ถ้า Kingsman เป็น the Siam Secret Service (Kingsman Parody) -- [คำเตือน : อาจมี spoilers อยู่บ้างนะคะ]

บอกกล่าว

SPOILER ALERT อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญในหนังบ้าง ถ้าใครยังไม่ได้ดู แนะนำให้หลีกเลี่ยงที่จะอ่านต่อนะคะ



กระทู้นี้เกิดขึ้นจากการคุยกันในหมู่เพื่อนฝูงที่ได้ไปดู Kingsman: The Secret Service แล้วมาคุยกันนอกรอบ ซึ่งยอมรับเลยค่ะว่า ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาไม่ได้อินกับหนังเรื่องไหนมากมายขนาดนี้อีกแล้ว เรียกว่า เจอโรคสูทและแว่นเรื้อรังเล่นงานกันงอมแงมมาพักใหญ่ คุยกันในสเตตัสเป็น Thread ยาวเลยทีเดียว

หลังจากการตามทวิตเตอร์ ก็ไปเจอทวิตนี้เข้า

https://twitter.com/n0namae/status/568826244235546626/photo/1

"ของฝรั่งนี่ Kingsman งี้ของไทยนี่คงจะ สูทเจ้าคุณ"


ก็เลยมาคุยกันเล่น ๆ ว่า ถ้า Kingsman เป็นเวอร์ชั่นไทย มันจะออกมาเป็นอีท่าไหน... หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง จะให้เป็นปัจจุบัน มันก็ยังไง ๆ อยู่ ถ้าเป็นนิยายย้อนยุคอารมณ์ประมาณท่านเจ้าคุณสมัย ร. 6-7 ก็น่าจะเข้ากันมากกว่า ส่วน codename ของสายลับทั้งหลายจากกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม ก็น่าจะกลายเป็นพวกหนุมาน กับวานรสิบแปดมงกุฎในรามเกียรติ์ละมั้ง


ชื่อเรียกขานของแฮร์รี่ ฮาร์ทน่าจะเป็น 'องคต' (จุดกำเนิดก็คล้าย ๆ กาลาฮัด และนิสัยดีเหมือน ๆ กันด้วย) ลานซล็อต ไม่ต้องอะไรมากก็เป็น 'หนุมาน' ทหารเอก ส่วนอาเธอร์คงเป็นเจ้าคุณที่มีราชทินนามที่มีคำว่า 'ราม' ในชื่อด้วย ทำนองนั้น เมอร์ลินไม่ต้องอะไรมาก มีได้คนเดียว คือ 'พิเภก' เพราะฉะนั้น ชื่อองค์กร Kingsman ที่แปลว่า คนของพระราชา ฉบับไทย ใช้ชื่อว่า 'รามวัลลภ' ที่แปลว่า ข้ารับใช้ของพระราม ก็แล้วกัน


คุยจนเป็นเรื่องเป็นราว จากนั้นก็โดนลูกยุจากเพื่อนให้ลองเขียน parody ดูว่า หน้าตาจะออกมาเป็นยังไง แล้วก็ได้เรื่องกันเลยทีเดียว เพราะนึกอะไรได้ก็เขียนเล่นอ่านเล่นกันได้หลายตอน  แต่เนื่องจากเขียนคุยกับบนเฟซบุ๊ค ซึ่งตัวเองใช้เฟซบุ๊คเป็นพื้นที่ติดต่อสื่อสารกับคนที่ทำงานด้วยกันแบบจริงจังพอสมควรด้วย จะตั้งค่าเป็น public ให้เพื่อนแชร์ต่อ เดี๋ยวคนอื่นที่ติดต่อกับอย่างเป็นทางการและไม่รู้ว่า จขกท. ทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย  (ฮา)  ก็เลยตั้งกระทู้ในพันทิปเลยก็แล้วกัน เผื่อมีคนอื่น ๆ ที่สนใจหรือมีไอเดียอะไรคล้าย ๆ กันจะได้มาคุยกันได้ คงจะเพลินดี


เนื่องจากคุยกันเป็นเรื่อง ๆ ตอน ๆ ไป ที่ลองเขียนออกมา ก็เลยจะตัดเป็นบางช่วงบางตอน ซึ่งส่วนใหญ่ สำหรับคนที่ดูหนังมาแล้วน่าจะนึกออก และน่าจะได้เห็นใน Trailers แล้ว บางตอนก็จะเป็น spoilers บ้าง อ่าน ๆ ไปแล้วก็ได้บรรยากาศแปลก ๆ ดี


ต้องขอบคุณเจ้าของ Twitter account ที่พูดประเด็นนี้ให้คิดด้วยนะคะ ^^ (ถ้ามันไม่เวิร์ก ก็โทษ จขกท. ละกันค่ะ)


---------------------------------------------------------------------------------

Pub Talk

ชายหนุ่มมองคนที่นั่งเบื้องหน้าของตนอย่างไม่วางใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเจรจากับตำรวจจนเขาได้รับการปล่อยตัวออกมา หากเขาไม่อาจรู้เลยว่า ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน แต่งกายสะอาดสะอ้านเรียบร้อยด้วยสูทสากลทั้งเสื้อนอก กางเกง และรองเท้าหนังอย่างฝรั่ง การพูดจาและกิริยามารยาทบ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีที่เพียบพร้อมผู้นี้คาดหวังอะไรจากคนอย่างเขา


