ทางรอด จาก 'โรคซึมเศร้า'

ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาสามัญแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมี 'อารมณ์' ไว้บ่งบอกสถานะเป็นธรรมดา โดยจะได้รู้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในช่วงอารมณ์ดีชีวีแจ่มใสสวยงาม, อารมณ์พลุ่งพล่านพร้อมที่จะเหวี่ยงได้เสมอ หรือ อารมณ์เศร้าเคล้าน้ำตา จนมองโลกอย่างโหดร้ายว่าไม่ยุติธรรม เป็นต้น
       
         แต่อารมณ์อย่างหลังสุดนี้ ถ้ามีบ้างจากการผิดหวังหรือเสียใจจากเรื่องที่ได้รับมา ก็ย่อมมีบ้างที่จะต้องมีอารมณ์นี้ และปล่อยให้เวลาได้ทำการเยียวยารักษาตนเองไป จนกว่าจะหายดี แล้วค่อยเดินหน้าต่กลับสู่ภาวะปกติต่อ แต่หากเลยเถิดไปคงไม่ดีแน่ เพราะนั่น คือสัญญาณของ “โรคซึมเศร้า” นั่นเอง

  
เครดิตภาพ : nevan.com
  
        เชื่อได้เลยว่า คุณผู้อ่านหลายๆ ท่าน คงอาจจะประสบพบเจอกับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แต่ก็อาจจะมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจถึงโรคนี้ดีพอว่า การป่วยในลักษณะนี้ มันสร้างความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจได้มากเพียงใด ฉะนั้นแล้ว นี่คือข้อมูลคร่าวๆ ที่จะทำให้เราได้เข้าใจต่อ “โรคภาวะซึมเศร้า” และเข้าใจผู้ป่วยโรคนี้ได้มากยิ่งขึ้น

  
เครดิตภาพ : livescience.com
  
        สาเหตุของโรค “โรคซึมเศร้า”
       
         หลายๆคน อาจจะเข้าใจว่า ปัจจัยเบื้องต้นของโรคดังกล่าวนี้ น่าจะเกิดมาจากการได้รับผลกระทบทางด้านร่างกาย หรือจิตใจอย่างรุนแรง จนส่งผลต่อผู้ป่วยดดยตรง แต่แท้ที่จริงแล้ว ภาวะ “โรคซึมเศร้า” นั้น มีหลายสาเหตุด้วยกัน อาทิเช่น ปัจจัยทางพันธุกรรม บุคลิกภาพ ชีวภาพ และภาวะตึงเครียดในด้านชีวิต จนส่งผลทำให้เกิดความไม่มั่นใจและมองคุณค่าต่อตนเองลดลง และมองตัวเองและโรคไปในทางที่แง่ร้าย และทำให้ความเครียดสะสมจนกลายเป็นความเครียดสะสมได้ในที่สุด
       
         ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคนี้ หลายหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ การสูญเสียหรือพลัดพรรากจากสิ่งที่ตนเองรักและสนใจ, อาการเจ็บป่วยที่ไม่มีทีท่าว่าจะหายขาด อย่างเช่น โรคมะเร็ง ฯลฯ, ปัญหาส่วนตัวที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ปัญหาทางการเงิน หรือ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ทำให้เกิดสภาวะ 'รับไม่ได้' เป็นต้น

  
เครดิตภาพ : datingfortodaysman.com

        อาการทางกายภาพ
       
         ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า จะมีลักษณะอารมณ์หดหู่ และมีอาการที่ไม่อยากจะทำกิจกรรมที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ มักมีการหมกมุ่น มีความรู้สึกผิดหวังต่อตนเองอย่างไม่มีเหตุผล หากในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีการแสดงอาการของภาวะทางจิต (Psychosis) เช่น การหลงผิด (Delusion) หรือ เห็นภาพหลอน (Hallucination)
       
         นอกจากนี้ อาการอื่นๆ ก็ส่งผลถึงโรคนี้ด้วยเช่นกัน อาทิ สมาธิแย่และความจำสั้น, ความต้องการทางเพศลดลง, มีความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตาย และ บางรายก็มีอาการถึงขั้น นอนไม่หลับ ก็มี

  
เครดิตภาพ : bodygeek.ro
  
        วิธีการดูแลตนเอง และ การรักษา  
    
         สำหรับการรักษาผู้ป่วยอาการดังกล่าวในระยะเบื้องต้น ควรให้กำลังใจกับผู้ป่วยให้เขาหรือเธอมีความรู้สึกที่ดีขึ้น และทำให้เห็นว่าสิ่งรอบข้างไม่ได้เป็นลบเสมอไป ซึ่งทางที่ดี ควรให้บุคคลในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทมิตรสหายมาช่วยดูแลเบื้องต้น เช่น จิตบำบัดแบบปรับเปลี่ยนความรู้สึกคิดและพฤติกรรมบำบัด, การบำบัดอารมณ์ด้วยเหตุผล หรือ การบำบัดแบบคู่สมรส และ การบำบัดครอบครัว ก็เข้าข่ายนี้ได้เช่นกัน
       
         นอกจากนี้ ก็ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้คลายความเศร้าได้เช่นเดียวกัน อาทิ การออกกำลังกาย ให้ได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที เช่น วิ่งจ็อกกิ้ง หรือ เต้นแอโรบิก, สร้างเสียงหัวเราะให้ตนเอง, ระบายอารมณ์เสียซะบ้าง, มีการพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “พยายามมองโลกให้แง่ดีเข้าไว้”

ข้อมูลจาก  :  ASTVผู้จัดการออนไลน์
http://manager.co.th/goodhealth/ViewNews.aspx?NewsID=9580000021021

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่