คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
สิ่งที่ผมได้พยายาม บอกกับมุสลิมในที่นี้และสมาชิกทั้งหลาย มาหลายสิบกว่าปีแล้วว่า อัลกุรอานไม่ใช่ตำราวิทยาศาตร์ หรือ ภูมิศาสตร์ หรือ ศาสตร์ต่างๆ, แต่เป็นบัญญัติของพระเจ้าที่พยายามจะยกตัวอย่างธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง รอบๆตัวเรา, ทำให้มนุษย์มีความสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งทางอิสลามเชื่อว่าเป็นผลงานการสร้างของพระเจ้า
เป็นผลงานที่กระตุ้นสติปัญญาให้มนุษย์ค้นคว้าและหาคำตอบในสิ่งต่างๆ เป็นรากฐานของปัญหาที่ทำให้มนุษย์เกิดสติปัญญา ด้วยการค้นคว้าหาความจริงอย่างไม่มีทางสิ้นสุด เพื่อจะหาสาเหตุถึงสิ่งที่ อัลกุรอานกล่าวไว้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งการค้นคว้าที่เป็น Dynamic ที่ไม่หยุดนิ่งและยังคงคำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ประสพผลสำเร็จเป็นระยะๆ และพบการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอย่างไม่สิ้นสุด
ในบัญญัติที่ 32 ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ กล่าวไว้ว่า...
وَجَعَلْنَا السَّمَاءَ سَقْفًا مَحْفُوظًا ۖ وَهُمْ عَنْ آيَاتِهَا مُعْرِضُونَ
And We have made the heavens as a canopy well guarded: yet do they turn away from the Signs which these things (point to)![Yusufali 21:32]
ซึ่งมีความหมายว่า ท้องฟ้าที่กว้างขวางนี้ เปรียบเสมือนหลังคาที่กว้างใหญ่ ครอบคลุมจักรวาลต่างๆไม่จำกัดอยู่แต่สุริยจักรวาลเท่านั้น,ซึ่งใหญ่กว่า solar system/สุริยจักรวาล ซึ่งปรากฏ ให้สายตาของมนุษย์ธรรมดา โดยเฉพาะชาวอรับทะเลทรายได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า ดวงดาวต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ในสุริยจักวาล นั้นล่องลอยอยู่ในบรรยากาศภายใต้หลังคา(ท้องฟ้า) โดยที่ไม่ร่วงหล่น, หรือมีการกระทบชนกัน เนื่องจากอยู่ภายใต้ระบบที่มีการควบคุมเป็นอย่างดีโดยอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่ง ทางอิสลามเรียกว่า "พระเจ้า/อัลลอฮ์ ซึ่ง ใครจะเรียกว่าเป็นเอกพลานุภาพ หรือ อำนาจใดๆก็ได้แล้วแต่ความศรัทธาของผู้นั้น บางคนก็เรียกว่า ธรรมขาติ,พลังงาน ฯลฯ แต่ทางอิสลามเรียกว่า เอกพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่
การยกตัวอย่างเช่นนี้เป็นการสอนความรู้เบื้องต้น สำหรับมนุษย์ชาวทะเลทรายป่าเถื่อน ซึ่งไม่มีความรู้ทาง astronomy/ดาราศาสตร์ แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ในการชี้นำอรับป่าเถื่อนในยุคมืดให้เข้าใจ การล่องลอยของดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้า อย่างมีระเบียบ ภายใต้การควบคุมของ เอกพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่/อัลลอฮ์, แม้กระนั้นพวกอรับป่าเถื่อนเหล่านั้นก็ยังหลงทางด้วยความเขลา
บัญญัติที่ 33 ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ กล่าวต่อไปว่า...
وَهُوَ الَّذِي خَلَقَ اللَّيْلَ وَالنَّهَارَ وَالشَّمْسَ وَالْقَمَرَ ۖ كُلٌّ فِي فَلَكٍ يَسْبَحُونَ
And He it is Who created the night and the day, and the sun and the moon. They float, each in an orbit.