"บิดาของเธอเคยทำงานกับฉัน และเคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้" หัทย์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก หลังกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ที่นำเอาน้ำชามาวางให้ที่โต๊ะ รินให้ตนเองถ้วยหนึ่ง และรินให้ผู้อ่อนวัยกว่าอีกถ้วยหนึ่ง "ฉันเป็นหนี้ชีวิตเขาอย่างที่ยากจะตอบแทนได้หมด ฉันจึงยินดีช่วยเธอ ซึ่งเป็นบุตรชายของเขา"


น้ำเสียงและถ้อยคำที่อีกฝ่ายกล่าวถึงบิดาผู้ล่วงลับของเขาบอกให้รู้ว่า ทุกคำที่พูดไม่ใช่เรื่องโกหก ทำให้เอกยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก ดวงตาที่มองตอบผู้สูงวัยกว่าเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น "คุณหัทย์รู้จักคุณพ่อของผมด้วยหรือขอรับ ท่านเป็นคนอย่างไรบ้าง ท่านเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กมาก"


"บิดาของเธอเป็นคนฉลาด เก่งกาจ และกล้าหาญ" หัทย์ตอบ พลางจิบชาร้อนจากถ้วย "เขาเป็นคนเรียนรู้เร็ว มีความเป็นเลิศทุกด้าน... แต่น่าเสียดาย ที่บุตรชายของเขามิใช่เช่นนั้น"
.

คำพูดประโยคหลังทำให้รอยยิ้มกระจ่างบนใบหน้าของชายหนุ่มเหือดหายไปในทันที สายตาที่เหลือบแลผ่านแว่นสายตามายังเขาซึ่งเต็มไปด้วยความผิดหวังกึ่งเวทนาทำให้ใบหน้าของเขาชาด้วยความขุ่นเคือง แต่มิอาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้


"พ่อเอก ฉันทราบมาว่า เธอเคยเป็นนักเรียนเรียนดี ความสามารถทางกีฬาเป็นเลิศ เมื่อสำเร็จประโยคประถม (เทียบเท่ากับ ม. 3 ปัจจุบัน) ครูของเธอเคยพยายามส่งเสริมให้เธอได้เรียนต่อ แต่เธอกลับปฏิเสธ เธอเคยสมัครเข้าในโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร และเป็นนักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่น แต่ก็กลับลาออกเสียกลางคัน" หัทย์เอ่ยอย่างอ่อนใจ "จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่ได้หยิบจับงานใดเป็นชิ้นเป็นอัน ทำงานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปวัน ๆ มีเรื่องวิวาทกับคนอื่นอยู่เนือง ๆ ... หากบิดาของเธอทราบ เขาคงผิดหวังมิใช่น้อย"


สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาล้วนไม่ใช่ความเท็จ แต่ถึงกระนั้น เอกก็อดโกรธเคืองมิได้ เขาไม่ได้โมโหที่ข้อเท็จจริงนั้นถูกเปิดเผยต่อหน้า เขามิได้อับอายในสิ่งที่เป็นความจริง แต่คับแค้นใจที่อีกฝ่ายกำลังตัดสินสิ่งที่เขาทำลงไปว่าผิด โดยไม่ถึงนึงถึงเหตุผลเบื้องหลังของการกระทำนั้นอย่างถ่องแท้


"พวกผู้ดีมีการศึกษาสูงอย่างคุณหัทย์ดีแต่วิจารณ์และตัดสินคนอื่นสินะขอรับ" เขาว่า "หากกระผมมีทางเลือก กระผมก็คงไม่ทำเช่นนี้... ตั้งแต่พ่อผมตาย แม่ของกระผมก็ต้องทำงานหนัก และพยายามหาที่พึ่งซึ่งจะช่วยให้เลี้ยงดูกระผมจนเติบโตมาได้ พ่อเลี้ยงของกระผมเป็นคนคุมบ่อน และในภายหลังมา เขาก็อาศัยมือแม่ของกระผมไปช่วยงานในบ่อนด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้เสียแล้ว กระผมก็เป็นตำรวจต่อไปอย่างที่ใจอยากไม่ได้ เพราะเท่ากับว่า งานของผมจะเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่แม่จำเป็นต้องกระทำ และถ้าวันหนึ่ง แม่ของกระผมถูกจับหรือถูกดำเนินคดี หรือถูกพ่อเลี้ยงของกระผมตบตีจนกระทั่งเข้าโรงหมอ ใครจะเลี้ยงดูน้องสาวของกระผมที่ยังเล็กเล่าขอรับ"

=======================================================


Manner Maketh Man

แม้จะไปถึงที่หน้าประตูร้าน หากสิ่งที่ชายผู้นั้นกระทำกลับมิใช่เดินออกจากประตูแล้ว ผละหนีออกไปจากที่แห่งนั้น แต่เอื้อมมือทั้งสองดึงฝาเฟี้ยมทั้งสองข้างปิดเข้าหากัน

