พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๒๔ ก.พ.๕๘

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๘ เมืองผลึกรับศึกเทศ

ตอนที่ ๒ “ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย”

ฑ.มณฑา

ในระหว่างที่สินสมุทไปเยี่ยมพระเจ้าปู่ที่เมืองรัตนา กับพระเจ้าอาศรีสุวรรณ และนางอรุณรัศมี
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่สุดสาคร ได้พาน้องทั้งสองคือ เสาวคนธ์กับหัสไชย เดินทางออกจากกรุงการะเวกนั้น
ทางกรุงผลึกก็ได้เกิดศึกสงครามขึ้น ตามที่ได้คาดหมายเอาไว้ก่อนนานแล้ว

โดยอุศเรนโอรสของเจ้ากรุงลังกา ซึ่งพ่ายแพ้กองทัพของเมืองผลึก ต้องบาดเจ็บไปเมื่อครั้งก่อน
ได้พักรักษาตัวอยู่เป็นเวลาถึงห้าปี พอหายดีแล้วก็จัดกองทัพยกมาตีเมืองผลึก เพื่อแก้แค้นอีกครั้ง
มีกำลังมากมายมหาศาล

แต่ทัพหน้าห้าแสนถือแหลนหลาว
ทั้งปืนยาวปืนสั้นเข้าบรรจบ
ยังปีกป้องกองกลางควงเข้างบ
ทหารรบห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์
ทั้งกองหลังรั้งท้ายก็หลายแสน
ล้วนปืนแม่นมีแรงแข็งขยัน
มารวมรอมพร้อมหมดกำหนดวัน
ใครไม่ทันโทสาถึงผาทรวง
ราชบุตรอุศเรนเป็นทัพหน้า
เจ้าลังกากำกับเป็นทัพหลวง
มาถึงทั่วหัวเมืองสิ้นทั้งปวง
ตามกระทรวงศึกกษัตริย์ปราบดัสกร

ทางพระอภัยมณีเมื่อได้ทราบข่าวจากกองสอดแนม ที่ได้ส่งออกไปอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว
ก็ปรึกษากับนางวาลี และนางสุวรรณมาลี เพื่อจะต่อสู้ป้องกันพระนคร นางวาลีก็วางแผนให้พระอภัย
คุมกำปั่นแปดร้อยออกไประวังหน้า เมื่อทัพข้าศึกเข้ามาให้ถอยหนีออกไปนอกอ่าว
ปล่อยให้กองทัพใหญ่เข้ายึดเมืองผลึก นางวาลีจะคุมพลซ่อนอยู่ในเมือง และนางสุวรรณมาลีคุมพลออกไปแอบอยู่นอกเมือง
เมื่อข้าศึกเผลอก้จะเข้าโจมตี ทั้งในเมืองและนอกเมือง ให้พระอภัยคุมกองทัพเรือ หวนกลับมาตีกองเรือของข้าศึก
ที่อยู่่ในอ่าวหน้าเมืองพร้อมกันด้วย

ดังนั้นเมื่อกองทัพหน้าของกรุงลังกาถึงปากแม่น้ำ ยิงปืนสนั่นครั่นครื้น ก็ไม่มีกองทัพเรือของเมืองผลึกออกมาต่อสู้ป้องกันเลย แต่มีกองเรือขบวนหนึ่งเคลื่อนออกไปนอกอ่าว อุศเรนคุมทัพหน้ามีเรือสองพันลำก็ไล่ตามไป แต่กองเรือของเมืองผลึกก็หนีไป ไม่อยู่ต่อสู้ด้วย

พระเจ้ากรุงลังกาก็นำกองทัพหลวง เข้าไปถึงท่าเรือเมืองผลึก ยกพลขึ้นบกแล้วก็ไม่เห็นมีกองทัพออกมาต่อต้าน
จับตัวชาวบ้านมาสอบสวนก็ได้ความว่าพระอภัยมณีขนครอบครัวและสมบัติพัสถาน ลงเรือกำปั่นร่วมพันลำหนีออกทะเลไปแล้ว
และยังได้เผายุ้งฉางเสบียงอาหารในเมืองเสียสิ้น ควันไปยังกรุ่นอยู่ พวกราษฎรไม่มีอาหารกินก็แยกย้ายกันไปหาที่อยู่ใหม่
ไม่มีใครสู้รบด้วย ขอแต่ชีวิตรอดไว้ก่อน

