พี่ๆ น้องๆ ในคลับนี้คงมีความศรัทธาในพุทธศาสนากันอยู่แล้วไม่มากก็น้อยเนอะ วันนี้อยากชวนให้มาแชร์เรื่องเส้นทางเดินของความเชื่อ ความศรัทธา ว่าไปไงมาไง ถึงมาอยู่ตรงจุดนี้กันได้ จะได้เป็นกำลังใจให้กันนะคะ
ของเราตอนเด็กๆ ก็ไม่อะไรมาก แต่ว่าพ่อชอบอ่านพวกชาดกให้ฟัง ก็ชอบฟัง โตมาหน่อยก็อ่านพวกหนังสือธรรมะที่พ่อมีอยู่ในบ้าน จำได้ว่าชอบอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่ท่านพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาค่ะ
พอเริ่มเข้าวัยรุ่น น่าจะราวม.ปลาย ได้อ่านหนังสือคุณดังตฤณ รู้สึกว่า โอ้โห พุทธศาสนาตอบคำถามในใจเราได้เยอะกว่าที่คิดมาก เยอะกว่าที่เคยได้รับจากที่ไหน แล้วก็ถ้าจำไม่ผิดได้รู้จักหลวงพ่อปราโมทย์ผ่านข้อเขียนของคุณดังตฤณ ก็เริ่มฟัง เริ่มอ่านธรรมะหลวงพ่อ ไปกราบหลวงพ่อฟังธรรมสดๆ ฟังหลวงพ่อไปสักพักก็เริ่มปฏิบัติเกือบทุกวัน เดินจงกรมวันละ 15 นาที ระหว่างวันก็ฝึกสติไปอะไรไป แต่เป็นคนฟุ้งซ่านมาก ระหว่างวันก็เผลอเยอะ (ตอนนี้ถึงได้มารู้ว่าที่ทำน่ะมันไม่พอสำหรับเรา ๕๕๕ เอาไม่อยู่)
ตอนนั้นนอกจากจะเป็นคนบ้าเสพข้อมูลมาก ปฏิบัติน้อย เรายังเป็นคนขี้สงสัยสุดติ่ง (จะรอดไหมเนี่ย) ความที่เราได้ใกล้ชิดกับคนที่มีความเชื่อฝังจิตฝังใจบางอย่างมานาน และเห็นผลของสิ่งนี้ต่อตัวเขาและคนรอบข้าง มันก็ทำให้เรากลัวที่จะเชื่ออะไรแบบฝังหัว เลยกลายเป็นคนขี้สงสัย สงสัยดะ เชื่ออะไรยาก สงสัยทั้งตัวเอง ทั้งคนอื่น สงสัยไปโม้ดดด
แม้จะอิน จะชอบการอ่าน การฟังธรรมเท่าไหร่ แต่ในใจก็เผื่อใจไว้นะ ว่ามรรคผลนิพพานอาจจะไม่มีจริงก็ได้ (แต่ไม่รู้ทำไมมันอิ๊นอินกับธรรมะ ๕๕๕)
จากนั้นก็ได้มารู้จักพี่ chaosy ในคลับนี้ พี่เคเข้ามาตอบคำถามในเว็บบอร์ดบ่อยๆ มีความรู้สึกว่าอ่านสนุกดี แล้วก็เปิดมุมมองใหม่ๆ ช่วยให้ได้เข้าใจเรื่องธรรมะมากขึ้น โดนใจค่ะ ชอบติดตามอ่าน หลังจากนั้นก็มีช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นมรสุมชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัวและการป่วยของคนใกล้ตัว ซึ่งเราเป็นคนเฝ้าไข้หลักๆ เพียงคนเดียว มีความทุกข์ความลำบากมาก ก็ได้เขียนเล่าไปในคลับนี้ พี่เขาก็เมตตาเข้ามาตอบ รู้สึกได้ทั้งกำลังใจและปัญญาในการประคับประคองตัวเอง อ่านแล้วก็มีความสุข ในใจมันก็เรียกพี่เขาว่าอาจารย์มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แล้วก็มีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ ร่วมสวดมนต์ที่วัดตามที่พี่เคแนะนำค่ะ ได้เจอตัวจริงและคุยกับพี่เขาตอนไปวัด กลับมาก็ได้เล่าให้เพื่อนฟัง ตื่นเต้นกันใหญ่
