สืบเนื่องมาจากเพิ่งเจอเหตุการณ์แปลกๆ ไปเมื่อไม่กี่วันก่อนก็เลยอยากเล่า+ถาม เผื่อว่ามีใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือรู้จักคนคนนี้ค่ะ เพื่อความแน่ใจว่าจะมีหรือไม่มีอะไรตามมาอีกหรือเปล่า
และเนื่องจากไม่แน่ว่าอาจจะมีหรือไม่มีอะไรเลย จึงขอละพิกัดสถานที่และรายละเอียดของบุคคลดังกล่าวไว้ก่อนนะคะ
เรื่องมีอยู่ว่าคืนนั้นเราติดธุระทำให้กลับบ้านดึก ทีนี้ก็รอรถไฟฟ้าอยู่ที่สถานีตามปกติ คนค่อนข้างบางตาเพราะ 3 ทุ่มครึ่งแล้ว ระหว่างรอรถก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากรอไปสักพักก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาหยุดข้างๆ ได้ยินว่า "สวัสดีครับ" ชัดมาก เลยเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าเป็นชาวต่างชาติผิวสี ก็สวัสดีค่ะกลับไป ใจตอนนั้นคิดว่าคงเป็นนักท่องเที่ยวที่ชอบทักคนพื้นที่ตามประสา (เนื่องจากที่พักเรามีคนต่างชาติอยู่ค่อนข้างมาก ก็จะเจอคนที่ชอบทักทายเฉยๆ เหมือนทดลองใช้ภาษาอยู่ประปราย)
พอทักเสร็จ เขาก็ถามต่อว่า "How are you?" เราเองตอนนั้นก็งงๆ มึนๆ ว่าอะไรยังไง มองในแง่ดีว่าอาจจะถามทางหรือมีปัญหาอะไรก็ได้ ก็ตอบไปว่า fine.
แล้วเขาถามต่อว่า Can you speak English? ทีนี้ด้วยความคิดเดิมว่าเขาอาจจะมีเรื่องอยากถาม ก็เลยบอกว่าได้นิดหน่อยไป
เท่านั้นล่ะค่ะ...มาเป็นชุด...
เขาก็บอกว่าเขาพูดภาษาไทยได้นะ ยิ้ม+ตาเป็นประกาย (ตอนนี้แหละรู้สึกเลยว่ามีปัญหาละ...แต่ก็ยังพยายามมองในแง่ดีอยู่อ่ะว่าหรือจะโชว์สกิลภาษาไทย 555+)
เขาบอกเขาเป็นอาจารย์ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยของไทยแห่งหนึ่ง (มีเปิดคลิปให้ดูด้วยว่าสอนจริงนะ แต่ก็แค่เป็นตัวเขายืนอยู่หน้าจอฉายสไลด์บรรยายค่ะ)
ผมชอบคุณมากเลย ผมชอบคุณมากจริงๆ (ประมาณนี้ พูดอยู่ 4-5 รอบตลอดการสนทนาค่ะ) รู้จักกันไว้ ไม่เป็นไร ผมไม่ได้จะทำอะไร ไม่ใช่คนไม่ดี (แถวๆ นี้ฟังไม่ค่อยเคลียร์เยอะ แต่เราคงทำท่าหวาดระแวงใส่เขาเลยพูดค่ะ)
ผมจะไปลง -ชื่อสถานีรถไฟฟ้า- คุณลงสถานีไหน คุณทำงานที่ไหน ผมเป็นฝรั่ง ไม่ใช่ฝรั่งผิวขาว แต่เป็นแบบโอบาม่า เป็นคนดี (มันไม่ใช่ประเด็นนะคะคุณณณณณ)
โทรศัพท์ *ชี้* (คือเราถือโทรศัพท์อยู่) ขอเบอร์ได้มั้ย ชื่อ -เซ็นเซอร์- นะ ยูชื่ออะไร
จุดนั้นทำอะไรไม่ถูกค่ะ คือคาดไม่ถึง มันเกิดภายในไม่กี่นาที เราปฏิเสธ เขาก็ยังยื่นมา ปฏิเสธอยู่สองสามรอบ รถก็ไม่ยอมมาสักที ก็กดเบอร์ให้ เขาโทรย้อนกลับตรงนั้นเลยค่ะ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวคงบล็อก (แต่มาตอนนี้ พี่ๆ ที่เราเล่าเรื่องให้ฟังบอกว่าเดี๋ยวเอาเบอร์ไปทำอะไรจะทำยังไง ก็เริ่มกังวลค่ะ)
คือเราก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง (เขาถามรัวๆ ไม่เลิกเลย) ทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องบ้าง (แต่ที่ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็มี...)