และพระองค์ทรงสร้าง กลางคืนกลางวัน, ดวงอาทิตย์และ ดวงจันทร์, ที่ล่องลอยอยู่ในวงจรของมัน, เราทราบจากบัญญัติที่ 32 แล้วว่า ตามความหมายในบัญญัติที่ 32 นั้นไม่ได้จำกัด อยู่แต่ solar system/สุริยจักรวาล แต่เพียง ระบบ เดียวที่ ล่องลอยอยู ภายใต้หลังคาสมติ ที่เป็นการเปรียบเทียบ ให้ผู้คนชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ในเรื่องอะไรที่เราเรียกว่า ท้องฟ้าซึ่งมีสภาพเหมือนหลังคาเต้น อย่างที่ชาวอรับทะเลทรายใช้อยู่ ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจได้
คำภาษาอรับที่ว่า "فَلَكٍ يَسْبَحُونَ " (ฟะละกิน ย้สบะฮูนะ) ในที่นี้ หมายถึง Orbit ที่ floating ที่ล่องลอยอยู่ ภายใต้หลังคา แห่งการเปรียบเทียบ เปรียบเสมือนว่า เรากำลังเล่าเรื่องราวนี้ ให้ ลูกหลานเราซึ่งมีอายุ 3-4 ขวบฟังเพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการรู้จัก ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
เช่นเดียวกับเรากำลัง อธิบายให้เด็กๆ 3-4 ขวบเข้าใจโดยเอาอ่างน้ำใบใหญ่ แล้วเอา ลูกปิงปอง ผูกติดกัน เป็นวงกลม สัก 3-4 พวง แล้ววาง พวงลูกปิงปองเหล่านั้น ให้ลอยอยู่ในอ่าง พวงลูกปิงปองเหล่านั้น ก็จะทำให้เด็กเห็นว่า แต่ละพวงของลูกปิงปองก็จะลอยเป็นพวงๆ ไม่หลุดจากกัน และเราคอยเอานิ้วเรา แยกพวงปิงปองแต่ละพวงไม่ให้ชนกัน และถ้าไม่มี "เราที่คอยควบคุมพวงลูกปิงปองเหล่านั้น" พวงปิงปองก็จะกระทบกันและล่องรอยอย่างไม่มีระเบียบ
จะเห็นว่า อัลกุรอานไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ แต่เป็นคัมภีร์ที่สอนทางเรื่องจิตวิญญาณ ในเรื่องความศรัทธาในเรื่องการทำความดี,ในเรื่องคุณธรรม โดยเริ่มต้นจากการแนะนำให้รู้จักพระเจ้าด้วยการเปรียบเทียบทางธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีความรู้มีความกระตือรือร้น ได้เกิดความสังเกตุ ด้วยการใช้สติปัญญา และความเข้าใจ(17:36) ถ้าเอาหลัก ฟิสิกส์ ซึ่งยังไม่มีสอนในสมัยนั้นมาอธิบาย ก็จะไม่มีความเข้าใจได้ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ถ้าผมเป็นครูผู้สอนศาสนาผมก็จะจับมดสักตัวหนึ่ง วางไว้บนลูกปิงปอง และบอกกับเด็กว่า มดนั้นเปรียบเสมือน คนเราที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่ในความควบคุมของพระเจ้าเช่นกัน มนุษย์อวกาศก็เปรียบเสมือน มดอีกตัวซึ่งพยายามที่จะ ค้นคว้าหาทางไปสู่พวงปิงปองอื่นๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ต่อจากบัญญัติ ที่33 ก็หันมาทาง เรื่อง จิตวิญญาณ ใน บัญญัติที่ 21:34
وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ ۖ أَفَإِنْ مِتَّ فَهُمُ الْخَالِدُونَ