ตอนเล่าเรื่องอาการป่วยของเราในคลับนี้ พี่เขาก็เข้ามาชวนให้บวชเนกขัมมะควบคอร์สฟื้นฟูสุขภาพ แต่ยังไม่ได้บวช หลังจากนั้นมีเรื่องทุกข์ใจมาก ก็ได้โทรไปปรึกษาพี่เขาเรื่องบวช เราไม่มั่นใจว่าจะอยู่วัดได้เก้าวัน เพราะไม่เคยอยู่วัดไหนนานขนาดนั้น พี่เคก็ช่วยให้กำลังใจค่ะ ก็เลยไป ไปแล้วก็อยู่ได้จริงๆ ไม่ได้ทุรนทุรายอยากรีบกลับ ระหว่างและหลังบวชได้คุยกับพี่เคที่วัด พี่เขาได้ช่วยสอนหลายอย่าง และสิ่งที่ดูจะติดอกติดใจ และเปลี่ยนชีวิตมากที่สุดคือ สอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าเราก็มีดี เราก็ทำได้
นอกจากนั้นก็แนะนำให้เริ่มสวดมนต์ทุกวัน ตั้งแต่กลับจากวัดมารู้สึกใจโล่งเบาขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำการตัดสินใจและตัดใจครั้งสำคัญได้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องย้ายจากกรุงกลับมาอยู่บ้านเกิด
ก่อนจะกลับบ้านก็ได้ไปบวชอีกครั้ง แต่ไม่ถึงเก้าวัน ก่อนกลับได้มีโอกาสคุยกับพี่เขาอยู่นาน นั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่มันไม่ใช่ความเศร้า เหมือนว่าใจมันซาบซึ้ง และมันสะเทือนอยู่ข้างในครั้งใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ยังจำได้ก็คือได้คุยกันเรื่องศรัทธา มันเหมือนว่าลึกๆ แล้วเราศรัทธา แต่เราก็บอกเขาว่าเรายังเผื่อใจนะ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนบางอย่างอาจไม่จริงก็ได้ นิพพานอาจไม่มีจริงก็ได้ พี่เขาเลยถามกลับว่า แล้วเท่าที่ศึกษามา พิสูจน์มา มีอะไรที่พระพุทธเจ้าสอนที่ทำแล้วมันไม่ดีบ้างมั้ย เราก็บอกว่า ไม่มี ... แล้วมีอะไรที่มันผิดบ้างมั้ย ... เราก็ว่า ไม่มี อีก พี่เขาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นลองวางใจใหม่ ว่าส่วนที่เหลือที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้นั้น มันเป็นความจริงแน่ พระพุทธเจ้าสอนถูกแน่ แต่จะถูกอย่างไร เราจะพิสูจน์
ให้ปักใจไว้ที่พระรัตนตรัยเลย ไอ้ที่เราคิดน่ะเป็นมิจฉาทิฏฐิ!