"มารยาท"
"ส่อสันดาน"
"ชาติเชื้อ"


ข้อความนั้นมาจากโคลงโลกนิติ และแต่ละคำที่เอ่ยออกจากปากอย่างช้า ๆ เน้นย้ำอย่างแจ่มชัดเสมือนบทกำกับสลักกลอนประตูที่เขาลั่นปิดอย่างแน่นหนา


ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎต่อหน้าทำให้ชายหนุ่มต้องหลับตาลงและส่ายหน้าด้วยความรู้สึกว่า อีกฝ่ายช่างไม่รู้อะไรที่เสียเลยที่กล้าต่อกรกับนักเลงคุมบ่อนในกำกับของนายเด่น


ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้ดีมีสกุลเพียงคนเดียวจะต่อกรกับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการตีรันฟันแทงอย่างคนพวกนี้อย่างไรได้


"เคยได้ยินกันบ้างไหมล่ะ พ่อ"


คำถามนั้นมีคำตอบเป็นความเงียบ พวกนักเลงต่างหันหน้ามองกันเลิกลั่ก เหตุหนึ่งเป็นเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า สิ่งที่เขาเอ่ยหมายความเช่นไร และอีกเหตุหนึ่ง คือ ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร


"ถ้ายัง ฉันจะสอนให้เอาบุญ"


ในวินาทีนั้นเอง ไม้เท้าในมือของหัทย์ก็เกี่ยวเอาป้านชาที่ยังค้างอยู่บนโต๊ะยังไม่ถูกเก็บไปล้าง กระชากข้อมือเพียงนิดเดียว ป้านชาดินเผานั้นก็ปลิวหวือเข้ากระแทกกลางแสกหน้าสมุนของพ่อเลี้ยงของชายหนุ่มเข้าอย่างจังจนล้มทั้งยืน


สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดล้วนทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวของชายหนุ่มที่เกือบจะอ้าปากค้างตามไปด้วย คงมีแต่หัทย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังรักษากิริยาและคงใบหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้


เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับกลุ่มนักเลงที่เหลืออย่างไม่สะทกสะท้าน


"จะยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ทั้งวัน หรือจะสู้กันให้รู้ดีชั่วไปเลยเล่า"



หมายเหตุ :

'Manner Maketh Man' เป็นคำขวัญของ Winchester College และ New College ของ มหาวิทยาลัย Oxford ไม่เชิงว่าเป็นสำนวนภาษิตอะไรหรอกนะคะ จะว่าเป็น 'กิริยาส่อสกุล' อย่างที่ใน subtitle แปล หรือ ตามโคลงโลกนิติที่คัดมาเขียนไว้ในนี้ (ซึ่งก็ล้อมาจากซับไทยของหนังอีกที) ก็คงจะไม่ใช่ซะทีเดียว

ความหมายจริง ๆ ของ 'Manner Maketh Man' คือ "การกระทำความประพฤติคือสิ่งที่สร้างตัวตนของคนขึ้น" หมายความว่า คนเราจะเป็นอย่างไร แท้จริงแล้ว ไม่เกี่ยวกับชาติกำเนิด แต่มาจากการกระทำของตนเองต่างหาก ซึ่งเราก็จะเห็นว่า แฮร์รี่มักจะบอกเอ็กซี่อยู่บ่อย ๆ คือ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่สำคัญ ถ้าตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลง เธอก็ย่อมทำได้ แล้วหนังก็จิกกัดความ snobbish ของพวกผู้เข้าฝึกคนอื่น ๆ ที่เป็นลูกผู้ดีมีสกุลในเรื่องนี้อยู่เนือง ๆ เหมือนกันนั่นละค่ะ ไหน ๆ ก็พูดถึงแล้ว อธิบายให้เข้าใจตรงกันน่าจะดีกว่า


=======================================================


My Fair Lady

"ก็คงจะเหมือนสังข์ทองกระมัง" หัทย์เอ่ย แต่ดูเหมือนเจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จะยังนึกภาพตามไม่ออก จนเขาจนใจจะหาเรื่องอื่นมาเปรียบ แต่แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวกลับทำให้เขาแปลกใจ


"เหมือนแก้วหน้าม้ามากกว่าขอรับ" เด็กหนุ่มว่า... ซึ่งเมื่อนึกแล้วก็ตรงกว่าจริง ๆ เพราะแม่แก้วหน้าม้านั้น เกิดมาก็มิได้มีรูปเป็นทรัพย์หรือสมบัติติดตัวอันใดเลย แต่ในภายหลังด้วยความกล้าและมุมานะ เทวดาจึงเห็นใจถอดหน้าม้าให้ และมอบของวิเศษไว้ให้ใช้สอย


ผู้สูงวัยกว่าเลิกคิ้วน้อย ๆ ขยับมุมปากคล้ายยิ้ม "เธอทำให้ฉันแปลกใจได้อีกแล้วนะ พ่อเอก"


----------------------------------------------------------------


(มีต่ออีกนิดนะคะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่