And We did not ordain abiding for any mortal before you. What! Then if you die, will they abide?[Shakir 21:34]
พระองค์ทรงอธิบายถึงความไม่ถาวรของทุกๆสิ่งในโลก โดยเฉพาะ ชีวิต, การมีชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไม่มีความตายนั้นพระองค์ไม่เคยอนุมัติให้ผู้ใดบนโลกนี้, ถึงแม้บางคนอาจจะมีอายุอยู่ได้อย่างยืนนาน ในที่สุดก็ต้องตายเช่นกัน
การอธิบายในบัญญัติ ที่ 21:32-33 เป็นเพียง ความรู้ขั้นอนุบาล ให้ชาวอรับทะเลทราย เข้าใจว่า การที่มีกลาง วันกลางคืนนั้น เราเห็นตามที่เรายืนอยู่บนโลกนี้,และดวงดาวต่างๆที่เห็นอยู่บนท้องฟ้านั้น เกิดจากการสร้างและการควบคุมของ เอกพลานุภาพ/พระเจ้า/อัลลอฮ์
อัลกุรอานได้บอกให้ทราบแล้วว่า อัลกุรอานเป็นหนังสือที่ง่ายต่อความเข้าใจ ถ้าเราไม่เป็นผู้ทรนงท้าทายคำสอนของพระเจ้า ที่เรายังขาดความรู้, ดังนั้นมุสลิมทุกๆคนจึงต้องขวนขวายหาความรู้ในทุกๆทางที่จะนำสังคมมุสลิมไปสู่ความเจริญและความสันติ ตามความมุ่งหมายของศาสนาอิสลามที่แท้จริง
ถ้ามุสลิมเราไม่ศึกษาอัลกุรอาน, แต่ดันไปยึดถือเรื่องบอกเล่าในความเลวต่างๆของ อรับป่าเถื่อนที่ถูกสอดแทรกมาในอิสลามแล้ว, จะทำให้มุสลิมหลงทางจากวิถีทางของอัลลอฮ์ ไปสู่หนทางของ ซัยตอน อย่างที่ มุสลิมISIS กระทำให้เป็นตัวอย่างๆเช่นในปัจจุบันนี้ ซึ่งมาจากคำสอนที่สอดแทรกอยู่ในสังคมมุสลิมทั้งสิ้น มุสลิมISIS ไม่ได้ กระทำสิ่งใดที่ไม่มีสอน อยู่ในสังคมมุสลิมเลย
เรื่องนี้ถ้ามุสลิมรู้ความจริงแล้ว ควรหยุดคำสอนที่ชั่วช้าทารุณในนามของศาสนาอิสลาม เช่นเรื่อง การสังหารโดยการปาด้วยหินจนตาย, การตัดมือตัดตีนมนุษย์(เนื่องจากไม่เข้าใจอัลกุรอาน), การฆ่าผู้ละทิ้งอิสลาม, การเผามนุษย์ทั้งเป็น, การข่มขืนเชลยศึก และสิ่งเลวๆอื่นๆอีกที่ไม่เข้า กับ Norm ของมนุษยชาต สิ่งเหล่านี้ มุสลิมในที่นี้รู้แก่ใจดี แต่ไม่น่าจะทำเป็นไม่รู้เรื่อง, กลับแถไปเป็นเรื่องขำขันและมีความสุขใจ ที่เขาด่าว่า ศาสนาอิสลามในเรื่องความทารุณกรรมเหล่านั้น
เป็นผลงานที่กระตุ้นสติปัญญาให้มนุษย์ค้นคว้าและหาคำตอบในสิ่งต่างๆ เป็นรากฐานของปัญหาที่ทำให้มนุษย์เกิดสติปัญญา ด้วยการค้นคว้าหาความจริงอย่างไม่มีทางสิ้นสุด เพื่อจะหาสาเหตุถึงสิ่งที่ อัลกุรอานกล่าวไว้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งการค้นคว้าที่เป็น Dynamic ที่ไม่หยุดนิ่งและยังคงคำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ประสพผลสำเร็จเป็นระยะๆ และพบการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติอย่างไม่สิ้นสุด
ในบัญญัติที่ 32 ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ กล่าวไว้ว่า...
