ดูแล้วท่าจะกินอร่อยจริง ตัวใหญ่ เนื้อแน่น เนื้อเยอะ
หากพูดถึง ‘มอริเชียส’ หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ บางคนอาจคุ้นหูในฐานะประเทศที่ 'รวยที่สุดในทวีปแอฟริกา' ซึ่งบางคนก็ไม่อยากนับ เพราะประเทศนี้ประชากรแทบทั้งหมดเป็นชาวอินเดียที่ย้ายถิ่นฐานมาในช่วงล่าอาณานิคม
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะในตอนแรก เกาะมอริเชียสแห่งนี้ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย ก่อนที่ชาวยุโรปจะมาค้นพบเกาะนี้ในต้นศตวรรษที่ 16 และนี่เองน่าจะนำมาสู่สิ่งที่โด่งดังที่สุดของเกาะนี้อย่าง ‘นกโดโด้’ (Dodo)
หลายคนคงคุ้นชื่อและหน้าของ 'นกโดโด้' กันอยู่บ้าง และรู้ว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่น้อยคนน่าจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมนุษย์พบนกชนิดนี้เพียงเดี๋ยวเดียว พวกมันก็สูญพันธุ์ โดยมีบันทึกการพบครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และมีการพบครั้งสุดท้ายในตอนกลางศตวรรษที่ 17 เรียกว่าถ้ามันไม่มี 'ซาก' หรือ 'ตัวอย่าง' หลงเหลือมาจนถึงศตวรรษที่ 19 คงไม่มีใครเชื่อว่านกชนิดนี้มีอยู่จริง
เมื่อครั้งที่คนยุโรปค้นพบนกโดโด้ มันเป็นนกชนิดที่บินไม่ได้และที่อยู่อาศัยบนเกาะมอริเชียสแบบชิลๆ เพราะมันไม่มีนักล่าตามธรรมชาติ และนี่เองที่ทำให้มันไม่กลัวคน และน่าจะถูกล่ากินโดยง่าย
ทั้งหมดฟังดูเป็นสูตรสำเร็จที่สัตว์ชนิดหนึ่งจะสูญพันธุ์ และคำอธิบายของการสูญพันธุ์ของโดโด้ก็น่าจะเป็นแบบนกแก้วคาคาโป้ในนิวซีแลนด์ (ที่แค่ 'เกือบ' สูญพันธุ์) เว้นแต่ว่า สมัยก่อนเขาจะเชื่อบันทึกกะลาสีสมัยเก่าว่า 'นกโดโด้' เนื้อมันไม่อร่อย และใช้คำว่า 'น่าขยะแขยง' (disgusting) ในการอธิบายลักษณะเนื้อของมัน เขาเลยเชื่อกันว่าสิ่งที่ทำให้นกโดโด้สูญพันธุ์น่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การทำลายถิ่นที่อยู่ และการนำสัตว์นักล่าต่างถิ่นเข้ามาที่เกาะ มากกว่าที่ว่ามันจะ 'อร่อยจนสูญพันธุ์'
แต่งานวิจัยล่าสุด มีข้อเสนอน่าสนใจว่า ที่คนเชื่อกันแบบนี้ เพราะมีการ 'แปลผิด' เกิดขึ้นกับเอกสารของพวกชาวดัตช์ เพราะนักวิจัยไปค้นเอกสาร และพบว่าคำจริงๆ ที่ใช้อธิบายเนื้อนกโดโด้คือ 'de walgch’ ซึ่งเป็นวลีดัตช์ที่ใช้บรรยายภาวะพะอืดพะอมเมื่อกินอะไรมากเกินไป ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการบอกว่าสิ่งนั้น 'น่าขยะแขยง' หรือ 'ไม่อร่อย'
