เหตุผลที่ผู้ชายคนหนึ่งจะหายไปจากชีวิต

รู้จักผู้ชายคนหนึ่ง เป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัทค่ะ มีคนแนะนำให้รู้จัก ไปๆมาๆจากที่แค่รู้จักกันในฐานะเพื่อน ทำงานด้วยกันบ้างก็เริ่มชวนไปนู่นมานี่ แต่ไม่ได้ชวนกันไปในที่ที่ชัดเจนว่า เฮ้ย นี่เรากำลังจีบกันนะ เช่นไปดูหนังกัน 2 คน ไปกินข้าวด้วยกันในโอกาสพิเศษที่คนจีบกันเค้านิยมไป ไม่ได้ชวนค่ะ เขิน555 ยอมรับว่าใจเย็นมากๆทั้งคู่ เพราะถึงจะทำงานแล้ว แต่ต่างคนก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ไม่รู้ว่าควรเริ่มอย่างไรดี ก็เลยค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า มีปรึกษาเพื่อนร่วมงานบ้าง ส่วนใหญ่เพื่อนก็จะบอกค่ะว่าออกแนวไม่ธรรมดาแล้วล่ะ หมายถึงเพื่อนร่วมงานปกติไม่น่าเข้ามาอยู่ในชีวิตเราขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้กระโดดเข้าสู่ข้อสรุปนะคะ ว่าจีบ อยากให้เป็นไปอย่างช้าๆ ค่อยๆรู้จักกัน ไม่ออกตัวแรง ไม่ออกสื่อ บางทีก็ทำตัวไม่ถูกค่ะ บางทีก็คิดว่า เอ๊ บางทีเราเองอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ก็เลยอยู่ที่อัตราเท่านั้นค่ะ เพื่อนร่วมงานในฝ่ายที่สนิทกันจริงๆเท่านั้นที่จะรู้ค่ะสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายเลย และจะคอยส่งข่าวเรื่อยๆเชียร์เงียบๆเพราะเห็นว่าต่างคนก็ต่างไม่มีใครทั้งคู่ แถมเป็นภาคส่วนงานที่ฝ่ายหนึ่งประกอบด้วยเพศใดเพศหนึ่งชัดเจนค่ะ เพื่อนร่วมงานไม่น้อยเลยค่ะที่มีแฟนข้ามแผนกกัน ความสัมพันธ์ค่อยๆพัฒนาในความเร็วเต่าๆอย่างนี้เกือบครึ่งปีค่ะ

สัญญาณที่ฝ่ายชายส่ง ในความคิด ก็มีมาเรื่อยๆค่ะ แต่ไม่ได้ล้ำเส้นหรือทำให้รู้สึกว่าอึดอัดนะคะ เขาเป็นผู้ชายที่ให้เกียรติผู้หญิงมากๆค่ะ และขี้อายพอสมควร เป็นสถาปนิก วาดรูปที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับงานส่งมาให้ดูให้อมยิ้มบ้างค่ะ
สัญญาณที่ดิฉันส่ง (ในเกณฑ์ส่วนตัว)ก็มีค่ะ แต่จะพยายามให้เท่าๆกัน ถึงจะรักกันชอบกันอย่างไร แต่ในสังคมไทย ยังไงเขาก็มองเราว่าเป็นผู้หญิงค่ะ ก็เลยไม่เคยพูดออกไปตรงๆว่าเออ ฉันก็ชอบเธอนะ ถึงจะอยากพูดขนาดไหนก็ต้องห้ามใจไว้เสมอ เวลาเจอก็ยิ้ม ทักทายค่ะ แต่ไม่เคยแสดงท่าทีออกหน้าออกตาว่าที่รักจ๋าาาามาแล้วเหรอค้าคิดถึงจังเลยจุ๊บุ๊จุ๊บุ ส่วนเรื่องโซเชียลมีเดียก็คุยปรึกษาเรื่องงานค่ะ ไม่ค่อยได้เล่นทั้งคู่เลยค่ะ อาจจะเป็นวัยรุ่นตอนปลายรึเปล่าไม่ทราบ55555 ก็เลยไม่หวือหวา นานๆทีจะรวบรวมความกล้าทักไป(หรือทักมา)ในเรื่องทั่วๆไป นับครั้งดูเนี่ยจำนวนเท่าๆกันเลยค่ะ ทั้งคู่ไม่ค่อยพร่ำเพรื่อ ต่างก็ไม่ใช่สไตล์ส่งสติกเกอร์ฝันดีนะจ๊ะนะจ๋าซะด้วยสิคะ
แต่ไม่เคยตอบในแง่ลบนะคะ ชีวิตต้องสดใสค่ะ คำตอบเนี่ยคิดแล้วคิดอีก กลัวเค้าเสียใจค่ะ
เรื่องนี้คุยปรึกษากับพ่อแม่ตลอดค่ะ เล่าให้ฟังตลอด พ่อแม่ก็ค่อนข้างไฟเขียวค่ะ เพราะเห็นว่าใช้ได้ เป็นคนดี ขยัน ตั้งใจ ดูมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ฯลฯ

