุกคนเป็นคนไทย อยู่ใต้ร่มพระบารมีเดียวกัน เราอยู่ได้ด้วยสถาบัน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวด้วยว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีความจงรักภักดี ทำให้ตัวอย่างให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งในอดีตเคยมีหนังสือต่างประเทศเรียกนาม พล.อ.เปรม ว่าเป็น “มิสเตอร์คลีน” ซึ่งสื่อไทยนำมาแปลความหมายว่า “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” ซึ่งหากหัวดำรงความถูกต้อง ลูกทีมก็จะดำเนินตาม ซึ่งมีการนำคำพูดนี้มาเปรียบกับพล.อ.เปรม ด้วย
“เดี๋ยวนี้สังคมไทยกล่าวคำเท็จกันเป็นเรื่องธรรมดา พูดขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว พูดให้ร้ายคนอื่น มีบทวิเคราะห์ของชาวอเมริกันระบุว่า หากประชาธิปไตยของประเทศจะก้าวเดินได้สู่อนาคตที่สดใส คนที่อยู่ในแวดวงการเมืองต้องเลิกโลภโมโทสัน เลิกเอาญาติ พวกพ้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องของญาติพี่น้อง ไม่ใช่เรื่องของวงศาคณาญาติ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองต้องไม่กล่าวคำเท็จ ต้องรู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องไม่ลืมตัวเป็นวัวลืมตีน แค่นี้การเมืองไทยก็จะไปได้ดีกว่าที่เคย เราก็ต้องทำให้ได้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่าการเมืองไม่ใช่เรื่องของวงศาคณาญาติ เป็นเรื่องของแผ่นดินและคนไทยทุกคน สำหรับอีกปีกว่าก็จะเกษียณแล้ว ก็คงพอกันที” ม.ล.ปนัดดา กล่าว
ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีความขัดแย้งเลย จนมาเมื่อสิบปีเศษๆ ที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้คนไทยแบ่งแยก จนเกิดเป็นความแตกแยก มีอาจารย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งมาพูดกับตนว่า ทะเลาะกันจนถึงขนาดนี้ ประหัตประหารกัน เป็นขั้ว เป็นฝ่าย ทะเลาะจนกลายเป็นศัตรูจะหลงเรียกว่าประชาธิปไตยอีกหรือ คนไทยเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เพราะตามหลักรัฐศาสตร์เรียกว่า อนาธิปไตย หมายถึงบ้านเมืองไม่มีขื่อ ไม่มีแป ดังนั้นหากจะให้เกิดความสามัคคีต้องเลิกแบ่งแยก กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญต้องมีความโปร่งใสหรือมีธรรมาภิบาลนั่นเอง เมื่อเราอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ก็ต้องซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน
หลังจากนั้น ม.ล.ปนัดดา ยังให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม กปปส. จะมีจำนวน 7.5 ล้านบาทเท่ากับสมัยที่ทางกลุ่ม นปช. ได้รับหรือไม่ ว่า ได้ให้ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยตีความในทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจน ขณะเดียวกันตนก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ไปพลางก่อนด้วย
เมื่อถามว่าหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเยียวยาจะเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับในอดีตที่กลุ่ม นปช. เคยได้รับหรือไม่ ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า ตนเห็นที่ผ่านมาก็ได้ไม่เท่ากันสักครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้คงต้องรอฟังทางกฤษฎีกาพิจารณาหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินก่อนว่าจะครอบคลุมถึงไหน รวมถึงคงพิจารณาด้วยว่า การเยียวยาจะรวมไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในอดีตที่ยังตกหล่น ไม่ได้รับการเยียวยาด้วยหรือไม่ และนายกฯ ก็ย้ำแล้วว่าต้องพิจารณาด้วยความเท่าเทียมกัน เพราะเป็นคนไทยด้วย.