ลำบากใจมากๆ เขาดูไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แบบยังดูเป็นคนปกติที่มีสติอะค่ะ พยายามโฆษณาตัวเองในเชิงว่าไว้ใจได้ ไม่อันตราย มีงานมีการทำ
ฝ่ายเราเองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรือเสียมารยาทเหมือนกัน ก็ดูเชิงเขาเพราะเราตัวคนเดียว ได้แต่คิดว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร พอมองชานชาลาก็คิดเลยว่ามาทักเพราะเราเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ยืนเดี่ยวๆ ตอนนั้นนึกเลยว่ายังไงก็ต้องสลัดให้หลุด แต่รถก็ไม่ยอมมาสักที จนฝั่งตรงข้ามไปสองขบวนได้แล้ว
เราว่าสีหน้าเราน่าจะออกเยอะแล้วค่ะว่าไม่โอเค รปภ.เดินมาด้วย เดินผ่านเหมือนมาดูสถานการณ์ พี่เขาอาจจะเคยเห็นคนนี้มาก่อน ไม่ก็อาจเห็นว่าเราท่าทางแปลกๆ ตอนนั้นนึกไม่ออกค่ะว่าเรียกพี่ รปภ.ไว้จะบอกว่าอะไร จะบอกว่าคนนี้มาชวนคุยค่ะ ก็ไม่ได้ (รู้สึกโง่มาก จริงๆ อ้างอย่างอื่นก็ได้เนาะ 555) แต่ก็สบตา รปภ.ค่ะ มองตาแบบจ้องเลย กะว่าถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลนิดเดียวนี่เรียกแน่ๆ
หลังจากนั้นมีถามต่ออีกเยอะมากค่ะ เช่น สุดสัปดาห์นี้ว่างมั้ย ไปทานข้าวกันมั้ย ไม่ว่างเลยเหรอ ไม่มีฮอลิเดย์เลยเหรอ
กลับ ตจว.เหรอ ที่ไหน
คือยอมรับว่าเราก็บ้าค่ะที่ไม่เดินหนีไปซะ ตอนนั้นมันเป็นอารมณ์ก้ำกึ่งว่าจะยังไงดี เหมือนใจมันยังคิดอ่ะค่ะว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร เลยคิดแต่ว่าเมื่อไรรถจะมา จากที่ระแวง+กลัว เริ่มรำคาญแล้ว เขาถามไม่หยุดแล้วก็ตื๊อมาก เราเลยพยายามยื้อบทสนทนาไม่ให้ไปเรื่องอื่นที่ลึกกว่านี้ที่หัวข้อ ตจว.ที่พูดถึง (เขาไม่รู้จัก)
คือพอทำท่าจะไม่คุย เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนดี ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ผมชอบคุณจริงๆ
ทีนี้ เรื่อง ตจว. เขาก็แบบ อ๋อ ไปหาปาป๊า มาม้าเหรอ? ผมไปด้วยได้นะ ไปหาพ่อแม่ได้ ไม่เป็นไร (ตรงนี้เราเริ่มปึ้ดละ 555 นี่มันเกินไปแล้ว)
เราก็ส่ายหน้าปฏิเสธบอกไม่ได้ เขาก็ถามกลับ ทำไมล่ะ ไม่ได้เหรอ ทำไมไม่ได้ (อะไรประมาณนี้ค่ะ)
พอเรื่อง ตจว.ไม่ได้ เขาก็ถามต่ออีก ทำนองว่าวันทำงานนี่ไปกินข้าวกลางวันด้วยได้มั้ย เดี๋ยวไปหา เราก็บอกไปอีกว่าไม่ได้ แล้วเขาก็มาแบบเดิมค่ะว่าทำไมล่ะ ไม่เป็นไรหรอก แค่ทานข้าวกัน
ถึงจุดนี้...ก็ไม่ทนละค่ะ...
