โอ้พระเจ้าจอร์จ มันแย่มาก
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
- มติมหาเถรถือเป็นใหญ่กว่าพระธรรมวินัยใช่หรือไม่
- พระบัญชา พระลิขิตพระสังฆราช พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามใช่หรือไม่
- ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อคืนสินทรัพย์แล้วถือว่าพ้นผิด ไม่ต้องอาบัติ ใช่หรือไม่
- เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงโจทก์ภิกษุธัมมชโยด้วยอาบัติปาราชิก ด้วยพระลิขิตถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา ตามพระวินัย ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกโดยไม่มีมูล เช่นนี้ควรต้องอาบัติสังฆาทิเสส คำถามคือ เมื่อมหาเถรมีมติว่านายธัมมชโยไม่เป็นปาราชิก นั่นก็แสดงว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสสใช่หรือไม่
- การวินิจฉัยคดีและออกมติของมหาเถรสมาคม ๒ ครั้งมานี้ ถือเป็นบรรทัดฐานใช้ปกครองคณะสงฆ์ต่อไปถูกต้องไหม
เหล่านี้คือคำถามที่ฉันเดินทางไปหาคำตอบจากกรรมการมหาเถรสมาคมในวัดปากน้ำ ซึ่งมี ๓ (คน) ในวัดนี้ แต่กลับเจอแต่เลขาออกมาให้คำตอบ ทีนี้เรามาดูกันว่าท่านเลขา พระพรหมโมลี (สุชาติ ธัมมรตโน) ตอบว่าอย่างไร
เขาตอบข้อที่ ๑ ว่า มติมหาเถรไม่ได้เป็นใหญ่กว่าพระธรรมวินัย แต่เพื่อปกป้องพระธรรมวินัยและสังฆมณฑล (พวกคุณเชื่อไหม)
คำถามที่ ๒ เขาตอบว่า เป็นแค่บันทึกความเห็น ไม่ใช่คำสั่ง
ฉันเลยถามเพิ่มว่า บันทึกความเห็นถึง ๓ ฉบับ เช่นนี้ยังไม่เป็นคำสั่งอีกหรือ ซ้ำพระองค์ยังลงพระนามคำว่า สกลมหาสังฆปรินายก ทั้ง ๓ ฉบับอีก เช่นนี้จะถือว่าเป็นหนังสือบันทึกความเห็น ไม่มีผลได้อย่างไร
เขาตอบว่า แม้จะลงนามสกลมหาสังฆปรินายก ก็ยังไม่เป็นคำสั่ง ยังจัดอยู่ในประเภทหนังสือบันทึกความเห็นอยู่ดี (เอากับเขาสิพี่น้อง)
ฉันเลยถามต่อไปว่า เหตุใดมหาเถรจึงพิจารณาว่าหนังสือพระลิขิตนั้นเป็นหนังสือบันทึกความเห็นเท่านั้น ไม่ใช่คำสั่ง
เขาตอบว่า เพราะมีคำว่า “ถ้า”
โอ้ แม่เจ้า พี่น้องเอ๋ย เพราะคำว่า “ถ้า” นี่เอง พุทธบริษัทจึงเสียท่า เช่นนี้ จึงควรจัดสังฆทานชุดใหญ่อีกซักชุดถวายทั้งคณะ โอเคไหม
ฉันเลยถามคำถามที่ ๓ ว่าภิกษุธัมมชโย ผู้ต้องอาบัติปาราชิกเพราะยักยอกทรัพย์ เมื่อมีผู้ทวงถามแล้วคืนทรัพย์นั้น ทำไมมหาเถรจึงมีมติว่า ธัมมชโยไม่มีเจตนา ไม่ผิด และเขาก็ได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราช จึงถือว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก มหาเถรใช้หลักคิดอะไรมาพิจารณาว่าธัมมชโยไม่ผิด
เขาตอบฉันว่า ใช้คำว่า “ถ้า” ที่มีในพระลิขิต โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ในพระลิขิตใช้คำว่า “ถ้า” ซึ่งมหาเถรนำมาพิจารณาเห็นว่าไม่ได้เป็นคำตัดสิน วินิจฉัย เป็นแค่การแสดงความเห็น