พระเจ้ากรุงลังกาก็ยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ในเมือง คอยเกลี้ยกล่อมให้ราษฎรที่อพยพหนีภัย กลับมาถิ่นฐานบ้านเดิม
และคอยป้องกันไม่ให้มีการอพยพหนีออกจากเมืองไปอีก เรือรยของกรุงลังกานับพันลำก้เข้าไปจอดแออัดกันอยู่ในแม่น้ำเมืองผลึก
ฝ่ายไพร่พลทั้งหลายก็ขึ้นไปอยู่บนบก ฉลองชัยชนะที่ได้มาอย่างง่ายดายกันเอิกเกริก

พอมืดค่ำลง นางสุวรรณมาลีก็ยกกองทัพที่ซ่อนอยู่นอกเมือง เข้ามาจุดไฟเผาทำลายเรือของเมืองลังกา
แล้วก็ตัดสายสมอให้ลอยไปปะทะกัน เกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปทั้งอ่าว
ส่วนนางวาลีที่ซุ่มพลอยู่ในวังก็ยิงปืนใหญ่ถล่มกองทัพของข้าศึก แล้วก็ยกพลออกจากวังเข้าโจมตีทหารของข้าศึก
ที่กำลังกินเลี้ยงรื่นเริงกันอยู่ นางสุวรรณมาลีก็ยกพลเข้าลุยข้าศึกอีกด้านหนึ่ง จนแตกตื่นอลหม่านกันไปทั้งกองทัพ

ตัวพระเจ้ากรุงลังกาซึ่งชราแล้ววิ่งไม่ไหว ก็ขี่คอทหารองครักษ์มีทหารห้อมล้อม ออกจากเมืองลงไปที่ท่าเรือ
ก็เห็นกองเรือกำลังลุกไหม้อยู่ทั่วไป ทหารของนางวาลีและนางสุวรรณมาลี ก็ตีกองทัพเมืองลังกาไปบรรจบกันที่ท่าเรือ
นางวาลีเห็นทหารพาเจ้ากรุงลังกาแบกบ่าจะหนีลงเรือ ก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปสามดอกถูกเกราะทะลุ
แต่ลูกหนึ่งปักติดที่แขนขวา ทหารรักษาพระองค์ก็ห้อมล้อม พาลงเรือที่เหลือถอยออกไปจากอ่าวได้

ทางด้านอุศเรนนั้น นำเรือทัพหน้าไล่ตามขบวนเรือของเมืองผลึกทัน แล้วก็เข้ารบกันกลางทะเล
แต่พระอภัยไม่ได้ไปกับกองเรือนั้น คงอยู่กับนางวาลี เมื่อจับเชลยและยึดศาสตรวุธของข้าศึกได้แล้ว
ก็ลงเรือนำกองทัพกองละร้อยลำรวมสิบกอง ออกไปช่วยโจมตีกองเรือทัพหน้าของอุสเรน แต่เป็นเวลามืดค่ำแล้ว
อุศเรนนำกองเรือของตนกลับมาสมทบกับทัพหลวง โดยไม่รู้ว่าทัพหลวงแตกและเจ้ากรุงลังกาลงเรือหนีกลับไปแล้ว
เจอกับกองเรือของพระอภัยก็นึกว่าเป็นกองทัพหลวงของบิดา จึงถูกล้อมทั้งหน้าหลัง พอจะกลับลำไปออกทะเล
ก็ถูกปืนใหญ่ยิงท้ายเรือแตกพินาศ น้ำทะลักเข้าเรือจนเอียงล่มจมลง พระอภัยก็นำเรือเข้าไปใกล้
ให้คนลงไปรับอุศเรนมาขึ้นเรือของตน แล้วก็ถอยทัพกลับเข้า เมืองผลึก

พระอภัยใจดีเป็นที่สุด
จับอุศเรนได้มิให้หมอง
ให้เชิญองค์ทรงเสลี่ยงเคียงประคอง
หามมาท้องพระโรงรัตน์ชัชวาลย์
ทั้งทอดที่มีแท่นแสนสะอาด
ให้ไสยาสน์เอนองค์ด้วยสงสาร
พวกมดหมอก็ให้มาพยาบาล
เอาเครื่องอานพร้อมเพรียงตั้งเรียงราย

