ตอนนี้ผมเปิดร้านกาแฟครับ

เห็นด้วยกับคุณ ผู้ประสบภัยจากความรัก ค่ะ กลิ่นมีผลกับยอดขายอย่างมาก เพียงแค่มีเครื่องปล่อยกลิ่น(ซึ่งต้นทุนต่ำมาก) ก็สามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นในระยะยาวค่ะ เพราะคนเราตัดสินใจซื้อของด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผลกันทั้งนั้น(ผ่านรูป รส กลิ่น เสียง) เคยกันใช่ไหมคะว่าเดินออกมาจากบ้านไม่คิดว่าจะซื้อกาแฟ แต่พอเดินผ่านร้านกาแฟแล้วได้กลิ่น อยู่ๆก็อยากดื่มกาแฟขึ้นมาซะงั้น ตัวอย่างอื่นๆนอกจากร้านกาแฟก็มีให้เห็นค่ะ เช่น Auntie Anne's หรือพวกร้านขนมอบต่างๆในห้าง

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ากลับมาคือการที่ร้านกาแฟเป็นสื่อกลางในการพบป่ะกันหรือความเป็น Community ค่ะ ถ้าหากจขกท. เปิดร้านกาแฟแบบมีโต๊ะ เกาอี้ ให้ลูกค้านั่ง แนะเรานำว่าการบรรยากาศในร้านให้สวยงาม น่านั่ง น่าเป็นที่นัดหมายให้มาพูดคุยกัน ก็จะเชื่อมโยงร้านของเราเข้ากับไลฟสไตล์ของลูกค้าได้นะคะ บางทีการจัดกิจกรรมหรือ Work shop ในร้าน เช่นสอนการทำเมนูกาแฟสไตล์อาหรับ(สมมุติ > <) หรือสอนทำนู่น นี่ นั่น จัดเสวนาหัวข้ออะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับอิมเมจของร้าน ก็ถือเป็นการเรียกลูกค้าที่น่าสนใจดี เชื่อมลูกค้าที่ไม่รู้จักกันเข้าหากัน ได้สร้าง Community ระหว่างคอกาแฟได้ไปในตัวด้วยค่ะ

สร้าง IG ร้าน และลงรูปเมนูต่างๆ ใส่ # ชื่อร้าน ชื่อเมนู และติดต่อ IG ใหญ่ๆที่รวมอาหาร ขนม เครื่องดื่มช่วยโปรโมตให้ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เกิด Visibility ผู้คนมองเห็น และรู้จักร้านเรามากยิ่งขึ้นนะคะ

การจำชื่อลูกค้า และเมนูที่ลูกค้าสั่งเป็นประจำ ก็จะช่วยให้เกิด Emotional Impact ทำให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาซื้อซ้ำได้ค่ะ

ถ้าจะออกโปรโมชั่นพวกบัตรสะสมแต้ม เราแนะนำว่าแทนที่จะเป็นบัตรสะสมแต้มที่มี 10 ช่อง ที่ปั้มที่ล่ะ 1 ช่อง / การซื้อ 1 แก้ว ให้เพิ่มจำนวนตารางสะสมแต้มเป็น 20 ช่อง ปั้มทีล่ะ 2 ช่อง / การซื้อ 1 แก้ว รวม 20 แต้ม / การซื้อ 10 แก้ว ได้แก้วฟรี ข้อดีของการปั้มที่ล่ะ 2 ครั้งคือลูกค้าจะรู้สึกดีกับได้การที่ได้แต้มที่ล่ะเยอะๆ และเกิดความรู้สึกอยากสะสมให้ครบเร็วขึ้นกว่ากับได้ที่ล่ะ 1 ปั้มตามปกติค่ะ เป็น Trigger หรือเทคนิคช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำเร็วขึ้นค่ะ (ตามหลักจิตวิทยานะคะ)

เบื้องต้นนึกออกเท่านี้ค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยนช์ไม่มากก็น้อยนะคะ เราคนหนึ่งล่ะที่ชอบนั่งร้านกาแฟ แต่ไม่เคยสั่งกาแฟ เพราะติดชาเขียวมากค่า ถ้าโลกนี้ไม่มีชาเขียวคงจะอยู่ยาก อิอิ