โอ้ มหาแถเอ๋ย มันแถไปเห็นๆ สังฆมณฑลอยู่ได้กันอย่างไรหนอ
ฉันฟังดังนั้นทำให้อ่อนแรงไข้ขึ้น มึนไปพัก พอดีมีบุรุษนิรนามมาช่วยท่านพระพรหมโมลี ท่าจะดูดี แต่พอฉันหันไปถามว่า ถ้าหากมีโจรลักขโมยยักยอกทรัพย์ไป พอเจ้าทุกข์ทวงถาม แล้วนำทรัพย์นั้นมาคืน เช่นนี้ถือว่าไม่ผิด ไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่
บุรุษนิรนามพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้ท่านเลขายุติการพูดคุย จะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ
ฉันเห็นกิริยาของบุรุษนิรนามที่จะมาทำลายกระบวนการซักถามให้ยุติลง ฉันจึงกล่าวขึ้นว่า หากคุณมานั่งแล้วตอบปัญหาฉันไม่ได้ ก็ไม่ควรมานั่งให้เสียบรรยากาศ และแล้วชายนิรนามจึงลุกหนีไป
ฉันจึงถามย้ำแก่พระพรหมโมลีว่า มหาเถรสมาคมนำเอาหลักการอะไรมาพิจารณาความผิดของธัมมชโย
ท่านเลขาตอบย้ำว่า มหาเถรสมาคมได้พิจารณาแล้วว่า ธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินแก่วัดแล้ว จึงถือว่าท่านได้ทำตามลิขิตเรียบร้อยแล้ว
ฉันจึงแย้งอีกว่า ทำไมมหาเถรสมาคมจึงได้พิจารณาเฉพาะแค่หนังสือเท่านั้น ทำไมไม่นำเอาพฤติกรรมของจำเลยมาประกอบการพิจารณา ว่ามีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ด้วยเพราะมหาเถรสมาคมอ้างว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะยักยอก จึงไม่ผิด
ฉันจึงถามต่อไปว่า พฤติกรรมของจำเลย ยักยอกทรัพย์สินมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้าน มีทั้งเงินสดและที่ดิน ด้วยจำนวนทรัพย์มีมหาศาล เป็นไปไม่ได้ที่จะทำครั้งเดียว จำเลยทำการยักยอกหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แล้วจะมาบอกว่า ไม่มีเจตนา (คุณประยุทธ์คุณเชื่อไหม)
ท่านเลขาโต้ว่า การพิจารณามหาเถร ได้นำเอาคำสั่งอัยการมาพิจารณาด้วย เมื่อคดีนี้ไปอยู่ในมือของอัยการ หลังจากอัยการพิจารณาสำนวนแล้ว มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง มหาเถรสมาคมจึงนำเอาคำวินิจฉัยของอัยการมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา ว่าจำเลยไม่ผิด
(ฉันรู้มาว่า หลังจากมีเจ้าคณะภาค ๑ ที่มาจากวัดพิชัยญาติ เข้ามาควบคุมการพิจารณาคดีของวัดธรรมกายฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายอัยการก็มีการเปลี่ยนตัวกะทันหัน จนนำมาซึ่งคำสั่งไม่ฟ้อง แล้วเป็นข้ออ้างของกรรมการมหาเถรออกมีมติอัปยศดังกล่าว)
ฉันจึงถามว่า มหาเถรใช้ผลของคดีทางโลกมาเป็นหลักในการตัดสินอาบัติปาราชิกของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร
ท่านเลขาแย้งว่า เป็นระเบียบของกฎนิคหกรรม โดยอ้างว่ากฎนิคหกรรมบัญญัติไว้ว่า หากคดีทางโลกตัดสินว่าสิ้นสุด ทางธรรมถือว่าให้ยุติ ไม่ต้องสอบสวนเอาผิดต่อไป (ดู ดู ดูพี่เขาแถไปสิพี่น้อง)
ฉันฟังแล้วยิ่งเป็นมึน เลยถามย้ำว่า หลักพระธรรมวินัยบอกไว้ชัดว่า ภิกษุประพฤติละเมิดสิกขาบท ลักทรัพย์โดยประกอบด้วยเจตนา ทรัพย์นั้นราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ เมื่อทำให้ทรัพย์นั้นพ้นจากฐานที่ตั้ง หากเป็นทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน เป็นอาบัติต่อเมื่อโอนเป็นของตนสำเร็จ แม้จะโอนคืนเจ้าของเดิมไปอีกครั้ง เมื่อมีผู้จับได้ ภิกษุนั้นก็มิอาจพ้นจากปาราชิกได้ ไม่มีสิกขาบทไหนบอกว่าต้องรอฟังคำวินิจฉัยของอาณาจักรก่อนเลย
ท่านเลขาจึงตัดบทว่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาตั้ง ๑๕ – ๑๖ ปีแล้ว เพื่อความสงบของสังฆมณฑล จึงไม่ควรรื้อฟื้นเอามาพูดกันใหม่ จะทำให้สังคมไม่สงบสุข (ดูเขาทำ ดูเขาทำ แสดงว่ามหาแถกมีธงอยู่ในใจแล้วว่า ให้มันจบๆ ไป โดยไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ หลักการของพระธรรมวินัย เช่นนี้จึงสมควรถวายสังฆทานชุดใหญ่ทั้งคณะ อีกหลายๆ รอบ)
ฉันจึงถามว่า ตามพระวินัย ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก หากไม่ผิดจริง ภิกษุผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เช่นนี้มหาเถรจะปรับอาบัติสังฆาทิเสสแก่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชด้วยหรือไม่
ท่านเลขาตอบว่า คงไม่ปรับ เพราะพระองค์โจทก์ด้วยความปรารถนาดี มิได้มีเจตนาใส่ร้าย (เอาเข้าไป พระวินัยบัญญัติไว้ หากผู้ถูกโจทก์ไม่ผิดจริง ผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แล้วเวลานี้ผู้ถูกโจทก์คือนายธัมมชโย ไม่ผิดจริงตามมติมหาเถร แล้วท่านผู้โจทก์ถูกมหาเถรทิ้งของเหม็นเอาไว้ให้ท่านอีก ทั้งที่ท่านทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว นี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฉันทนเฉยอยู่ไม่ได้)
ฉันจึงเปลี่ยนไปถามว่า การวินิจฉัยคดีของมหาเถระสมาคมในครั้งนี้ จะถือเป็นบรรทัดฐานในการปกครองคณะสงฆ์ในอนาคตต่อไปใช่ไหม คือถ้าหากผมไปขโมยหรือยักยอกทรัพย์สินของวัดหรือชาวบ้าน เมื่อถูกเจ้าของจับได้ ผมนำมาคืน ถือว่าผมไม่เป็นปาราชิก พ้นผิด ถูกต้องใช่หรือไม่)
ท่านเลขาท่านตอบว่า มันไม่เหมือนกัน จะนำมาเป็นบรรทัดฐานเดียวกันไม่ได้ (อ้าว แล้วจะยังไง ใครรู้ ช่วยตอบที)
ยิ่งถาม ดูท่านยิ่งวนไปวนมา อึดอัดมากอยู่ ฉันจึงถามคำถามสุดท้ายแบบเปิดใจว่า ผมถามท่านจริงๆ เถิดว่า มหาเถรสมาคมเคยเรียกนายธัมมชโยมาสอบบ้างหรือไม่
ท่านเจ้าคุณพระพรหมสุธีเลขาจึงตอบว่า “ไม่เคยเรียกธัมมชโยมาสอบเลย”