وَجَعَلْنَا السَّمَاءَ سَقْفًا مَحْفُوظًا ۖ وَهُمْ عَنْ آيَاتِهَا مُعْرِضُونَ
And We have made the heavens as a canopy well guarded: yet do they turn away from the Signs which these things (point to)![Yusufali 21:32]
ซึ่งมีความหมายว่า ท้องฟ้าที่กว้างขวางนี้ เปรียบเสมือนหลังคาที่กว้างใหญ่ ครอบคลุมจักรวาลต่างๆไม่จำกัดอยู่แต่สุริยจักรวาลเท่านั้น,ซึ่งใหญ่กว่า solar system/สุริยจักรวาล ซึ่งปรากฏ ให้สายตาของมนุษย์ธรรมดา โดยเฉพาะชาวอรับทะเลทรายได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า ดวงดาวต่างๆ ที่เราเห็นอยู่ในสุริยจักวาล นั้นล่องลอยอยู่ในบรรยากาศภายใต้หลังคา(ท้องฟ้า) โดยที่ไม่ร่วงหล่น, หรือมีการกระทบชนกัน เนื่องจากอยู่ภายใต้ระบบที่มีการควบคุมเป็นอย่างดีโดยอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่ง ทางอิสลามเรียกว่า "พระเจ้า/อัลลอฮ์ ซึ่ง ใครจะเรียกว่าเป็นเอกพลานุภาพ หรือ อำนาจใดๆก็ได้แล้วแต่ความศรัทธาของผู้นั้น บางคนก็เรียกว่า ธรรมขาติ,พลังงาน ฯลฯ แต่ทางอิสลามเรียกว่า เอกพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่
การยกตัวอย่างเช่นนี้เป็นการสอนความรู้เบื้องต้น สำหรับมนุษย์ชาวทะเลทรายป่าเถื่อน ซึ่งไม่มีความรู้ทาง astronomy/ดาราศาสตร์ แต่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น ในการชี้นำอรับป่าเถื่อนในยุคมืดให้เข้าใจ การล่องลอยของดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้า อย่างมีระเบียบ ภายใต้การควบคุมของ เอกพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่/อัลลอฮ์, แม้กระนั้นพวกอรับป่าเถื่อนเหล่านั้นก็ยังหลงทางด้วยความเขลา
บัญญัติที่ 33 ซูเราะห์อัลอัมบิยาอ์ กล่าวต่อไปว่า...
وَهُوَ الَّذِي خَلَقَ اللَّيْلَ وَالنَّهَارَ وَالشَّمْسَ وَالْقَمَرَ ۖ كُلٌّ فِي فَلَكٍ يَسْبَحُونَ
And He it is Who created the night and the day, and the sun and the moon. They float, each in an orbit.
และพระองค์ทรงสร้าง กลางคืนกลางวัน, ดวงอาทิตย์และ ดวงจันทร์, ที่ล่องลอยอยู่ในวงจรของมัน, เราทราบจากบัญญัติที่ 32 แล้วว่า ตามความหมายในบัญญัติที่ 32 นั้นไม่ได้จำกัด อยู่แต่ solar system/สุริยจักรวาล แต่เพียง ระบบ เดียวที่ ล่องลอยอยู ภายใต้หลังคาสมติ ที่เป็นการเปรียบเทียบ ให้ผู้คนชาวบ้านที่ไม่มีความรู้ในเรื่องอะไรที่เราเรียกว่า ท้องฟ้าซึ่งมีสภาพเหมือนหลังคาเต้น อย่างที่ชาวอรับทะเลทรายใช้อยู่ ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจได้
คำภาษาอรับที่ว่า "فَلَكٍ يَسْبَحُونَ " (ฟะละกิน ย้สบะฮูนะ) ในที่นี้ หมายถึง Orbit ที่ floating ที่ล่องลอยอยู่ ภายใต้หลังคา แห่งการเปรียบเทียบ เปรียบเสมือนว่า เรากำลังเล่าเรื่องราวนี้ ให้ ลูกหลานเราซึ่งมีอายุ 3-4 ขวบฟังเพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการรู้จัก ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