คือระหว่างที่คุยกันก็คิดอยู่นานว่าจะบอกว่าอะไรดีเพื่อตัดบทให้ขาดซะ จังหวะนี้คือเหมาะมาก เพราะรถกำลังแล่นมาพอดี(ซะที) เลยบอกสิ่งที่คิดไป
เขาก็ดูตกใจค่ะ แบบสตั้นไปเลยจังหวะนึงแล้วบอกโอเคๆ เขาไม่ตกใจหรอก (แต่ดูตกใจ.........)
แล้วเขาก็ไม่พยายามคุยด้วยอีกเลยค่ะ...ได้แต่คิดว่าน่าจะตัดสินใจบอกไปตั้งนานแล้ว
จบค่ะ...
คือตอนนี้นอกจากเรื่องเบอร์โทรที่พลาดให้ไปด้วยความงงปนตกใจก็ไม่ห่วงอะไรมากค่ะ เพราะเรื่องอื่นๆ ที่โดนถามไปเราตอบกว้างๆ แบบกว้างมาก ไม่ถึงตัวแน่ๆ ค่ะ
อยากรู้ว่ามีคนเคยเจออะไรทำนองนี้มั้ยคะ หรือคุ้นๆ ว่าเคยเจอคนคนนี้หรือเปล่า
เขามีจุดประสงค์อะไร หรือแค่เหวี่ยงแหเฉยๆ (มันเป็น Culture Shock อะไรแบบนี้มั้ย)
คือเขาก็ดูจบนะ ไม่ได้ตื๊อหรือดึงดันอะไรอีก แต่สมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพื่อความแน่ใจก็เลยมาแชร์ขอคำแนะนำค่ะ เพราะลึกๆ ก็ยังไม่ค่อย
ป.ล. ไม่รู้จะแท็กห้องอะไรดี ผิดถูกก็ขอโทษด้วยนะคะ TT_TT
มีชาวต่างชาติเข้ามาทักและชวนคุยที่สถานีรถไฟฟ้าค่ะ
และเนื่องจากไม่แน่ว่าอาจจะมีหรือไม่มีอะไรเลย จึงขอละพิกัดสถานที่และรายละเอียดของบุคคลดังกล่าวไว้ก่อนนะคะ
เรื่องมีอยู่ว่าคืนนั้นเราติดธุระทำให้กลับบ้านดึก ทีนี้ก็รอรถไฟฟ้าอยู่ที่สถานีตามปกติ คนค่อนข้างบางตาเพราะ 3 ทุ่มครึ่งแล้ว ระหว่างรอรถก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากรอไปสักพักก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาหยุดข้างๆ ได้ยินว่า "สวัสดีครับ" ชัดมาก เลยเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าเป็นชาวต่างชาติผิวสี ก็สวัสดีค่ะกลับไป ใจตอนนั้นคิดว่าคงเป็นนักท่องเที่ยวที่ชอบทักคนพื้นที่ตามประสา (เนื่องจากที่พักเรามีคนต่างชาติอยู่ค่อนข้างมาก ก็จะเจอคนที่ชอบทักทายเฉยๆ เหมือนทดลองใช้ภาษาอยู่ประปราย)
พอทักเสร็จ เขาก็ถามต่อว่า "How are you?" เราเองตอนนั้นก็งงๆ มึนๆ ว่าอะไรยังไง มองในแง่ดีว่าอาจจะถามทางหรือมีปัญหาอะไรก็ได้ ก็ตอบไปว่า fine.
แล้วเขาถามต่อว่า Can you speak English? ทีนี้ด้วยความคิดเดิมว่าเขาอาจจะมีเรื่องอยากถาม ก็เลยบอกว่าได้นิดหน่อยไป
เท่านั้นล่ะค่ะ...มาเป็นชุด...