ฉันจึงถามต่อว่า แล้วมหาเถรใช้อะไรมาเป็นหลักฐานการพิจารณา
ท่านเลขาตอบว่า ใช้หลักฐานเก่าที่ได้จากการรายงานของเจ้าคณะปกครองเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว
อุบ๊ะ ปาดโท่ เวรกรรมของพุทธบริษัทไทย นี่หรือมาตรฐานความยุติธรรมขององค์กรปกครองคณะสงฆ์
ยิ่งถาม ยิ่งซัก ยิ่งเห็นความอยุติธรรม ความลำเอียง ความไม่ซื่อตรง ความไม่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัย ความคุ้นเคยกับการละเมิดอาบัติของมหาแถมากขึ้นทุกที จนดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ธรรมดา จิ๊บจ๊อยมาก สำหรับพวกเขา
ควรแล้วหรือยัง คุณประยุทธ์ คสช. สนช. สปช. และประชาชนคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะลุกขึ้นมาขจัดปัดเป่า ปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา งานนี้ใครไม่ทำ เดี๋ยวพุทธะอิสระทำเอง วันจันทร์นี้จะไปยื่นหนังสือแก่ สปช. ท่านเทียนฉาย กีระนันทน์ และคุณบวรศักดิ์ รวมทั้งจะไปพบและยื่นหนังสือให้แก่ท่าน มล.ปนัดดา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ชงเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเร่งด่วน ส่วนจะชงเรื่องอะไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พุทธะอิสระ
จากเฟสบุ๊คหลวงปู่พุทธะอิสระ
หลวงปู่เผย บทสนทนากับเลขาสมเด็จวัดปากน้ำ / เตรียมยื่นหนังสือ ชงเรื่องเข้า สปช.และคณะรัฐมนตรี จันทร์นี้
๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
- มติมหาเถรถือเป็นใหญ่กว่าพระธรรมวินัยใช่หรือไม่
- พระบัญชา พระลิขิตพระสังฆราช พระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามใช่หรือไม่
- ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ข้อหายักยอกทรัพย์ เมื่อคืนสินทรัพย์แล้วถือว่าพ้นผิด ไม่ต้องอาบัติ ใช่หรือไม่
- เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชทรงโจทก์ภิกษุธัมมชโยด้วยอาบัติปาราชิก ด้วยพระลิขิตถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา ตามพระวินัย ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิกโดยไม่มีมูล เช่นนี้ควรต้องอาบัติสังฆาทิเสส คำถามคือ เมื่อมหาเถรมีมติว่านายธัมมชโยไม่เป็นปาราชิก นั่นก็แสดงว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงต้องอาบัติสังฆาทิเสสใช่หรือไม่
- การวินิจฉัยคดีและออกมติของมหาเถรสมาคม ๒ ครั้งมานี้ ถือเป็นบรรทัดฐานใช้ปกครองคณะสงฆ์ต่อไปถูกต้องไหม
เหล่านี้คือคำถามที่ฉันเดินทางไปหาคำตอบจากกรรมการมหาเถรสมาคมในวัดปากน้ำ ซึ่งมี ๓ (คน) ในวัดนี้ แต่กลับเจอแต่เลขาออกมาให้คำตอบ ทีนี้เรามาดูกันว่าท่านเลขา พระพรหมโมลี (สุชาติ ธัมมรตโน) ตอบว่าอย่างไร
