"เรื่องการปกครองคณะสงฆ์"
..............ปัญหาของการปกครองสงฆ์ไทยในคณะนี้ คือ การที่สงฆ์ไทยถูกปกครองในรูปแบบของ "เผด็จการ" อำนาจทั้ง 3 ที่ควรจะแยกกัน คือ 1)บริหาร 2)นิติบัญญัติ 3)ตุลาการ กลับมารวมอยู่ที่มหาเถระสมาคมเพียงที่เดียว ซึ่งจะว่าไปก็ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ(ที่จะมีในอนาคต) คือมันต้องมีสักหมวดแหละที่ว่า "การมีส่วนร่วมทางการปกครองของประชาชนชาวไทย" ซึ่งพระสงฆ์ทั้งสี่แสนกว่ารูปที่อยู่ตามวัดตามวา สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองคณะสงฆ์ไทยบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่นี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย พระผู้น้อยต้องเดินตาม อยู่ตามสิ่งที่มหาเถรได้วางไว้ให้ โดนไม่มีสิทธิ์หืออือกับเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนสีจีวรเอาใจ(ใครก็ไม่รู้พูดไม่ได้) หรือแม้กระทั่งห้ามนำเขาสัตว์ กระดูกสัตว์มาทำเป็นของขลัง(แล้วด้ามบัตรยศของพวกท่านล่ะ มันทำมาจากงาช้างมิใช่หรือ) โดยที่กฎเหล่านี้ออกมามีผู้ที่ไม่เห็นด้วยมากเหลือคณา แต่กลับแสดงความเห็นไม่ได้ เพราะเกรงกว่าถ้าแสดงออกไปแล้วก็เหมือนเล่นกับไฟที่มันกำลังลุก แค่เอามือไปแตะก็ร้อนเสียดกายแล้ว เสรีภาพของสงฆ์ทางด้านนี้จึงไม่มีเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ามหาเถรกลับไม่แยแสสิ่งเหล่านี้ อยู่ทนโท้จนหงำเหงือก เดินยังพยุงประคองกันมาเข้าประชุม จนประคองมาแล้วนะท่าน! เดินยังไม่ไหวแล้ว ทางด้านสมองล่ะทีนี้ จะมีเหลือสักกี่มากน้อย แล้วกฎสงฆ์ต้องออกโดยท่านเหล่านี้นี่หรอ
.............ปัญหาของความศรัทธาของพุทธศาสนา เป็นปัญหาที่เราเอาไปไว้ตรงไหน ตรงพระวินัย? ตรงบทสวด? ตรงพฤติกรรมของภิกษุ? หรือว่าตรงไหน นักสังคมวิทยาได้ยกเหตุผลแห่งความศรัทธาไว้ 3 ประการคือ 1)ความรู้ความเข้าใจในคำสอนศาสนานั้น 2)อารมณ์ร่วม 3)การปฏิบัติ แต่สิ่งที่สำคัญ และเป็นตัวเชื่อม และไม่ต้องการเหตุผลอื่นใดเลยในความศรัทธาคือ อารมณ์ร่วม ยกตัวอย่างกรณีวัดพระธรรมกาย วัดที่สงฆ์หลายๆท่านหรือแม้กระทั่งฆารวาสหลายๆคน ให้คติในแง่ลบกับสำนักนี้มากมาย แต่สิ่งที่เขาทำได้และน่าชื่นชมมาก คือ เมกะอีเวนหลายๆอย่างที่เขาทำออกมาได้สวยงาม ยิ่งใหญ่ จนทำให้เรามีอารมณ์อยากจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกหลายๆครั้งจนเขาได้ใจ เพราะเขาทำอะไรแล้วทำได้สวยงาม เป็นระเบียบ ไม่ต้องอาศัยความเรียบร้อยของบุคคล แต่อาศัยความเรียบร้อยของหมู่คณะที่เกิดจากความพร้อมเพรียง ทำให้มีอารมณ์ร่วม