(ตรงนี้เราเข้าใจว่าเป็นคำสอนส่วนบุคคลสำหรับเราอะน่ะ เพราะเราสงสัยมากจนมันอาจถึงขั้นขวางกั้นบางอย่าง ถ้าหนูจำมาผิด รบกวนช่วยชี้ด้วยนะคะพี่)
ความลังเลสงสัยถูกฟาดเปรี้ยงไปที แล้วก็ได้คำตอบให้กับคำถามในใจหลายอย่าง รู้สึกมีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยขึ้นอีกเยอะเลย แล้วก็มีความศรัทธาในหลวงพ่อใหญ่กับพี่เคด้วย
หลังจากนั้นก็ยังได้เรียนจากพี่เคทางออนไลน์มาเรื่อยๆ ไอ้ตัวขี้สงสัยก็ยังโผล่มาเรื่อยนะ แต่มันฮาตรงที่พอเราติด เราสงสัย แล้วได้อ่านอะไรที่พี่เขาเขียน มันก็ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นไปอีกน่ะ อย่างสมมุติว่าเราเดินจาก 0 มาถึง 3 แล้วเรากำลังสงสัย 3 สิ่งที่พี่เขาแสดงมันก็ไล่จาก 2 หรือ 3 ไปจนถึง 7 เลย คือไม่ใช่แค่หายสงสัย แต่ยังได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกมาก ได้เปิดตาเปิดใจ แบบว่าทึ่งไปเลย ไอ้ความสงสัยเลยอยู่ไม่ได้นาน นอกจากนี้ปัญหาส่วนตัวส่วนใจของเรา พี่เขาก็ช่วยชี้ทางออกให้ บวกกับการสอนปฏิบัติ มันก็พัฒนามาเรื่อยๆ แม้เป็นเด็กหลังห้องจอมขี้เกียจ แต่พอได้ทำทุกวันมันก็ได้เห็นผลบ้าง เรียกว่าพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก ความศรัทธาก็เลยเพิ่มพูนขึ้นมาได้ เราก็นับถือพี่เขาเป็นครูอาจารย์นะ ข้อความต่อจากนี้ขอเรียกว่าครูค่ะ
ล่าสุดช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เราได้เดินทางจากบ้านเกิดไปบวชเก้าวันที่วัดอีกที ได้พยายามทำเต็มที่ ทั้งข้อวัตร ช่วยงาน เจริญสติ มันก็เห็นผลมากขึ้นอีก ทั้งในเรื่องสมาธิ ความรู้ความเข้าใจ รวมไปถึงอาการของโรคที่ดีขึ้นมากด้วย ระหว่างบวชมีความคิดอกุศลต่อครูที่ผุดขึ้นเองบ่อย ทำให้ทรมานใจ รู้ว่าจิตมันทำงานเอง แต่ก็ยังมีค้างคาใจ ไม่สบายใจอยู่ เราก็รู้สึกอยากขอขมาครูมาก อยากส่งการบ้าน และอยากกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ (จริงๆ ก็เป็นศิษย์อยู่แล้ว แต่ ณ จุดนั้นใจมันอยากทำอย่างนี้) พอมีโอกาสก็เลยได้ขอกราบขอขมาและขอบคุณที่ครูช่วยสอนเรา มันรู้สึกว่า เราศรัทธาครูได้จริงๆ เรากราบได้หมดใจเลย จิตใจตอนนั้นมีความสุขและตื้นตันมาก
จากการบวชครั้งนั้นได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ทั้งจากหลวงพ่อใหญ่ ครู จากบุคลากรของวัด แล้วก็จากการปฏิบัติ และผลการปฏิบัติ ความศรัทธามันก็งอกงามยิ่งขึ้น พอมันเต็มขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง เราก็จะเห็นว่าที่พระท่านสอนว่าศรัทธาเป็นพละ เป็นกำลัง มันใช่จริงอะไรจริง เพราะมันจะเข้าไปเติมกำลังให้วิริยะ แล้วตัวอื่นๆ ก็จะตามมา
