[Review หลงยุค] First Class: เพราะอยากโชว์เหนือเกินไป จึงทำให้เสียของ [Spoil]

กระทู้สนทนา
ต้องยอมรับว่า ผมเองเป็นคนที่อคติ กับวงการแฟชั่นพอสมควร (ซึ่งก็คงจะไม่ถูกต้องนัก)พอนึกถึงคนวงการแฟชั่นแล้ว ก็มักจะนึกภาพถึงคนเก่ง แต่ เริ่ด เชิดหยิ่ง กล้าโป๊ ทำความเข้าใจด้วยยาก ไม่เห็นหัวคน  จนกระทั่วได้มาดูรายการ The face Thailand ที่เห็นคุณลูกเกด เมทินี ซึ่งเป็นซูเปอร์โมเดลสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่นั่นล่ะครับ ถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาก  พอเห็นลูกเกดในรายการแล้วถึงค่อยเข้าใจว่าทำไมคนในสมัยนั้นถึงชมว่า ลูกเกดเป็นคนสวยที่มีสมอง เพราะจากเธอวางตัวได้ดีมาก ทั้งในด้านความเป็นมืออาชีพ และความเป็นครูที่ดูแลผู้เข้าแข่งขันในทีมของตัวเองได้อย่างเข้มงวด แต่ก็ดูมีเมตตาสมเป็นผู้ใหญ่ไปในคราวเดียวกัน

พอผมได้ยินเรื่องราวเกียวกับละครเรื่อง First Class ผมก็สองจิตสองใจว่าจะดูละครเรื่องนี้ดีหรือไม่ (สองจิตสองใจตลอดอีกแล้ว) เพราะในด้านหนึ่ง ผมได้ยินว่าละครเรื่องนี้ทำออกมาได้แซบ และนำเสนอการต่อสู้ระหว่างผู้หญิงในที่ทำงานอย่างดุเดือดแบบปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยจากละครญี่ปุ่นที่ผมเคยดูๆอยู่นัก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็คิดว่าเรื่องนี้คงออกมาแนว Devil Wears Prada  และด้วยความที่เป็นคนที่ชอบผู้หญิงญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงญี่ปุ่นในละครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงแอบกลัวๆว่า ดูไปแล้วจะเกิดอาการหมดศรัทธา แล้วกลัวไปเลย แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจดูจนได้




พอได้มาดูตอนแรก ก็สนใจติดตามต่อเลย ละครไม่ได้น่ากลัวโลกมืดอย่างที่คิด เพราะถึงแม้ตัวร้ายจะร้ายกาจ ใส่หน้ากาก แต่นางเอกใมนเรื่องก็ให้ความรู้สึกได้ว่าเป็นคนดีที่ไม่กระจอก มีความมุ่งมั่นพยายาม ดูน่านับถือ (ถึงแม้ผมจะทราบมาก่อนว่า เอริกะ ซาวาจิริ นี่เป็น “นางร้ายนอกจอ” ก็ยังสามารถอินกับเนื้อเรื่องได้ในระดับหนึ่ง)  ส่วนฝั่ง”ร้าย”ก็ดูดีมีความลึกกว่าละครไทย อย่างเช่น  บก.เรมุ ถึงร้ายแต่ก็ฝงความเป็นครูอยู่ในตัว หรือมิน่า ถึงจะดูวีนดูเหวี่ยง แต่ก็เอ็นดูนางเอก   พวกตัวร้ายในกอง บก. ก็ไม่ได้แกล้งนางเอกแบบโง่ๆ มีการคิดแผนสองชั้น อย่างเช่น ชิรายูกิก็แกล้งนางเอกโดยมีการวางก๊อกสองที่ทำให้ตัวเองไม่เสียงาน (ตอนหนึ่ง) หรือมีการดักทางเพื่อไม่ให้ตัวเองดูแป็นคนผิด (ตอนสาม) ส่วนเรมิเอะก็เดินเกมแบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว  ในขณะเดียวกัน ก็มีการใช้ลูกเล่นใหม่ๆ เช่นฉากบรรยายเสียงในใจ และการจัดอันดับตัวละครท้ายเรื่อง

ตอนกลางเรื่อง ก็ยิ่งชอบยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าเล่ห์เหลี่ยมของฝ่ายศัตรูนั้นเริ่มจะคุณภาพตกลงมาบ้าง ไม่ได้วางแผนหลายชั้นเหมือนช่วงสามตอนแรก แต่ก็มีสิ่งที่มาทำให้ประทัยใจก็คือ การปลูกฝังอุดมการณ์ตามสไตล์ละครญี่ปุ่น ที่ความเป็นคนดีและมีความมุ่งมั่นของตัวเอกสามารถทำให้ชนะใจคนรอบข้างมาเป็นพวกได้ อีกทั้งยังมีการสื่อให้เห็นถึงมิตรภาพลูกผู้หญิงที่อบอุ่น และความรักระหว่างพระเอกนางเอก ที่ถึงจะไม่หวานหยด แต่ก็ชวนให้พ่อยกแม่ยกเชียร์ได้