นักวิจัยไปค้นเอกสารชั้นต้นโดยละเอียด และพบว่าจริงๆ คำอธิบายมันไม่เหมือนที่เชื่อกัน และอธิบายง่ายๆ คือ พวกกะลาสีบอกว่าโดยรวมแล้วเนื้อนกโดโด้เหนียวก็จริง แต่พวก เนื้ออก หรือพวกเครื่องในอย่างกระเพาะและกึ๋นถูกบรรยายว่าอร่อยเลยทีเดียว ส่วนที่บอกว่าเหนียวเขาคาดว่าเกิดจากการที่นกพวกนี้ 'แก่' และอยู่ตามธรรมชาติเลยมีกล้ามเนื้อมาก ดังนั้น มันคือความเหนียวในความหมายเดียวกับที่ไก่บ้านเหนียว (ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าไม่อร่อยด้วยเช่นกัน) โดยเราก็ต้องย้อนไปว่าก่อนยุคที่จะมีฟาร์มไก่เนื้อแบบทุกวันนี้ แม้แต่เนื้อไก่โดยทั่วไปมันก็ต้องเหนียวแน่นอน กล่าวอีกแบบคือ สำหรับคนสมัยก่อน ความคาดหวัง 'เนื้อนุ่ม' จากสัตว์ปีกไม่เหมือนคนปัจจุบันแน่ๆ และอีกด้านคือ เขาก็จะมีเทคนิคในการจัดการแปลงเนื้อสัตว์ที่ไม่นุ่มนักให้เป็นอาหารที่เหมาะสม
แต่ประเด็นสำคัญคือการไปพบว่าคนเคยบรรยายเนื้อนกโดโด้ไว้ว่า 'เนื้อบางส่วนอร่อย' นี้อาจเปลี่ยนคำอธิบายเรื่อง 'การสูญพันธุ์' ของนกโดโด้ไปเลย
อย่างไรก็ตามเราไม่รู้จำนวนประชากรของนกโดโด้ชัดๆ แต่คิดว่าน่าจะมีไม่มาก แล้วถ้ามนุษย์การันตีว่าเนื้อของมัน (บางส่วน) อร่อย ก็มีความเป็นไปได้สูงเลยว่ามันจะถูกล่าจนสูญพันธุ์ในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี เพราะนี่คืออาหารเดินได้ที่มีขนาดพอๆ กับไก่งวงเลย
ส่วนเนื้อของมันจะอร่อยจริงหรือไม่ มันก็อาจไม่ใช่เรื่องแค่ปริศนาทางประวัติศาสตร์ เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านการ 'คืนชีพสัตว์สูญพันธุ์' อย่าง Colossal Biosciences ก็มีนกโดโด้อยู่ในลิสต์ของสัตว์ที่จะถูกคืนชีพมาในยุคปัจจุบันด้วย โดยในปี 2025 นี้เขาก็บอกว่ามีความคืบหน้าอยู่ (แต่อาจไม่เป็นข่าวเท่าการพยายามจะคืนชีพ 'ช้างแมมมอธ' ของบริษัทเดียวกันนี้)
ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่นกโดโด้จะได้รับการคืนชีพมาในสักวัน และเมื่อถึงเวลานั้น มนุษย์ปัจจุบันก็จะได้พิสูจน์เสียทีว่า สรุปแล้วเนื้อของพวกมันอร่อยหรือไม่อร่อย
https://www.facebook.com/share/p/1EgVwhzq8K/?mibextid=wwXIfr
https://www.iflscience.com/what-did-dodo-meat-taste-like-probably-better-than-youve-been-led-to-believe-81682?fbclid=IwVERDUAOq6ulleHRuA2FlbQIxMQBzcnRjBmFwcF9pZAo2NjI4NTY4Mzc5AAEeOdD1ugy4GOrAlTyuKvnchsCHkGsa-UdGhzsHYCL4BjbcF-N8ouyv-eVkSd4_aem_-B_ZKUls-rf-G4COMaPJXA