เช่นเดียวกับเรากำลัง อธิบายให้เด็กๆ 3-4 ขวบเข้าใจโดยเอาอ่างน้ำใบใหญ่ แล้วเอา ลูกปิงปอง ผูกติดกัน เป็นวงกลม สัก 3-4 พวง แล้ววาง พวงลูกปิงปองเหล่านั้น ให้ลอยอยู่ในอ่าง พวงลูกปิงปองเหล่านั้น ก็จะทำให้เด็กเห็นว่า แต่ละพวงของลูกปิงปองก็จะลอยเป็นพวงๆ ไม่หลุดจากกัน และเราคอยเอานิ้วเรา แยกพวงปิงปองแต่ละพวงไม่ให้ชนกัน และถ้าไม่มี "เราที่คอยควบคุมพวงลูกปิงปองเหล่านั้น" พวงปิงปองก็จะกระทบกันและล่องรอยอย่างไม่มีระเบียบ
จะเห็นว่า อัลกุรอานไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์ แต่เป็นคัมภีร์ที่สอนทางเรื่องจิตวิญญาณ ในเรื่องความศรัทธาในเรื่องการทำความดี,ในเรื่องคุณธรรม โดยเริ่มต้นจากการแนะนำให้รู้จักพระเจ้าด้วยการเปรียบเทียบทางธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีความรู้มีความกระตือรือร้น ได้เกิดความสังเกตุ ด้วยการใช้สติปัญญา และความเข้าใจ(17:36) ถ้าเอาหลัก ฟิสิกส์ ซึ่งยังไม่มีสอนในสมัยนั้นมาอธิบาย ก็จะไม่มีความเข้าใจได้ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ถ้าผมเป็นครูผู้สอนศาสนาผมก็จะจับมดสักตัวหนึ่ง วางไว้บนลูกปิงปอง และบอกกับเด็กว่า มดนั้นเปรียบเสมือน คนเราที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่ในความควบคุมของพระเจ้าเช่นกัน มนุษย์อวกาศก็เปรียบเสมือน มดอีกตัวซึ่งพยายามที่จะ ค้นคว้าหาทางไปสู่พวงปิงปองอื่นๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ต่อจากบัญญัติ ที่33 ก็หันมาทาง เรื่อง จิตวิญญาณ ใน บัญญัติที่ 21:34
وَمَا جَعَلْنَا لِبَشَرٍ مِنْ قَبْلِكَ الْخُلْدَ ۖ أَفَإِنْ مِتَّ فَهُمُ الْخَالِدُونَ
And We did not ordain abiding for any mortal before you. What! Then if you die, will they abide?[Shakir 21:34]
พระองค์ทรงอธิบายถึงความไม่ถาวรของทุกๆสิ่งในโลก โดยเฉพาะ ชีวิต, การมีชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไม่มีความตายนั้นพระองค์ไม่เคยอนุมัติให้ผู้ใดบนโลกนี้, ถึงแม้บางคนอาจจะมีอายุอยู่ได้อย่างยืนนาน ในที่สุดก็ต้องตายเช่นกัน
การอธิบายในบัญญัติ ที่ 21:32-33 เป็นเพียง ความรู้ขั้นอนุบาล ให้ชาวอรับทะเลทราย เข้าใจว่า การที่มีกลาง วันกลางคืนนั้น เราเห็นตามที่เรายืนอยู่บนโลกนี้,และดวงดาวต่างๆที่เห็นอยู่บนท้องฟ้านั้น เกิดจากการสร้างและการควบคุมของ เอกพลานุภาพ/พระเจ้า/อัลลอฮ์
อัลกุรอานได้บอกให้ทราบแล้วว่า อัลกุรอานเป็นหนังสือที่ง่ายต่อความเข้าใจ ถ้าเราไม่เป็นผู้ทรนงท้าทายคำสอนของพระเจ้า ที่เรายังขาดความรู้, ดังนั้นมุสลิมทุกๆคนจึงต้องขวนขวายหาความรู้ในทุกๆทางที่จะนำสังคมมุสลิมไปสู่ความเจริญและความสันติ ตามความมุ่งหมายของศาสนาอิสลามที่แท้จริง