พอดูมาถึงจุดนี้แล้ว ผมคิดว่า เนื้อเรื่องที่ควรจะเป็นต่อไปตามสไตล์ละครคุณภาพญี่ปุ่นก็คือ ทีมของนางเอกทั้งสามคน ต่างร่วมแรงร่วมใจกัน  โดยนางเอกเป็นหัวหอก มีมีน่าจากฝั่งนางแบบและชิรายูกิจากฝั่งบรรณาธิการคอยสอนวิทยายุทธให้น้อง (ดูจากตอนที่มีน่าคุยกับตัวแทนบริษัทจีเวลรี่แล้ว เธอก็เป็นคนฉลาดเหมือนกัน เพียงแต่มีปมในใจคอยฉุดไว้) จนท้ายที่สุดที่ทำงานที่มีวัฒนธรรมการทำงานที่ชิงดีชิงเด่น เน้นแค่ผลงาน กลายเป็นที่ที่ทุกคนสามัคคีกัน และสร้างผลงานคุณภาพออกมาได้  จนบก.ใหญ่ก็ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่า ที่ตัวเองโยนอุดมการณ์ทิ้งไปนั้นถูกต้องหรือไม่ (เพราะลึกๆแล้ว เธอก็ดูเหมือนเป็นคนนิสัยดีมาก่อน)  เท่าที่ผ่านมานั้น มีละครญี่ปุ่นดีๆ ที่ผมชอบหลายเรื่องที่ตัวละครเอกนั้น แม้จะอยู่ในวงการที่โหดร้ายสกปรก แต่ก็แข็งแกร่งพอที่จพสามารถยืนหยัดได้อย่างสง่างาม และยังตัวของตัวเองอยู่ ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง  Change, Life, Queen’s Class Room เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายเรื่องกลับวกแนวกลับมาเป็นการเดินเรื่องสไตล์ซีรี่ย์ฝรั่งที่ “เน้นสมอง ไม่เน้นใจ”  นางเอกกลับมาดาร์กขึ้น หักเหลี่ยมเฉือนคมกับผู้ร้ายและเดินตามแนวคิดของ บก.ใหญ่ในที่สุด  ถึงแม้นี่จะเป็นเรื่อง “ลางเนื้อชอบลางยา”  แต่อย่างน้อยผมว่า การวางเรื่องนั้นดูไม่ลื่นไหลเท่าช่วงแรกๆ  เนื้อเรื่องควรจะมีเหตุผลมากกว่านี้  

- นางเอกดูเหมือนว่าอยู่ๆ ก็ร้ายขึ้นปุบปับเพียงเพราะว่า  บก. อนุญาตให้ร้ายได้ และโดนเรมิเอะกระแนะกระแหนจนตบะแตก  วิทยายุทธต่างๆ ก็เก่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเพียงเพราะ เดชคัมภีร์เทวดา  ที่ บก.ทิ้งไว้ให้  

- ส่วนบรรดาผู้บริหารบริษัทนี่ก็ได้อารมณ์มาเล่นขายของมากกว่า มาบริหารธุรกิจ เดี๋ยวสั่งปิด เดี๋ยวสั่งเปิดใหม่ เดี๋ยวสังตัดงบ แล้วถึงค่อยมาคิดเรื่องยอดขายทีหลัง ที่แปลกมากอีกอย่างก็คือเอาเด็กฝึกงานที่มาได้ไม่นานนัก (ถึงจะทำงานได้ดีก็ตาม) มานั่งตำแหน่งใหญ่ๆ แบบรอง บก. หรือหัวหน้าบรรณาธิการแบบปุบปับ

- ตัวละครบางตัวที่ผูบทมาให้เหมือนมีอะไร แต่ก็โดนตัดบททิ้งไปเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระเอกเป็นลูกเศรษฐี หรือหัวหน้าช่างกล้องที่แอบร้าย แต่พอเคลมนางเอกไม่สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรต่อ  ปล่อยกันไป

-    ความร้ายของนางอิจฉา และทริคต่างๆ คุณภาพดร็อปลงไปจนเท่าละครหลังข่าวไทย ยิ่งตัวเอเรน่านี่ ท่าเทียบกับมีน่าจริงๆแล้ว ถือว่าคนละชั้นกันเลย มีดีเพียงแค่บ้านรวย