จนหลังๆมานี้ งานที่ทำงานยุ่งทั้งคู่ แต่พอลูกค้ารายใหญ่เข้ามา เป็นโครงการใหญ่ แต่ละแผนกก็โหลดงานกันแทบหมดค่ะ
ช่วงนี้สัมผัสได้เลยค่ะว่าแผ่วลงมาก ถึงจะเหนื่อย แต่ก็แปลกใจค่ะ เพราะหลังส่งงานให้ลูกค้าจบแล้วก็ยังไม่กลับมา ห่วงสิคะ ก็เลยกัดฟันพยายามเริ่มเปิดใจเปิดเผยมากขึ้นหน่อย เขาก็ยังคุยกันนะคะ อาจจะน้อยลงหน่อย และไม่สดใสหรือดูกระตือรือร้นเหมือนเดิม
ณ จุดนี้ แม่เคยเตือนไว้แล้วค่ะ ว่าถึงจะรักตัวเองอย่างไร แต่ถ้ารักถ้าชอบเขาจริง ก็ควรมีบ้างที่จะแสดงไมตรีจิต...
ปัญหาอยู่ตรงนี้ค่ะ
สำหรับคนหนึ่ง ไมตรีจิตอาจจะหมายถึงการกระทำ 1 2 และ 3 อย่างที่ตัวดิฉันเองแสดงไป คือคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะรู้แล้ว กลัวจะรำคาญ กลัวเกินงาม ขี้กลัวจังเลยค่ะพอมองกลับไป กลัวรบกวนเวลาคิดงาน เขาทำงานค่อนข้างดึกตามไสตล์อาชีพค่ะ แล้วก็มีบ้างที่ออกไปสังสรรค์ปิดงานกับเพื่อน ตามประสาผู้ชายค่ะ เลยเบรคตัวเอง แต่สำหรับอีกคนหนึ่งเท่านี้อาจจะมองเป็นการรักษาน้ำใจ หรือไม่สนใจไปเลย ยิ่งต่างเพศกันระบบความคิดคงต่างกัน แถมต้องยอมรับนะคะว่าโลกทุกวันนี้ค่อนข้างเร็ว อะไรก็ติดจรวด สี่จี ไฮสปีด คนก็ใจร้อนขึ้นมาก เป็นไปได้ที่การกระทำของดิฉันที่ไม่ได้เป็นไปแบบตัวละครในหนังรักหรือละครหลังข่าวที่กลายเป็นแบบอย่างหรือมาตรฐานการจีบกันในสังคม อาจทำให้ตีความผิด ยิ่งสถาปนิก อาชีพอินดี้ซะด้วยสิคะ
ไม่โทษกันหรอกค่ะ แค่สงสัยเพราะก่อนหน้านี้สถานการณ์ถือว่าไปเรื่อยๆค่อยเป็นค่อยไปมาโดยตลอด

ถ้าผู้ชายคิดว่าคนที่ตัวเองชอบพออาจจะไม่ได้คิดกับตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้ว สมมตินะคะ สมมติว่าคิดว่าแป้กแล้ว จะหายไปเลยเหรอคะ
ถึงแม้ว่าหลังเหตุการณ์แป้ก ฝ่ายหญิงเหมือนจะเพิ่งคิดได้ว่าที่ผ่านมาอาจจะยังไม่มากพอที่จะทำให้เก็ท ว่าไม่แป้กเลยนะ เธอเองที่คิดว่าแป้กไปแล้ว
ก็ยังยืนยันจะหายเหรอคะ

วาเลนไทน์ที่ผ่านมา ก็ลุ้นเหมือนกันนะคะ ว่าเขาจะเปิดตัวคนสนิทคนใหม่ให้ดิฉันถึงบางอ้อหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีค่ะ เพื่อนในแผนกเขาก็ยืนยันนะคะว่าไม่มี และทุกคนก็ยังดูสนับสนุนและคอยสร้างโอกาสกันเหมือนเดิม หรืออาจจะด้วยนิสัยผู้ชายรึเปล่าคะ ที่อะไรก็เก็บในใจ ไม่ค่อยเล่าให้กันฟังเหมือนผู้หญิง

ขอถามความเห็นคุณผู้ชายหน่อยนะคะ ว่าแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ถ้าเป็นคุณ เมื่อไหร่จะเริ่มมองว่าน่าเกลียด อันนี้กลัวจริงๆค่ะ
ถ้าหมดรักกันแล้ว ดิฉันจะได้เสียใจแต่ก็ก้าวต่อไปค่ะ
เพราะบางทีดิฉันอาจจะล้าสมัยไปหน่อย ไม่เข้ากับโลกเร็วๆใบนี้

เขียนมาซะยาว ขอบคุณมากๆนะคะที่อ่านจนจบ ยินดีรับฟังทุกความเห็นค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่