พออุศเรนฟื้นจากสลบรู้สึกสติ ก็คิดแค้นใจและเจ็บอายเป็นที่สุด คลำหาอาวุธประจำกายจะคิดฆ่าตัวตาย
ก็ถูดยึดไปเสียแล้ว พระอภัยมองดูรู้ทีจึงค่อยเจรจาด้วยอย่างนุ่มนวล

จึงสุนทรอ่อนหวานชาญฉลาด
เราเหมือนญาติกันดอกน้องอย่าหมองศรี
เมื่อแรกเริ่มเดิมก็ได้เป็นไมตรี
เจ้ากับพี่ก็รักกันหนักครัน
มาขัดข้องหมองหมางเพราะนางหนึ่ง
ได้ถึงรบสู้เป็นคู่ขัน
อันวิสัยในพิภพแม้รบกัน
ก็หมายมั่นจะใคร่ได้ชัยชนะ
ซึ่งครั้งนี้พี่พาเจ้าเข้ามาไว้
หวังจะได้สนทนาวิสาสะ
ให้นัดหมายคลายเคืองเรื่องธุระ
แล้วก็จะรักกันจนวันตาย
ทั้งกำปั่นบรรดาโยธาทัพ
จะคืนกลับไปให้เหมือนใจหมาย
ทั้งสองข้างอยู่ตามความสบาย
เชิญภิปรายโปรดตรัสสัตย์สัญญา

แต่อุศเรนไม่ยอมดีด้วย หาว่าพระอภัยเจ้ามารยา ที่มาวันนี้ก็ต้องการจะแก้แค้น เมื่อพลาดพลั้งลงแล้วก็ไม่ขอร้องอะไร
ถือว่าเป็นชายชาติทหารเหมือนกัน จับได้ก็ฆ่าเสียเถิด พระอภัยก็อ้อนวอนว่า ถ้าจะให้หายโกรธจะให้ทำอย่างไร ก็จะยอม
ข้างอุศเรนก็ระบายความแค้นว่า ถ้าตนเป็นฝ่ายชนะ จะจับทั้งพระอภัยและนางสุวรรณมาลี มามัดแล่เนื้อเอาเกลือทา
แล้วตัดหัวเปลี่ยนตัวประจานไว้ให้สมกับที่ทำแก่ตน พระอภัยก็ว่าเกินศรัทธาที่จะให้เป็นไปได้เหมือนใจคิด
ก็ยังไม่โกรธอุศเรนคงดูแลอย่างดี

ส่วนนางวาลีกลับคิดตรงกันข้าม ต้องการจะกำจัดศัตรูตัวร้ายเสียให้สิ้นเสี้ยนหนามไปโดยเด็ดขาด

พระผ่านเกล้าเรานี้อารีเหลือ
เหมือนดูถูกลูกเสือเบื่อหนักหนา
พระทัยซื่อถือว่าคุณเขามีมา
ถึงจะว่าเห็นไม่ฟังกำลังเรา
ทั้งองค์พระมเหสีก็มิห้าม
เพราะมีความการุณคิดคุณเขา
ด้วยเป็นมิตรบิตุรงค์ของนงเยาว์
เว้นแต่เราจะทำแต่ลำพัง
ประเพณีตีงูให้หลังหัก
มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง
จระเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง
เหมือนเสือขังเข้าดงก้คงร้าย
อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า
ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย
ต้องตำรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย
จะทำลายภายหลังยากลำบากครัน

นางวาลีจึงจัดแจงแต่งกายอย่างนายทัพ เหน็บกริชถือธนู ทำพรวดพราดเข้าไปเฝ้าพระอภัยมณี โดยไม่มองว่าอุศเรนก็อยู่ในนั้นด้วย
กราบทูลว่าตอนรบกับเจ้ากรุงลังกาเมื่อคืนนี้ ตนได้ยิงธนูถูกถึงสามดอก แล้วก็ลงเรือหนีไป เข้าใจว่าคงจะตายแน่ ไม่เกินสามวันนี้
ขออาสายกพลไปตามตีให้ถึงเมืองลังกา เพื่อเผด็จศึกเสียเลย