เขาตอบข้อที่ ๑ ว่า มติมหาเถรไม่ได้เป็นใหญ่กว่าพระธรรมวินัย แต่เพื่อปกป้องพระธรรมวินัยและสังฆมณฑล (พวกคุณเชื่อไหม)
คำถามที่ ๒ เขาตอบว่า เป็นแค่บันทึกความเห็น ไม่ใช่คำสั่ง
ฉันเลยถามเพิ่มว่า บันทึกความเห็นถึง ๓ ฉบับ เช่นนี้ยังไม่เป็นคำสั่งอีกหรือ ซ้ำพระองค์ยังลงพระนามคำว่า สกลมหาสังฆปรินายก ทั้ง ๓ ฉบับอีก เช่นนี้จะถือว่าเป็นหนังสือบันทึกความเห็น ไม่มีผลได้อย่างไร
เขาตอบว่า แม้จะลงนามสกลมหาสังฆปรินายก ก็ยังไม่เป็นคำสั่ง ยังจัดอยู่ในประเภทหนังสือบันทึกความเห็นอยู่ดี (เอากับเขาสิพี่น้อง)
ฉันเลยถามต่อไปว่า เหตุใดมหาเถรจึงพิจารณาว่าหนังสือพระลิขิตนั้นเป็นหนังสือบันทึกความเห็นเท่านั้น ไม่ใช่คำสั่ง
เขาตอบว่า เพราะมีคำว่า “ถ้า”
โอ้ แม่เจ้า พี่น้องเอ๋ย เพราะคำว่า “ถ้า” นี่เอง พุทธบริษัทจึงเสียท่า เช่นนี้ จึงควรจัดสังฆทานชุดใหญ่อีกซักชุดถวายทั้งคณะ โอเคไหม
ฉันเลยถามคำถามที่ ๓ ว่าภิกษุธัมมชโย ผู้ต้องอาบัติปาราชิกเพราะยักยอกทรัพย์ เมื่อมีผู้ทวงถามแล้วคืนทรัพย์นั้น ทำไมมหาเถรจึงมีมติว่า ธัมมชโยไม่มีเจตนา ไม่ผิด และเขาก็ได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราช จึงถือว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิก มหาเถรใช้หลักคิดอะไรมาพิจารณาว่าธัมมชโยไม่ผิด
เขาตอบฉันว่า ใช้คำว่า “ถ้า” ที่มีในพระลิขิต โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ในพระลิขิตใช้คำว่า “ถ้า” ซึ่งมหาเถรนำมาพิจารณาเห็นว่าไม่ได้เป็นคำตัดสิน วินิจฉัย เป็นแค่การแสดงความเห็น
โอ้ มหาแถเอ๋ย มันแถไปเห็นๆ สังฆมณฑลอยู่ได้กันอย่างไรหนอ
ฉันฟังดังนั้นทำให้อ่อนแรงไข้ขึ้น มึนไปพัก พอดีมีบุรุษนิรนามมาช่วยท่านพระพรหมโมลี ท่าจะดูดี แต่พอฉันหันไปถามว่า ถ้าหากมีโจรลักขโมยยักยอกทรัพย์ไป พอเจ้าทุกข์ทวงถาม แล้วนำทรัพย์นั้นมาคืน เช่นนี้ถือว่าไม่ผิด ไม่ต้องรับโทษใช่หรือไม่
บุรุษนิรนามพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้ท่านเลขายุติการพูดคุย จะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ
ฉันเห็นกิริยาของบุรุษนิรนามที่จะมาทำลายกระบวนการซักถามให้ยุติลง ฉันจึงกล่าวขึ้นว่า หากคุณมานั่งแล้วตอบปัญหาฉันไม่ได้ ก็ไม่ควรมานั่งให้เสียบรรยากาศ และแล้วชายนิรนามจึงลุกหนีไป
ฉันจึงถามย้ำแก่พระพรหมโมลีว่า มหาเถรสมาคมนำเอาหลักการอะไรมาพิจารณาความผิดของธัมมชโย
ท่านเลขาตอบย้ำว่า มหาเถรสมาคมได้พิจารณาแล้วว่า ธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินแก่วัดแล้ว จึงถือว่าท่านได้ทำตามลิขิตเรียบร้อยแล้ว