งานวิจัยใหม่ชี้ จริงๆ แล้ว 'นกโดโด้' อาจมีรสชาติอร่อย จนเป็นเหตุให้พวกมันสูญพันธุ์
หากพูดถึง ‘มอริเชียส’ หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ บางคนอาจคุ้นหูในฐานะประเทศที่ 'รวยที่สุดในทวีปแอฟริกา' ซึ่งบางคนก็ไม่อยากนับ เพราะประเทศนี้ประชากรแทบทั้งหมดเป็นชาวอินเดียที่ย้ายถิ่นฐานมาในช่วงล่าอาณานิคม
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะในตอนแรก เกาะมอริเชียสแห่งนี้ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย ก่อนที่ชาวยุโรปจะมาค้นพบเกาะนี้ในต้นศตวรรษที่ 16 และนี่เองน่าจะนำมาสู่สิ่งที่โด่งดังที่สุดของเกาะนี้อย่าง ‘นกโดโด้’ (Dodo)
หลายคนคงคุ้นชื่อและหน้าของ 'นกโดโด้' กันอยู่บ้าง และรู้ว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่น้อยคนน่าจะรู้ว่าจริงๆ แล้วมนุษย์พบนกชนิดนี้เพียงเดี๋ยวเดียว พวกมันก็สูญพันธุ์ โดยมีบันทึกการพบครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และมีการพบครั้งสุดท้ายในตอนกลางศตวรรษที่ 17 เรียกว่าถ้ามันไม่มี 'ซาก' หรือ 'ตัวอย่าง' หลงเหลือมาจนถึงศตวรรษที่ 19 คงไม่มีใครเชื่อว่านกชนิดนี้มีอยู่จริง
เมื่อครั้งที่คนยุโรปค้นพบนกโดโด้ มันเป็นนกชนิดที่บินไม่ได้และที่อยู่อาศัยบนเกาะมอริเชียสแบบชิลๆ เพราะมันไม่มีนักล่าตามธรรมชาติ และนี่เองที่ทำให้มันไม่กลัวคน และน่าจะถูกล่ากินโดยง่าย
ทั้งหมดฟังดูเป็นสูตรสำเร็จที่สัตว์ชนิดหนึ่งจะสูญพันธุ์ และคำอธิบายของการสูญพันธุ์ของโดโด้ก็น่าจะเป็นแบบนกแก้วคาคาโป้ในนิวซีแลนด์ (ที่แค่ 'เกือบ' สูญพันธุ์) เว้นแต่ว่า สมัยก่อนเขาจะเชื่อบันทึกกะลาสีสมัยเก่าว่า 'นกโดโด้' เนื้อมันไม่อร่อย และใช้คำว่า 'น่าขยะแขยง' (disgusting) ในการอธิบายลักษณะเนื้อของมัน เขาเลยเชื่อกันว่าสิ่งที่ทำให้นกโดโด้สูญพันธุ์น่าจะมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น การทำลายถิ่นที่อยู่ และการนำสัตว์นักล่าต่างถิ่นเข้ามาที่เกาะ มากกว่าที่ว่ามันจะ 'อร่อยจนสูญพันธุ์'
แต่งานวิจัยล่าสุด มีข้อเสนอน่าสนใจว่า ที่คนเชื่อกันแบบนี้ เพราะมีการ 'แปลผิด' เกิดขึ้นกับเอกสารของพวกชาวดัตช์ เพราะนักวิจัยไปค้นเอกสาร และพบว่าคำจริงๆ ที่ใช้อธิบายเนื้อนกโดโด้คือ 'de walgch’ ซึ่งเป็นวลีดัตช์ที่ใช้บรรยายภาวะพะอืดพะอมเมื่อกินอะไรมากเกินไป ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการบอกว่าสิ่งนั้น 'น่าขยะแขยง' หรือ 'ไม่อร่อย'