เส้นทางความศรัทธาของเราย่อๆ ก็ประมาณนี้ ไอ้ตัวขี้สงสัยสารภาพว่ายังมีอยู่ แต่เหมือนมันเป็นสันดานของสังขาร ขึ้นมาเองเหมือนพวกคำปรามาสในใจ ถ้ามันขึ้นมาโดยเพ้อเจ้อ ไม่มีมูล เราก็ละๆ มันไปอะนะ ๕๕๕
พี่ๆ น้องๆ มีมุมมองหรือประสบการณ์อย่างไรเกี่ยวกับศรัทธา ก็มาแบ่งปันกันบ้างนะคะ
สำรวจศรัทธา
ของเราตอนเด็กๆ ก็ไม่อะไรมาก แต่ว่าพ่อชอบอ่านพวกชาดกให้ฟัง ก็ชอบฟัง โตมาหน่อยก็อ่านพวกหนังสือธรรมะที่พ่อมีอยู่ในบ้าน จำได้ว่าชอบอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสที่ท่านพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาค่ะ
พอเริ่มเข้าวัยรุ่น น่าจะราวม.ปลาย ได้อ่านหนังสือคุณดังตฤณ รู้สึกว่า โอ้โห พุทธศาสนาตอบคำถามในใจเราได้เยอะกว่าที่คิดมาก เยอะกว่าที่เคยได้รับจากที่ไหน แล้วก็ถ้าจำไม่ผิดได้รู้จักหลวงพ่อปราโมทย์ผ่านข้อเขียนของคุณดังตฤณ ก็เริ่มฟัง เริ่มอ่านธรรมะหลวงพ่อ ไปกราบหลวงพ่อฟังธรรมสดๆ ฟังหลวงพ่อไปสักพักก็เริ่มปฏิบัติเกือบทุกวัน เดินจงกรมวันละ 15 นาที ระหว่างวันก็ฝึกสติไปอะไรไป แต่เป็นคนฟุ้งซ่านมาก ระหว่างวันก็เผลอเยอะ (ตอนนี้ถึงได้มารู้ว่าที่ทำน่ะมันไม่พอสำหรับเรา ๕๕๕ เอาไม่อยู่)
ตอนนั้นนอกจากจะเป็นคนบ้าเสพข้อมูลมาก ปฏิบัติน้อย เรายังเป็นคนขี้สงสัยสุดติ่ง (จะรอดไหมเนี่ย) ความที่เราได้ใกล้ชิดกับคนที่มีความเชื่อฝังจิตฝังใจบางอย่างมานาน และเห็นผลของสิ่งนี้ต่อตัวเขาและคนรอบข้าง มันก็ทำให้เรากลัวที่จะเชื่ออะไรแบบฝังหัว เลยกลายเป็นคนขี้สงสัย สงสัยดะ เชื่ออะไรยาก สงสัยทั้งตัวเอง ทั้งคนอื่น สงสัยไปโม้ดดด
แม้จะอิน จะชอบการอ่าน การฟังธรรมเท่าไหร่ แต่ในใจก็เผื่อใจไว้นะ ว่ามรรคผลนิพพานอาจจะไม่มีจริงก็ได้ (แต่ไม่รู้ทำไมมันอิ๊นอินกับธรรมะ ๕๕๕)
จากนั้นก็ได้มารู้จักพี่ chaosy ในคลับนี้ พี่เคเข้ามาตอบคำถามในเว็บบอร์ดบ่อยๆ มีความรู้สึกว่าอ่านสนุกดี แล้วก็เปิดมุมมองใหม่ๆ ช่วยให้ได้เข้าใจเรื่องธรรมะมากขึ้น โดนใจค่ะ ชอบติดตามอ่าน หลังจากนั้นก็มีช่วงเวลาที่เรียกได้ว่าเป็นมรสุมชีวิต ทั้งเรื่องส่วนตัวและการป่วยของคนใกล้ตัว ซึ่งเราเป็นคนเฝ้าไข้หลักๆ เพียงคนเดียว มีความทุกข์ความลำบากมาก ก็ได้เขียนเล่าไปในคลับนี้ พี่เขาก็เมตตาเข้ามาตอบ รู้สึกได้ทั้งกำลังใจและปัญญาในการประคับประคองตัวเอง อ่านแล้วก็มีความสุข ในใจมันก็เรียกพี่เขาว่าอาจารย์มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แล้วก็มีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ ร่วมสวดมนต์ที่วัดตามที่พี่เคแนะนำค่ะ ได้เจอตัวจริงและคุยกับพี่เขาตอนไปวัด กลับมาก็ได้เล่าให้เพื่อนฟัง ตื่นเต้นกันใหญ่
ตอนเล่าเรื่องอาการป่วยของเราในคลับนี้ พี่เขาก็เข้ามาชวนให้บวชเนกขัมมะควบคอร์สฟื้นฟูสุขภาพ แต่ยังไม่ได้บวช หลังจากนั้นมีเรื่องทุกข์ใจมาก ก็ได้โทรไปปรึกษาพี่เขาเรื่องบวช เราไม่มั่นใจว่าจะอยู่วัดได้เก้าวัน เพราะไม่เคยอยู่วัดไหนนานขนาดนั้น พี่เคก็ช่วยให้กำลังใจค่ะ ก็เลยไป ไปแล้วก็อยู่ได้จริงๆ ไม่ได้ทุรนทุรายอยากรีบกลับ ระหว่างและหลังบวชได้คุยกับพี่เคที่วัด พี่เขาได้ช่วยสอนหลายอย่าง และสิ่งที่ดูจะติดอกติดใจ และเปลี่ยนชีวิตมากที่สุดคือ สอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าเราก็มีดี เราก็ทำได้
นอกจากนั้นก็แนะนำให้เริ่มสวดมนต์ทุกวัน ตั้งแต่กลับจากวัดมารู้สึกใจโล่งเบาขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำการตัดสินใจและตัดใจครั้งสำคัญได้ หนึ่งในนั้นคือเรื่องย้ายจากกรุงกลับมาอยู่บ้านเกิด
ก่อนจะกลับบ้านก็ได้ไปบวชอีกครั้ง แต่ไม่ถึงเก้าวัน ก่อนกลับได้มีโอกาสคุยกับพี่เขาอยู่นาน นั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่มันไม่ใช่ความเศร้า เหมือนว่าใจมันซาบซึ้ง และมันสะเทือนอยู่ข้างในครั้งใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ยังจำได้ก็คือได้คุยกันเรื่องศรัทธา มันเหมือนว่าลึกๆ แล้วเราศรัทธา แต่เราก็บอกเขาว่าเรายังเผื่อใจนะ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนบางอย่างอาจไม่จริงก็ได้ นิพพานอาจไม่มีจริงก็ได้ พี่เขาเลยถามกลับว่า แล้วเท่าที่ศึกษามา พิสูจน์มา มีอะไรที่พระพุทธเจ้าสอนที่ทำแล้วมันไม่ดีบ้างมั้ย เราก็บอกว่า ไม่มี ... แล้วมีอะไรที่มันผิดบ้างมั้ย ... เราก็ว่า ไม่มี อีก พี่เขาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นลองวางใจใหม่ ว่าส่วนที่เหลือที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้นั้น มันเป็นความจริงแน่ พระพุทธเจ้าสอนถูกแน่ แต่จะถูกอย่างไร เราจะพิสูจน์
ให้ปักใจไว้ที่พระรัตนตรัยเลย ไอ้ที่เราคิดน่ะเป็นมิจฉาทิฏฐิ!