ถ้ามุสลิมเราไม่ศึกษาอัลกุรอาน, แต่ดันไปยึดถือเรื่องบอกเล่าในความเลวต่างๆของ อรับป่าเถื่อนที่ถูกสอดแทรกมาในอิสลามแล้ว, จะทำให้มุสลิมหลงทางจากวิถีทางของอัลลอฮ์ ไปสู่หนทางของ ซัยตอน อย่างที่ มุสลิมISIS กระทำให้เป็นตัวอย่างๆเช่นในปัจจุบันนี้ ซึ่งมาจากคำสอนที่สอดแทรกอยู่ในสังคมมุสลิมทั้งสิ้น มุสลิมISIS ไม่ได้ กระทำสิ่งใดที่ไม่มีสอน อยู่ในสังคมมุสลิมเลย
เรื่องนี้ถ้ามุสลิมรู้ความจริงแล้ว ควรหยุดคำสอนที่ชั่วช้าทารุณในนามของศาสนาอิสลาม เช่นเรื่อง การสังหารโดยการปาด้วยหินจนตาย, การตัดมือตัดตีนมนุษย์(เนื่องจากไม่เข้าใจอัลกุรอาน), การฆ่าผู้ละทิ้งอิสลาม, การเผามนุษย์ทั้งเป็น, การข่มขืนเชลยศึก และสิ่งเลวๆอื่นๆอีกที่ไม่เข้า กับ Norm ของมนุษยชาต สิ่งเหล่านี้ มุสลิมในที่นี้รู้แก่ใจดี แต่ไม่น่าจะทำเป็นไม่รู้เรื่อง, กลับแถไปเป็นเรื่องขำขันและมีความสุขใจ ที่เขาด่าว่า ศาสนาอิสลามในเรื่องความทารุณกรรมเหล่านั้น
คุณๆมีความขำขันและเป็นสุขใจได้อย่างไรในเมื่อมีการกระทำชั่วในนามของศาสนาอิสลามเกิดขึ้น, และกำลังถูกชาวโลกเขาตำหนิอิสลามอยู่ในขณะนี้, "หยุดความขำขัน และ ความสุขจอมปลอม" ได้แล้ว, และหันกลับมาอธิบายหลักการอิสลามให้ตรงตามคำถามอย่างผู้มีความรู้ที่จะ รักษาความมีสัจธรรม ของอิสลามให้ถูกต้อง ซึ่งจะแสดงถึงความเป็นมุสลิมที่รักอิสลามและเชื่อฟังท่านศาสดามูฮัมมัดที่แท้จริง
ความคิดเห็นที่ 5
http://pantip.com/topic/33135688
ตามหลักของอิสลามแล้วมุสลิมควรจะเรียนทั้งสายสามัญและสายศาสนาควบคู่กัน แต่ปัจจุบันผมเห็นมุสลิมจำนวนมากเลยที่ต้องการเรียนศาสนาอย่างเดียว ไม่เอาสายสามัญเลย และบางส่วนยังมาร้องทุกข์ว่าไม่มีงานทำจะขอสิทธิพิเศษ
มุสลิมต้องศึกษาตลอดชีวิตถูกต้องแล้ว แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเรียนทางศาสนาอย่างเดียว ศาสนาใช้การศึกษาด้วยตนเองรึศึกษานอกเวลาก็ได้ไม่จำเป็นต้องเรียนให้สำเร็จประกาศนียบัตร บอกตามตรงผมเห็นมุสลิมเยอะแยะที่เก่งกาจ ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมจนแตกฉาน ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาว่าเขาต้องศึกษาแต่เพียงเรื่องศาสนาอย่างเดียวเลย อย่างเช่น ดร.อิมรอน มะลูลีม ก็คนหนึ่ง ดร.สุริทร์ พศสุวรรณก็คนหนึ่ง นายเด่น โต๊ะมีนาก็คนหนึ่ง รวมไปถึงมุสลิมหลายๆท่านในที่นี้ก็ไม่ได้จบการศาสนา เรียนจบสายอื่นมา แต่มีความรู้ทางศาสนาในระดับดีเยี่ยมกัน
ตามหลักของอิสลามแล้วมุสลิมควรจะเรียนทั้งสายสามัญและสายศาสนาควบคู่กัน แต่ปัจจุบันผมเห็นมุสลิมจำนวนมากเลยที่ต้องการเรียนศาสนาอย่างเดียว ไม่เอาสายสามัญเลย และบางส่วนยังมาร้องทุกข์ว่าไม่มีงานทำจะขอสิทธิพิเศษ