ฉันจึงแย้งอีกว่า ทำไมมหาเถรสมาคมจึงได้พิจารณาเฉพาะแค่หนังสือเท่านั้น ทำไมไม่นำเอาพฤติกรรมของจำเลยมาประกอบการพิจารณา ว่ามีเจตนาหรือไม่มีเจตนา ด้วยเพราะมหาเถรสมาคมอ้างว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะยักยอก จึงไม่ผิด
ฉันจึงถามต่อไปว่า พฤติกรรมของจำเลย ยักยอกทรัพย์สินมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้าน มีทั้งเงินสดและที่ดิน ด้วยจำนวนทรัพย์มีมหาศาล เป็นไปไม่ได้ที่จะทำครั้งเดียว จำเลยทำการยักยอกหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ แล้วจะมาบอกว่า ไม่มีเจตนา (คุณประยุทธ์คุณเชื่อไหม)
ท่านเลขาโต้ว่า การพิจารณามหาเถร ได้นำเอาคำสั่งอัยการมาพิจารณาด้วย เมื่อคดีนี้ไปอยู่ในมือของอัยการ หลังจากอัยการพิจารณาสำนวนแล้ว มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง มหาเถรสมาคมจึงนำเอาคำวินิจฉัยของอัยการมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา ว่าจำเลยไม่ผิด
(ฉันรู้มาว่า หลังจากมีเจ้าคณะภาค ๑ ที่มาจากวัดพิชัยญาติ เข้ามาควบคุมการพิจารณาคดีของวัดธรรมกายฝ่ายสงฆ์ ฝ่ายอัยการก็มีการเปลี่ยนตัวกะทันหัน จนนำมาซึ่งคำสั่งไม่ฟ้อง แล้วเป็นข้ออ้างของกรรมการมหาเถรออกมีมติอัปยศดังกล่าว)
ฉันจึงถามว่า มหาเถรใช้ผลของคดีทางโลกมาเป็นหลักในการตัดสินอาบัติปาราชิกของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร
ท่านเลขาแย้งว่า เป็นระเบียบของกฎนิคหกรรม โดยอ้างว่ากฎนิคหกรรมบัญญัติไว้ว่า หากคดีทางโลกตัดสินว่าสิ้นสุด ทางธรรมถือว่าให้ยุติ ไม่ต้องสอบสวนเอาผิดต่อไป (ดู ดู ดูพี่เขาแถไปสิพี่น้อง)
ฉันฟังแล้วยิ่งเป็นมึน เลยถามย้ำว่า หลักพระธรรมวินัยบอกไว้ชัดว่า ภิกษุประพฤติละเมิดสิกขาบท ลักทรัพย์โดยประกอบด้วยเจตนา ทรัพย์นั้นราคาเกิน ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ เมื่อทำให้ทรัพย์นั้นพ้นจากฐานที่ตั้ง หากเป็นทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน เป็นอาบัติต่อเมื่อโอนเป็นของตนสำเร็จ แม้จะโอนคืนเจ้าของเดิมไปอีกครั้ง เมื่อมีผู้จับได้ ภิกษุนั้นก็มิอาจพ้นจากปาราชิกได้ ไม่มีสิกขาบทไหนบอกว่าต้องรอฟังคำวินิจฉัยของอาณาจักรก่อนเลย
ท่านเลขาจึงตัดบทว่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาตั้ง ๑๕ – ๑๖ ปีแล้ว เพื่อความสงบของสังฆมณฑล จึงไม่ควรรื้อฟื้นเอามาพูดกันใหม่ จะทำให้สังคมไม่สงบสุข (ดูเขาทำ ดูเขาทำ แสดงว่ามหาแถกมีธงอยู่ในใจแล้วว่า ให้มันจบๆ ไป โดยไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ หลักการของพระธรรมวินัย เช่นนี้จึงสมควรถวายสังฆทานชุดใหญ่ทั้งคณะ อีกหลายๆ รอบ)