พระอภัยเกรงใจอุศเรน จึงห้ามว่าอย่าเพิ่งหักหาญกันถึงเพียงนั้นเลย สงสารอุศเรนซึ่งยังป่วยอยู่
นางวาลีก็ทำเป็นเพิ่งเห็นอุศเรนแล้วกราบทูลว่า ถ้าจะโปรดยกโทษไม่ฆ่าเสีย ก็ขอได้ปล่อยตัวให้กลับไปรักษาพยาบาลพระบิดาของเขาเถิด
ป่านนี้จะเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้

อุศเรนได้ฟังน้ำเสียงเยาะเย้ยหยันของนางวาลีแล้ว ก็เกิดความโกรธแค้นแน่นหน้าอก

ด้วยตัวเราเขาจับมาอัปยศ
ทั้งเสียยศเสียศักดิ์เสียหนักหนา
แล้วมิหนำซ้ำสมเด็จพระบิดา
แก่ชราก็มาถูกลูกเกาทัณฑ์
แสนระกำช้ำอกเหมือนตกเหว
อีหญิงเลวแลเหมือนเงาะมาเยาะหยัน
ยิ่งคิดดิดพิษลมระดมกัน
สะอื้นอั้นอกแยกแตกทำลาย
ชักชะงากรากเลือดเป็นลิ่มลิ่ม
ถึงปัจฉิมชีวาตม์ก็ขาดหาย
เย็นวันพุธอุศเรนถึงเวรตาย
ปีศาจร้ายร้องก้องท้องพระโรง

เมื่ออุศเรนขาดใจตายไป ทั้ง ๆ ที่ยังพยาบาทอาฆาตแค้น ปีศาจอุศเรนจึงเข้าสิงนางวาลีให้ล้มป่วยลงทันที
แล้วก็มีอาการหนัก รักษาวิธีใดก็ไม่ทุเลา จนในที่สุดก็รู้ตัวว่าไม่รอดแน่

ชันษาข้าบาทนี้ขาดแล้ว
จะคลาดแคล้วมิได้อยู่ชูฉลอง
ขอดับสูญทูลลาฝ่าละออง
กษัตริย์สองพระองค์อยู่จงดี

ครั้นพระอภัยมณีจัดศพอุศเรนใส่โกศลงเรือกำปั่น ให้ทหารของกรุงลังกาที่เป็นเชลยประมาณเจ็ดแสนคน
กลับไปบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ต้องมารักษานางวาลี แต่หมอทั้งหลายก็ไม่สามารถจะรักษาให้ทุเลาลงได้
เกิดอาการคลุ้มคลั่งต้องดิ้นรนกระวนกระวายจนหมดแรง ถึงแก่ความตายไป
ทั้งพระอภัยและนางสุวรรณมาลี ก็สุดที่จะโศกเศร้าโสกาอาดูรเป็นยิ่งนัก

นางสุวรรณมาลีนั้นครวญว่า

ตั้งแต่นี้มีทุกข์ถึงยุคเข็ญ
ไม่แลเห็นผู้ใดทั้งไอศวรรย์
จะวายเว้นเป็นคนอื่นทุกคืนวัน
จนสิ้นกัลป์สิ้นกัปไม่กลับมา
แม้วาลีมีทุกข์ไปทางอื่น
ถึงทางหมื่นแสนไกลจะไปหา
นี่ขัดสนจนใจไปปาช้า
อนิจจาใจหายเสียดายนัก

ส่วนพระอภัยมณีนั้นครวญว่า

แม้นกำเนิดเกิดไหนขอให้ปะ
ได้เป็นพระมเหสีในที่สอง
ให้รูปงามทรามสงวนนวลละออง
อย่าให้ต้องอดสูกับผู้ใด
จงพ้นทุกข์สุขโขอโหสิ
ไปจุติตามประสาอัชฌาสัย
พระครวญคร่ำร่ำว่าด้วยอาลัย
พระชลนัยน์ย้อยเยาะเหยาะเหยาะย้อย

ก็เป็นอันจบบทบาทของภรรยาคนที่สี่ของพระอภัยมณี ซึ่งแม้จะมีรูปชั่วตัวดำ แต่ก็มีน้ำใจดี ซื่อสัตย์กตัญญู
ยอมสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองลงแต่เพียงนี้.

##########
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งกลอน บทกวี หนังสือนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่