เกิดเป็นศรัทธาที่ไร้เหตุผล แต่มองไปรอบๆ วัดหลายๆวัดที่ทำได้เพียงก่นด่าวัดนี้กลับเป็นอย่างไร ปกครองกันให้เรียบร้อยยังทำไมได้ ร่วมใจกันในวัดนั้นยังทำไม่ได้ แก่งแย่งชิงดีกันภายใน ต่างคนต่างก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้แผลกันมา ถ้าเกิดจะชนกันอีก คงจะจี้แผลเก่ากันเป็นแน่ ก็เลยอยู่นิ่งๆ บริหารงานพุทธศาสนาเชิงรับไป คือ "อะไรเกิดค่อยแก้ ปัญหาอะไรมาค่อยคิด" โดยที่ไม่คิดรับมือไว้ก่อน ไม่คิดปรามไว้ก่อนที่จะเกิด จึงเป็นปัญหาด้านความศรัทธา ไม่เป็นระเบียบ
................มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "ที่ใดมีอำนาจ ที่นั้นมีเงิน ที่ใดมีเงิน ที่นั้นมีปัญหา ที่ใดมีปัญหา ที่นั้นมีความขัดแย้ง ที่ใดมีความขัดแย้ง ที่นั้นมีความล้มเหลว" ซึ่งการบริหารงานสงฆ์ในคณะนี้ เล่งมอง จ้องมองถึงผลประโยชน์ของตน! มากกว่าที่จะมองเห็นผลประโยชน์ส่วนรวม ทำอะไรแล้วได้หน้าได้ตาถึงจะออกมาเสนอหน้า เหตุเพราะอยากได้สิ่งที่เรียกว่า "สรรเสริญ" พอได้สรรเสริญ แล้วจึงได้ยศ พอได้ยศแล้วจึงได้เงิน แหม่ๆ ก็คณะสงฆ์ เล่นมีพัดยศมาล่อตาล่อใจให้ใฝ่ฝัน ถ้าได้มันมาครองคงสุขศรี พระที่บวชเข้ามาจึงขวนขวายที่จะเอามามันมาครอง "เพราะเส้นทางพระเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ชนชั้นล่าง ก้าวขึ้นไปสู่ชนชั้นนำ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเอง" แหม่ๆ ก็พระคุณเจ้าเล่นเลื่อนยศทีจัดอีเว้นได้เงิน ได้ปัจจัยกันทีเป็นล้าน เป็นสิบล้าน ก็เอาเงินมาต่อยอดไปเรื่อยๆจนกว่าตัวเองจะพอใจ คือ เรียกง่ายๆว่า "เอาศรัทธามาหากิน" เป็นสงฆ์กาฝาก หากแต่พระรูปใดที่ไม่มียศมีตำแหน่งเล่า จะเป็นอย่างไร ตอนยังเป็นหลวงพี่ก็พอจะประทังตัวเองไปได้อยู่นะ เรียกได้ว่า สวดไปวันๆ แต่พอแก่แล้วอะสิ ถ้าไม่มียศก็ไม่มีโยมมาถวายเงิน ก็ไม่มีคนศรัทธา อดตายจ้า! จึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องตะเกียดตะกาย ปีนป่ายกันขึ้นไปสู่จุดสูงๆ เท่าที่ตนจะทำได้
................ในขณะที่เรามีความรู้สึกว่า จะต้องมีคนสักคนขึ้นมาแก้ปัญหาเหล่านี้(คือรอสังฆราชอะนะ) แต่ก็แล้วก็เล่าเวลาผ่านพ้นสังฆราชาไปกี่สิบรูป ปัญหาเหล่านี้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ในเมื่อคนที่ได้นั่งตำแหน่งบริหารคณะสงฆ์ที่ขึ้นมาทุกรุ่น กลายเป็นคน "ล้าสมัย" ไปเสียแล้ว ไม่เข้ากับยุคใหม่ที่เปลี่ยนขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่โลกหมุนไปจนต้องการเหตุผลและเสรี แต่ของดีของเรามีแค่สิ่งที่พูดว่า "อย่าลบหลู่"
ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์
..............ปัญหาของการปกครองสงฆ์ไทยในคณะนี้ คือ การที่สงฆ์ไทยถูกปกครองในรูปแบบของ "เผด็จการ" อำนาจทั้ง 3 ที่ควรจะแยกกัน คือ 1)บริหาร 2)นิติบัญญัติ 3)ตุลาการ กลับมารวมอยู่ที่มหาเถระสมาคมเพียงที่เดียว ซึ่งจะว่าไปก็ขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ(ที่จะมีในอนาคต) คือมันต้องมีสักหมวดแหละที่ว่า "การมีส่วนร่วมทางการปกครองของประชาชนชาวไทย" ซึ่งพระสงฆ์ทั้งสี่แสนกว่ารูปที่อยู่ตามวัดตามวา สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองคณะสงฆ์ไทยบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่นี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย พระผู้น้อยต้องเดินตาม อยู่ตามสิ่งที่มหาเถรได้วางไว้ให้ โดนไม่มีสิทธิ์หืออือกับเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนสีจีวรเอาใจ(ใครก็ไม่รู้พูดไม่ได้) หรือแม้กระทั่งห้ามนำเขาสัตว์ กระดูกสัตว์มาทำเป็นของขลัง(แล้วด้ามบัตรยศของพวกท่านล่ะ มันทำมาจากงาช้างมิใช่หรือ) โดยที่กฎเหล่านี้ออกมามีผู้ที่ไม่เห็นด้วยมากเหลือคณา แต่กลับแสดงความเห็นไม่ได้ เพราะเกรงกว่าถ้าแสดงออกไปแล้วก็เหมือนเล่นกับไฟที่มันกำลังลุก แค่เอามือไปแตะก็ร้อนเสียดกายแล้ว เสรีภาพของสงฆ์ทางด้านนี้จึงไม่มีเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ามหาเถรกลับไม่แยแสสิ่งเหล่านี้ อยู่ทนโท้จนหงำเหงือก เดินยังพยุงประคองกันมาเข้าประชุม จนประคองมาแล้วนะท่าน! เดินยังไม่ไหวแล้ว ทางด้านสมองล่ะทีนี้ จะมีเหลือสักกี่มากน้อย แล้วกฎสงฆ์ต้องออกโดยท่านเหล่านี้นี่หรอ
.............ปัญหาของความศรัทธาของพุทธศาสนา เป็นปัญหาที่เราเอาไปไว้ตรงไหน ตรงพระวินัย? ตรงบทสวด? ตรงพฤติกรรมของภิกษุ? หรือว่าตรงไหน นักสังคมวิทยาได้ยกเหตุผลแห่งความศรัทธาไว้ 3 ประการคือ 1)ความรู้ความเข้าใจในคำสอนศาสนานั้น 2)อารมณ์ร่วม 3)การปฏิบัติ แต่สิ่งที่สำคัญ และเป็นตัวเชื่อม และไม่ต้องการเหตุผลอื่นใดเลยในความศรัทธาคือ อารมณ์ร่วม ยกตัวอย่างกรณีวัดพระธรรมกาย วัดที่สงฆ์หลายๆท่านหรือแม้กระทั่งฆารวาสหลายๆคน ให้คติในแง่ลบกับสำนักนี้มากมาย แต่สิ่งที่เขาทำได้และน่าชื่นชมมาก คือ เมกะอีเวนหลายๆอย่างที่เขาทำออกมาได้สวยงาม ยิ่งใหญ่ จนทำให้เรามีอารมณ์อยากจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกหลายๆครั้งจนเขาได้ใจ เพราะเขาทำอะไรแล้วทำได้สวยงาม เป็นระเบียบ ไม่ต้องอาศัยความเรียบร้อยของบุคคล แต่อาศัยความเรียบร้อยของหมู่คณะที่เกิดจากความพร้อมเพรียง