-    ตัว บก. เองก็กลายเป็นตัวละครที่เทพที่สุดในเรื่อง วางแผนทุกอย่างไว้ตั้วแต่ต้นหมด
แต่ท่าทีก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทางไหนแน่ ตั้งแต่ต้นเหมือนกับว่าเป็นคนใช้พระเดชมากกว่าพระคุณ แต่ตอนท้ายกับเป็นว่าเป็นคนที่ทุกคนในบริษัทสุดจะซาบซึ้งในบุญคุณที่จ้างมาจนต้องมาทำงานให้นางเอกให้ฟรีๆกันถ้วนหน้า  ทั้งๆที่นางเอกในช่วงหลังก็ไม่ได้แสดงถึงบารมีขนาดนั้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ จึงทำให้ละครที่ปูเรื่องมาอย่างดีหกตอนแรก ต้องเสียของไปอย่างน่าดาย และชวนให้ตีความไปนิดหน่อยว่า ละครอาจจะสะท้อนแนวคิดเชิงอนุรักษ์นิยมแบบญี่ปุ่นทีไม่ค่อยอยากให้เอาอำนาจไปไว้ในมือผู้หญิงก็เป็นได้  (พออำนาจอยู่ในมือ นิสัยก็เปลี่ยน พอหลุดพ้นจากวังวนของการชิงอำนาจ กลายเป็นคนดี )

ตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้  กลับไม่ใช่นางเอก แต่เป็นกลับเป็นมีน่า ที่นำแสดงโดย ซาซากิ โนโซมิ (ถ้าดูประวัติเธอมาแล้ว เธอก็เป็น “นางร้ายนอกจอ” อีกคนที่มีฉายา “No Mercy” เป็นประกัน  แต่ถึงจะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ตอนดูเรื่องนี้ก็ยังรู้สึกว่าตัวละครนี้น่ารักมาก จนแอบรู้สึกเสียดายเล็กๆ)  จากแรกเริ่มเดิมที นางแบบขาวีนที่มีปมในใจ กลายเป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตัว (ชอบฉากที่แสดงให้เห็นพัฒนาการอ้อมๆของเธอตอนมากินข้าวที่ร้านเจ้าประจำของนางเอก ตอนแรกแต่งมาซะสวยและแอบบ่นนิดๆว่าแคลอรี่เยอะไป มาครั้งที่สอง แต่งตัวสบายขึ้น แต่แค่นั่งดูเพื่อนกิน  แต่พอมาครั้งที่สาม ก็มัดจุก ใส่แว่น แล้วมานั่งเปิบข้าวไก่ทอดอย่างอร่อย) และยอมถึงขั้นเสียสละหน้าที่การงานและเรื่องราวส่วนตัวของตนเพื่อช่วยเพื่อนและนิตยสาร



แต่ก็แอบน่าเสียดายหน่อยนึงตอนจบที่ เนื้อเรื่องให้เธอตัดสินใจเดิตามความฝันใหม่มาเป็นเลขาเอเรน่า โดยที่เรื่องไม่ได้สื่อให้เห็นว่าทำไมเธอถึงมีแรงบันดาจใจเช่นนั้น  (ไม่รู้ว่าอยากเธอตบเกรียนเอเรน่า หรือว่าเกิดอ็นดูเอเรน่าขึ้นมาแทน)   โดยส่วนตัว เนื้อเรื่องของมีน่าจะจบสวยกว่านี้ ถ้าให้เธอโผล่มาเป็นสมาชิกใหม่ของกองบรรณาธิการ First Class (ที่อาจมารับจ๊อบถ่ายแบบครั้งคราวแบบนางเอก)  เพราะเธอไม่เพียงที่จะได้แรงบันดาลใจจากนางเอกเท่านั้น แต่เธอก็ยังมีความตั้งใจที่จะใกล้ชิดแฟนๆมากขึ้น และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงที่ไม่สวยด้วย ซึ่งงานบรรณาธิการใน first class น่าจะตอบโจทย์ได้ตรงมากกว่าการเป็นเลขานางแบบเหมือนในเรื่อง





เท่าที่ผมทราบมาจากนื้อเรื่องย่อของ season 2 นั้น ภาคต่อของ First Class น่าจะทำตามแนวทางช่วงท้ายเรื่อง ของ season 1 เป็นหลัก ดังที่จะเห็นได้จากคำกล่าวประจำตัวนางเอก   ซึ่งจะว่าไปแล้วก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆเหมือนกัน  เพราะผมว่าแนวทางแบบหกตอนแรกของละครนั้นดีมากกว่าช่วงสี่ตอนท้าย
แต่ถึงอย่างไรก็จะติดตามต่อครับ (ยังอยากดูว่ามีน่าจะโดนยำบทเหมือนนางเอกหรือเปล่า)  ก็หวังว่าคงมีใครสักคนทำซับอังกฤษออกมซะที เพราะภาษาญี่ปุ่นของตัวเองยังไม่แข็งพอที่จะดูรู้เรื่อง ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ ส่วนตอนนี้ก็คงรออยู่ต่อไป


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่