ฉันจึงถามว่า ตามพระวินัย ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติปาราชิก หากไม่ผิดจริง ภิกษุผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เช่นนี้มหาเถรจะปรับอาบัติสังฆาทิเสสแก่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชด้วยหรือไม่
ท่านเลขาตอบว่า คงไม่ปรับ เพราะพระองค์โจทก์ด้วยความปรารถนาดี มิได้มีเจตนาใส่ร้าย (เอาเข้าไป พระวินัยบัญญัติไว้ หากผู้ถูกโจทก์ไม่ผิดจริง ผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แล้วเวลานี้ผู้ถูกโจทก์คือนายธัมมชโย ไม่ผิดจริงตามมติมหาเถร แล้วท่านผู้โจทก์ถูกมหาเถรทิ้งของเหม็นเอาไว้ให้ท่านอีก ทั้งที่ท่านทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว นี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฉันทนเฉยอยู่ไม่ได้)
ฉันจึงเปลี่ยนไปถามว่า การวินิจฉัยคดีของมหาเถระสมาคมในครั้งนี้ จะถือเป็นบรรทัดฐานในการปกครองคณะสงฆ์ในอนาคตต่อไปใช่ไหม คือถ้าหากผมไปขโมยหรือยักยอกทรัพย์สินของวัดหรือชาวบ้าน เมื่อถูกเจ้าของจับได้ ผมนำมาคืน ถือว่าผมไม่เป็นปาราชิก พ้นผิด ถูกต้องใช่หรือไม่)
ท่านเลขาท่านตอบว่า มันไม่เหมือนกัน จะนำมาเป็นบรรทัดฐานเดียวกันไม่ได้ (อ้าว แล้วจะยังไง ใครรู้ ช่วยตอบที)
ยิ่งถาม ดูท่านยิ่งวนไปวนมา อึดอัดมากอยู่ ฉันจึงถามคำถามสุดท้ายแบบเปิดใจว่า ผมถามท่านจริงๆ เถิดว่า มหาเถรสมาคมเคยเรียกนายธัมมชโยมาสอบบ้างหรือไม่
ท่านเจ้าคุณพระพรหมสุธีเลขาจึงตอบว่า “ไม่เคยเรียกธัมมชโยมาสอบเลย”
ฉันจึงถามต่อว่า แล้วมหาเถรใช้อะไรมาเป็นหลักฐานการพิจารณา
ท่านเลขาตอบว่า ใช้หลักฐานเก่าที่ได้จากการรายงานของเจ้าคณะปกครองเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว
อุบ๊ะ ปาดโท่ เวรกรรมของพุทธบริษัทไทย นี่หรือมาตรฐานความยุติธรรมขององค์กรปกครองคณะสงฆ์
ยิ่งถาม ยิ่งซัก ยิ่งเห็นความอยุติธรรม ความลำเอียง ความไม่ซื่อตรง ความไม่เอื้อเฟื้อพระธรรมวินัย ความคุ้นเคยกับการละเมิดอาบัติของมหาแถมากขึ้นทุกที จนดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ธรรมดา จิ๊บจ๊อยมาก สำหรับพวกเขา
ควรแล้วหรือยัง คุณประยุทธ์ คสช. สนช. สปช. และประชาชนคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะลุกขึ้นมาขจัดปัดเป่า ปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา งานนี้ใครไม่ทำ เดี๋ยวพุทธะอิสระทำเอง วันจันทร์นี้จะไปยื่นหนังสือแก่ สปช. ท่านเทียนฉาย กีระนันทน์ และคุณบวรศักดิ์ รวมทั้งจะไปพบและยื่นหนังสือให้แก่ท่าน มล.ปนัดดา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ชงเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเร่งด่วน ส่วนจะชงเรื่องอะไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พุทธะอิสระ
จากเฟสบุ๊คหลวงปู่พุทธะอิสระ