มุสลิมต้องศึกษาตลอดชีวิตถูกต้องแล้ว แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องเรียนทางศาสนาอย่างเดียว ศาสนาใช้การศึกษาด้วยตนเองรึศึกษานอกเวลาก็ได้ไม่จำเป็นต้องเรียนให้สำเร็จประกาศนียบัตร บอกตามตรงผมเห็นมุสลิมเยอะแยะที่เก่งกาจ ศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมจนแตกฉาน ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาว่าเขาต้องศึกษาแต่เพียงเรื่องศาสนาอย่างเดียวเลย อย่างเช่น ดร.อิมรอน มะลูลีม ก็คนหนึ่ง ดร.สุริทร์ พศสุวรรณก็คนหนึ่ง นายเด่น โต๊ะมีนาก็คนหนึ่ง รวมไปถึงมุสลิมหลายๆท่านในที่นี้ก็ไม่ได้จบการศาสนา เรียนจบสายอื่นมา แต่มีความรู้ทางศาสนาในระดับดีเยี่ยมกัน
ความคิดเห็นที่ 11
คห. 9 นี่สุดยอดแห่งการตีความย้อนหลังจริงๆ ไม่แปลกที่พวกนี้ชอบพูดว่าคัมภีร์รู้ทุกอย่างก่อนวิทยาศาสตร์ตั้งนานแล้ว เพราะตีความเก่งอย่างนี้นี่เอง
"โลกหมุนด้วยความเร็วคงที่โดยไม่แกว่ง" --> "และเราได้ทำให้ภูเขาน้อยใหญ่เป็นหลักในแผ่นดินเพื่อมันจะได้ไม่ไหวกับพวกเขา", “และเรามิได้ให้ภูเขาเป็นหลักตรึงหรือ”
หมุนคงที่คือไม่ขยับ?????
แค่อ่านข้อความที่ยกมาอย่างที่พูดว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์โคจร หรือภูเขาอยู่นิ่ง ก็รู้แล้วว่าหนังสือเขียนในสมัยที่ความรู้ยังไม่มีด้วยซ้ำว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ คือยังคิดอยู่เลยว่าโลกนิ่งและมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์โคจรรอบ
ความสามารถในการตีความเข้าข้างตัวเองนี่มันสุดยอดจริง ตีความคำว่า "เป็นหลักตรึง" ให้แปลว่า "หมุนคงที่" ได้นี่สุดยอดแล้ว
ต่อมามีพูดถึงแผ่นดินไหวอีก ไม่รู้จะเอาไงแน่ จะสรุปว่าพระเจ้าตรึงภูเขาไม่ให้ไหวแล้วภูเขานี่ไม่มีแผ่นดินไหวเรอะ
"โลกหมุนด้วยความเร็วคงที่โดยไม่แกว่ง" --> "และเราได้ทำให้ภูเขาน้อยใหญ่เป็นหลักในแผ่นดินเพื่อมันจะได้ไม่ไหวกับพวกเขา", “และเรามิได้ให้ภูเขาเป็นหลักตรึงหรือ”
หมุนคงที่คือไม่ขยับ?????
แค่อ่านข้อความที่ยกมาอย่างที่พูดว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์โคจร หรือภูเขาอยู่นิ่ง ก็รู้แล้วว่าหนังสือเขียนในสมัยที่ความรู้ยังไม่มีด้วยซ้ำว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ คือยังคิดอยู่เลยว่าโลกนิ่งและมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์โคจรรอบ
ความสามารถในการตีความเข้าข้างตัวเองนี่มันสุดยอดจริง ตีความคำว่า "เป็นหลักตรึง" ให้แปลว่า "หมุนคงที่" ได้นี่สุดยอดแล้ว
ต่อมามีพูดถึงแผ่นดินไหวอีก ไม่รู้จะเอาไงแน่ จะสรุปว่าพระเจ้าตรึงภูเขาไม่ให้ไหวแล้วภูเขานี่ไม่มีแผ่นดินไหวเรอะ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ศาสนาอิสลาม
วิทยาศาสตร์
มุสลิมนักสอนศาสนาชาวซาอุดี้ เทศน์สอน ปฎิเสธการหมุนของโลก
ลองฟังเหตุผลของท่านดู น่าสนใจทีเดียว อธิบายได้เข้าใจอย่างง่ายดาย เห็นภาพ คิดตามไปด้วยแล้วก็น่าจะเป็นไปตามนั้น
นี่อาจจะเป็นการค้นพบพลิกโฉมวงการวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 เลยทีเดียว
ใครสนใจลองฟังดู