นักวิจัยไปค้นเอกสารชั้นต้นโดยละเอียด และพบว่าจริงๆ คำอธิบายมันไม่เหมือนที่เชื่อกัน และอธิบายง่ายๆ คือ พวกกะลาสีบอกว่าโดยรวมแล้วเนื้อนกโดโด้เหนียวก็จริง แต่พวก เนื้ออก หรือพวกเครื่องในอย่างกระเพาะและกึ๋นถูกบรรยายว่าอร่อยเลยทีเดียว ส่วนที่บอกว่าเหนียวเขาคาดว่าเกิดจากการที่นกพวกนี้ 'แก่' และอยู่ตามธรรมชาติเลยมีกล้ามเนื้อมาก ดังนั้น มันคือความเหนียวในความหมายเดียวกับที่ไก่บ้านเหนียว (ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าไม่อร่อยด้วยเช่นกัน) โดยเราก็ต้องย้อนไปว่าก่อนยุคที่จะมีฟาร์มไก่เนื้อแบบทุกวันนี้ แม้แต่เนื้อไก่โดยทั่วไปมันก็ต้องเหนียวแน่นอน กล่าวอีกแบบคือ สำหรับคนสมัยก่อน ความคาดหวัง 'เนื้อนุ่ม' จากสัตว์ปีกไม่เหมือนคนปัจจุบันแน่ๆ และอีกด้านคือ เขาก็จะมีเทคนิคในการจัดการแปลงเนื้อสัตว์ที่ไม่นุ่มนักให้เป็นอาหารที่เหมาะสม
แต่ประเด็นสำคัญคือการไปพบว่าคนเคยบรรยายเนื้อนกโดโด้ไว้ว่า 'เนื้อบางส่วนอร่อย' นี้อาจเปลี่ยนคำอธิบายเรื่อง 'การสูญพันธุ์' ของนกโดโด้ไปเลย
อย่างไรก็ตามเราไม่รู้จำนวนประชากรของนกโดโด้ชัดๆ แต่คิดว่าน่าจะมีไม่มาก แล้วถ้ามนุษย์การันตีว่าเนื้อของมัน (บางส่วน) อร่อย ก็มีความเป็นไปได้สูงเลยว่ามันจะถูกล่าจนสูญพันธุ์ในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี เพราะนี่คืออาหารเดินได้ที่มีขนาดพอๆ กับไก่งวงเลย
ส่วนเนื้อของมันจะอร่อยจริงหรือไม่ มันก็อาจไม่ใช่เรื่องแค่ปริศนาทางประวัติศาสตร์ เพราะบริษัทสตาร์ทอัพด้านการ 'คืนชีพสัตว์สูญพันธุ์' อย่าง Colossal Biosciences ก็มีนกโดโด้อยู่ในลิสต์ของสัตว์ที่จะถูกคืนชีพมาในยุคปัจจุบันด้วย โดยในปี 2025 นี้เขาก็บอกว่ามีความคืบหน้าอยู่ (แต่อาจไม่เป็นข่าวเท่าการพยายามจะคืนชีพ 'ช้างแมมมอธ' ของบริษัทเดียวกันนี้)
ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่นกโดโด้จะได้รับการคืนชีพมาในสักวัน และเมื่อถึงเวลานั้น มนุษย์ปัจจุบันก็จะได้พิสูจน์เสียทีว่า สรุปแล้วเนื้อของพวกมันอร่อยหรือไม่อร่อย
https://www.facebook.com/share/p/1EgVwhzq8K/?mibextid=wwXIfr
https://www.iflscience.com/what-did-dodo-meat-taste-like-probably-better-than-youve-been-led-to-believe-81682?fbclid=IwVERDUAOq6ulleHRuA2FlbQIxMQBzcnRjBmFwcF9pZAo2NjI4NTY4Mzc5AAEeOdD1ugy4GOrAlTyuKvnchsCHkGsa-UdGhzsHYCL4BjbcF-N8ouyv-eVkSd4_aem_-B_ZKUls-rf-G4COMaPJXA