เขาก็บอกว่าเขาพูดภาษาไทยได้นะ ยิ้ม+ตาเป็นประกาย (ตอนนี้แหละรู้สึกเลยว่ามีปัญหาละ...แต่ก็ยังพยายามมองในแง่ดีอยู่อ่ะว่าหรือจะโชว์สกิลภาษาไทย 555+)
เขาบอกเขาเป็นอาจารย์ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยของไทยแห่งหนึ่ง (มีเปิดคลิปให้ดูด้วยว่าสอนจริงนะ แต่ก็แค่เป็นตัวเขายืนอยู่หน้าจอฉายสไลด์บรรยายค่ะ)
ผมชอบคุณมากเลย ผมชอบคุณมากจริงๆ (ประมาณนี้ พูดอยู่ 4-5 รอบตลอดการสนทนาค่ะ) รู้จักกันไว้ ไม่เป็นไร ผมไม่ได้จะทำอะไร ไม่ใช่คนไม่ดี (แถวๆ นี้ฟังไม่ค่อยเคลียร์เยอะ แต่เราคงทำท่าหวาดระแวงใส่เขาเลยพูดค่ะ)
ผมจะไปลง -ชื่อสถานีรถไฟฟ้า- คุณลงสถานีไหน คุณทำงานที่ไหน ผมเป็นฝรั่ง ไม่ใช่ฝรั่งผิวขาว แต่เป็นแบบโอบาม่า เป็นคนดี (มันไม่ใช่ประเด็นนะคะคุณณณณณ)
โทรศัพท์ *ชี้* (คือเราถือโทรศัพท์อยู่) ขอเบอร์ได้มั้ย ชื่อ -เซ็นเซอร์- นะ ยูชื่ออะไร
จุดนั้นทำอะไรไม่ถูกค่ะ คือคาดไม่ถึง มันเกิดภายในไม่กี่นาที เราปฏิเสธ เขาก็ยังยื่นมา ปฏิเสธอยู่สองสามรอบ รถก็ไม่ยอมมาสักที ก็กดเบอร์ให้ เขาโทรย้อนกลับตรงนั้นเลยค่ะ ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวคงบล็อก (แต่มาตอนนี้ พี่ๆ ที่เราเล่าเรื่องให้ฟังบอกว่าเดี๋ยวเอาเบอร์ไปทำอะไรจะทำยังไง ก็เริ่มกังวลค่ะ)
คือเราก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง (เขาถามรัวๆ ไม่เลิกเลย) ทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องบ้าง (แต่ที่ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ ก็มี...)
ลำบากใจมากๆ เขาดูไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แบบยังดูเป็นคนปกติที่มีสติอะค่ะ พยายามโฆษณาตัวเองในเชิงว่าไว้ใจได้ ไม่อันตราย มีงานมีการทำ
ฝ่ายเราเองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรือเสียมารยาทเหมือนกัน ก็ดูเชิงเขาเพราะเราตัวคนเดียว ได้แต่คิดว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร พอมองชานชาลาก็คิดเลยว่ามาทักเพราะเราเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ยืนเดี่ยวๆ ตอนนั้นนึกเลยว่ายังไงก็ต้องสลัดให้หลุด แต่รถก็ไม่ยอมมาสักที จนฝั่งตรงข้ามไปสองขบวนได้แล้ว
เราว่าสีหน้าเราน่าจะออกเยอะแล้วค่ะว่าไม่โอเค รปภ.เดินมาด้วย เดินผ่านเหมือนมาดูสถานการณ์ พี่เขาอาจจะเคยเห็นคนนี้มาก่อน ไม่ก็อาจเห็นว่าเราท่าทางแปลกๆ ตอนนั้นนึกไม่ออกค่ะว่าเรียกพี่ รปภ.ไว้จะบอกว่าอะไร จะบอกว่าคนนี้มาชวนคุยค่ะ ก็ไม่ได้ (รู้สึกโง่มาก จริงๆ อ้างอย่างอื่นก็ได้เนาะ 555) แต่ก็สบตา รปภ.ค่ะ มองตาแบบจ้องเลย กะว่าถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลนิดเดียวนี่เรียกแน่ๆ