ทำให้มีอารมณ์ร่วม เกิดเป็นศรัทธาที่ไร้เหตุผล แต่มองไปรอบๆ วัดหลายๆวัดที่ทำได้เพียงก่นด่าวัดนี้กลับเป็นอย่างไร ปกครองกันให้เรียบร้อยยังทำไมได้ ร่วมใจกันในวัดนั้นยังทำไม่ได้ แก่งแย่งชิงดีกันภายใน ต่างคนต่างก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะรู้แผลกันมา ถ้าเกิดจะชนกันอีก คงจะจี้แผลเก่ากันเป็นแน่ ก็เลยอยู่นิ่งๆ บริหารงานพุทธศาสนาเชิงรับไป คือ "อะไรเกิดค่อยแก้ ปัญหาอะไรมาค่อยคิด" โดยที่ไม่คิดรับมือไว้ก่อน ไม่คิดปรามไว้ก่อนที่จะเกิด จึงเป็นปัญหาด้านความศรัทธา ไม่เป็นระเบียบ
................มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า "ที่ใดมีอำนาจ ที่นั้นมีเงิน ที่ใดมีเงิน ที่นั้นมีปัญหา ที่ใดมีปัญหา ที่นั้นมีความขัดแย้ง ที่ใดมีความขัดแย้ง ที่นั้นมีความล้มเหลว" ซึ่งการบริหารงานสงฆ์ในคณะนี้ เล่งมอง จ้องมองถึงผลประโยชน์ของตน! มากกว่าที่จะมองเห็นผลประโยชน์ส่วนรวม ทำอะไรแล้วได้หน้าได้ตาถึงจะออกมาเสนอหน้า เหตุเพราะอยากได้สิ่งที่เรียกว่า "สรรเสริญ" พอได้สรรเสริญ แล้วจึงได้ยศ พอได้ยศแล้วจึงได้เงิน แหม่ๆ ก็คณะสงฆ์ เล่นมีพัดยศมาล่อตาล่อใจให้ใฝ่ฝัน ถ้าได้มันมาครองคงสุขศรี พระที่บวชเข้ามาจึงขวนขวายที่จะเอามามันมาครอง "เพราะเส้นทางพระเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ชนชั้นล่าง ก้าวขึ้นไปสู่ชนชั้นนำ โดยที่ไม่ต้องใช้เงินตัวเอง" แหม่ๆ ก็พระคุณเจ้าเล่นเลื่อนยศทีจัดอีเว้นได้เงิน ได้ปัจจัยกันทีเป็นล้าน เป็นสิบล้าน ก็เอาเงินมาต่อยอดไปเรื่อยๆจนกว่าตัวเองจะพอใจ คือ เรียกง่ายๆว่า "เอาศรัทธามาหากิน" เป็นสงฆ์กาฝาก หากแต่พระรูปใดที่ไม่มียศมีตำแหน่งเล่า จะเป็นอย่างไร ตอนยังเป็นหลวงพี่ก็พอจะประทังตัวเองไปได้อยู่นะ เรียกได้ว่า สวดไปวันๆ แต่พอแก่แล้วอะสิ ถ้าไม่มียศก็ไม่มีโยมมาถวายเงิน ก็ไม่มีคนศรัทธา อดตายจ้า! จึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องตะเกียดตะกาย ปีนป่ายกันขึ้นไปสู่จุดสูงๆ เท่าที่ตนจะทำได้
................ในขณะที่เรามีความรู้สึกว่า จะต้องมีคนสักคนขึ้นมาแก้ปัญหาเหล่านี้(คือรอสังฆราชอะนะ) แต่ก็แล้วก็เล่าเวลาผ่านพ้นสังฆราชาไปกี่สิบรูป ปัญหาเหล่านี้ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ในเมื่อคนที่ได้นั่งตำแหน่งบริหารคณะสงฆ์ที่ขึ้นมาทุกรุ่น กลายเป็นคน "ล้าสมัย" ไปเสียแล้ว ไม่เข้ากับยุคใหม่ที่เปลี่ยนขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่โลกหมุนไปจนต้องการเหตุผลและเสรี แต่ของดีของเรามีแค่สิ่งที่พูดว่า "อย่าลบหลู่"