(ตรงนี้เราเข้าใจว่าเป็นคำสอนส่วนบุคคลสำหรับเราอะน่ะ เพราะเราสงสัยมากจนมันอาจถึงขั้นขวางกั้นบางอย่าง ถ้าหนูจำมาผิด รบกวนช่วยชี้ด้วยนะคะพี่)
ความลังเลสงสัยถูกฟาดเปรี้ยงไปที แล้วก็ได้คำตอบให้กับคำถามในใจหลายอย่าง รู้สึกมีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยขึ้นอีกเยอะเลย แล้วก็มีความศรัทธาในหลวงพ่อใหญ่กับพี่เคด้วย
หลังจากนั้นก็ยังได้เรียนจากพี่เคทางออนไลน์มาเรื่อยๆ ไอ้ตัวขี้สงสัยก็ยังโผล่มาเรื่อยนะ แต่มันฮาตรงที่พอเราติด เราสงสัย แล้วได้อ่านอะไรที่พี่เขาเขียน มันก็ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นไปอีกน่ะ อย่างสมมุติว่าเราเดินจาก 0 มาถึง 3 แล้วเรากำลังสงสัย 3 สิ่งที่พี่เขาแสดงมันก็ไล่จาก 2 หรือ 3 ไปจนถึง 7 เลย คือไม่ใช่แค่หายสงสัย แต่ยังได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกมาก ได้เปิดตาเปิดใจ แบบว่าทึ่งไปเลย ไอ้ความสงสัยเลยอยู่ไม่ได้นาน นอกจากนี้ปัญหาส่วนตัวส่วนใจของเรา พี่เขาก็ช่วยชี้ทางออกให้ บวกกับการสอนปฏิบัติ มันก็พัฒนามาเรื่อยๆ แม้เป็นเด็กหลังห้องจอมขี้เกียจ แต่พอได้ทำทุกวันมันก็ได้เห็นผลบ้าง เรียกว่าพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก ความศรัทธาก็เลยเพิ่มพูนขึ้นมาได้ เราก็นับถือพี่เขาเป็นครูอาจารย์นะ ข้อความต่อจากนี้ขอเรียกว่าครูค่ะ
ล่าสุดช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เราได้เดินทางจากบ้านเกิดไปบวชเก้าวันที่วัดอีกที ได้พยายามทำเต็มที่ ทั้งข้อวัตร ช่วยงาน เจริญสติ มันก็เห็นผลมากขึ้นอีก ทั้งในเรื่องสมาธิ ความรู้ความเข้าใจ รวมไปถึงอาการของโรคที่ดีขึ้นมากด้วย ระหว่างบวชมีความคิดอกุศลต่อครูที่ผุดขึ้นเองบ่อย ทำให้ทรมานใจ รู้ว่าจิตมันทำงานเอง แต่ก็ยังมีค้างคาใจ ไม่สบายใจอยู่ เราก็รู้สึกอยากขอขมาครูมาก อยากส่งการบ้าน และอยากกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ (จริงๆ ก็เป็นศิษย์อยู่แล้ว แต่ ณ จุดนั้นใจมันอยากทำอย่างนี้) พอมีโอกาสก็เลยได้ขอกราบขอขมาและขอบคุณที่ครูช่วยสอนเรา มันรู้สึกว่า เราศรัทธาครูได้จริงๆ เรากราบได้หมดใจเลย จิตใจตอนนั้นมีความสุขและตื้นตันมาก
จากการบวชครั้งนั้นได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ทั้งจากหลวงพ่อใหญ่ ครู จากบุคลากรของวัด แล้วก็จากการปฏิบัติ และผลการปฏิบัติ ความศรัทธามันก็งอกงามยิ่งขึ้น พอมันเต็มขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง เราก็จะเห็นว่าที่พระท่านสอนว่าศรัทธาเป็นพละ เป็นกำลัง มันใช่จริงอะไรจริง เพราะมันจะเข้าไปเติมกำลังให้วิริยะ แล้วตัวอื่นๆ ก็จะตามมา
เส้นทางความศรัทธาของเราย่อๆ ก็ประมาณนี้ ไอ้ตัวขี้สงสัยสารภาพว่ายังมีอยู่ แต่เหมือนมันเป็นสันดานของสังขาร ขึ้นมาเองเหมือนพวกคำปรามาสในใจ ถ้ามันขึ้นมาโดยเพ้อเจ้อ ไม่มีมูล เราก็ละๆ มันไปอะนะ ๕๕๕
พี่ๆ น้องๆ มีมุมมองหรือประสบการณ์อย่างไรเกี่ยวกับศรัทธา ก็มาแบ่งปันกันบ้างนะคะ