หลังจากนั้นมีถามต่ออีกเยอะมากค่ะ เช่น สุดสัปดาห์นี้ว่างมั้ย ไปทานข้าวกันมั้ย ไม่ว่างเลยเหรอ ไม่มีฮอลิเดย์เลยเหรอ
กลับ ตจว.เหรอ ที่ไหน
คือยอมรับว่าเราก็บ้าค่ะที่ไม่เดินหนีไปซะ ตอนนั้นมันเป็นอารมณ์ก้ำกึ่งว่าจะยังไงดี เหมือนใจมันยังคิดอ่ะค่ะว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร เลยคิดแต่ว่าเมื่อไรรถจะมา จากที่ระแวง+กลัว เริ่มรำคาญแล้ว เขาถามไม่หยุดแล้วก็ตื๊อมาก เราเลยพยายามยื้อบทสนทนาไม่ให้ไปเรื่องอื่นที่ลึกกว่านี้ที่หัวข้อ ตจว.ที่พูดถึง (เขาไม่รู้จัก)
คือพอทำท่าจะไม่คุย เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนดี ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ผมชอบคุณจริงๆ
ทีนี้ เรื่อง ตจว. เขาก็แบบ อ๋อ ไปหาปาป๊า มาม้าเหรอ? ผมไปด้วยได้นะ ไปหาพ่อแม่ได้ ไม่เป็นไร (ตรงนี้เราเริ่มปึ้ดละ 555 นี่มันเกินไปแล้ว)
เราก็ส่ายหน้าปฏิเสธบอกไม่ได้ เขาก็ถามกลับ ทำไมล่ะ ไม่ได้เหรอ ทำไมไม่ได้ (อะไรประมาณนี้ค่ะ)
พอเรื่อง ตจว.ไม่ได้ เขาก็ถามต่ออีก ทำนองว่าวันทำงานนี่ไปกินข้าวกลางวันด้วยได้มั้ย เดี๋ยวไปหา เราก็บอกไปอีกว่าไม่ได้ แล้วเขาก็มาแบบเดิมค่ะว่าทำไมล่ะ ไม่เป็นไรหรอก แค่ทานข้าวกัน
ถึงจุดนี้...ก็ไม่ทนละค่ะ...
คือระหว่างที่คุยกันก็คิดอยู่นานว่าจะบอกว่าอะไรดีเพื่อตัดบทให้ขาดซะ จังหวะนี้คือเหมาะมาก เพราะรถกำลังแล่นมาพอดี(ซะที) เลยบอกสิ่งที่คิดไป
เขาก็ดูตกใจค่ะ แบบสตั้นไปเลยจังหวะนึงแล้วบอกโอเคๆ เขาไม่ตกใจหรอก (แต่ดูตกใจ.........)
แล้วเขาก็ไม่พยายามคุยด้วยอีกเลยค่ะ...ได้แต่คิดว่าน่าจะตัดสินใจบอกไปตั้งนานแล้ว
จบค่ะ...
คือตอนนี้นอกจากเรื่องเบอร์โทรที่พลาดให้ไปด้วยความงงปนตกใจก็ไม่ห่วงอะไรมากค่ะ เพราะเรื่องอื่นๆ ที่โดนถามไปเราตอบกว้างๆ แบบกว้างมาก ไม่ถึงตัวแน่ๆ ค่ะ
อยากรู้ว่ามีคนเคยเจออะไรทำนองนี้มั้ยคะ หรือคุ้นๆ ว่าเคยเจอคนคนนี้หรือเปล่า
เขามีจุดประสงค์อะไร หรือแค่เหวี่ยงแหเฉยๆ (มันเป็น Culture Shock อะไรแบบนี้มั้ย)
คือเขาก็ดูจบนะ ไม่ได้ตื๊อหรือดึงดันอะไรอีก แต่สมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพื่อความแน่ใจก็เลยมาแชร์ขอคำแนะนำค่ะ เพราะลึกๆ ก็ยังไม่ค่อย
ป.ล. ไม่รู้จะแท็กห้องอะไรดี ผิดถูกก็ขอโทษด้วยนะคะ TT_TT