ขอรีกระทู้อีกครั้งแยกเป็นตอนๆ เนื่องจากแอบดองไปนิด แหะๆ เริ่มกันใหม่แบบเป็นตอนๆ รัวๆกันไปเลยทีเดียวเอ้า!!!
ไม่พูดพร่ำเพรื่อยืดเยื้อมากมาย (?) เริ่มต้นวันแรกกันเลยดีกว่า
ส่วนสายการบินและที่พัก กลับไปดูที่ กระทู้นี้ >>>
http://pantip.com/topic/33045560/
:: Day 1 ::
http://pantip.com/topic/33213055
:: Day 2 ::
http://pantip.com/topic/33213121
:: Day 3 ::
http://pantip.com/topic/33213484
Day 3 : 19 June 2014 (THU)
Changdeok Palace > Secret Garden Huwon>Jogyesa Temple > Miss Lee Café (ข้าวกล่องเขย่ายงซอ) >Insadong>
Myeong-Dong Cathedral >Café J Holic >
Myeong-Dong Market >N’Seoul Tower > อาหารข้างทางของอาจุมม่าแถวที่พัก
เริ่มต้นวันที่ 3 ตั้งแต่เช้า ตื่นมาก็เจอกับครอบครัวสิงคโปร์และชาวฝรั่งเศสที่อาศัยร่วมกันในบ้านหลังนี้ คนฝรั่งเศสนี่ไม่เท่าไร คุยกันเล็กน้อย ยิ้มให้กันวันละนิดจิตแจ่มใส ต่างจากครอบครัวสิงคโปร์ที่มีเด็กน้อยวัยประถมมาด้วย ก็อย่างว่าคนสิงคโปร์ก็คล้ายๆ คนจีนเนี่ยแหละ ฉ้งเฉ้งแต่เช้า -*- แอบรำคาญ เช้าๆ ก็อยากอยู่อย่างสงบบ้างอะไรบ้าง แต่พวกนางทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองจ้า บร้ายยยยยยยยย!!
หลังจากทานอาหารง่ายๆ อย่าง นม น้ำส้ม ขนมปังปิ้ง ทาเนย แยม กันจนอิ่มพอสมควรก็รีบชิ่งออกจากบ้านไปเที่ยวดีกว่า วันนี้แพลนการเที่ยวของเรายังแน่นไม่ต่างจากวันแรก
วันนี้เราจะไปเริ่มต้นกันที่พระราชวังอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ...ชางด็อกกุง พระราชวังชางด็อก มาเพราะความสวยงาม + ตามรอยซีรีย์นะบอกเลยยย (แม้เราจะเข้าเพียง 2 พระราชวัง แต่การซื้อตั๋วแบบเหมาพระราชวัง 5 แห่ง ก็ถือว่าคุ้มสำหรับเราพอสมควร เพราะบัตรรวมราคา 10000 วอน เข้าได้ 5 พระราชวัง 1 สวน ในขณะที่เราจะไปแค่ 2 พระราชวัง 1 สวน เสียค่าเข้าประมาณ 11000 เห็นมั้ย คุ้มกว่าเห็นๆ)
*TIP*
Hongik University Station(239)>Sinchon>Ehwa Woman University >Ahyeon> Chung jeongno> City Hall >Euljiro 1 ga>Euljiro 3 ga(transfer from line 2 to line 3 Exit rightside 1st car 1st door)>Euljiro 3 ga (Line3)>Jongno 3 ga>Anguk (328)
Fare : 1,050 KRW / 26 Minutes 9 Stations
พอออกจากทางออกที่ 3 ก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านตึก ผ่านร้านค้าไปซักพัก ฝนตกจ้า =_= อากาศที่เกาหลีครึ้มๆ มาตลอด เมฆเยอะแต่ไม่คิดว่าอยู่ๆ ฝนก็จะตกลงมาแบบเน้ ร่มก็ไม่มี สุดท้ายก็เดินกลับไปถอยร่ม 1 คัน ที่ร้านขายของจิปาถะข้างทาง (คือมีตั้งแต่ของกิน หนังสือพิมพ์ ยันร่มเลยจ้า) แต่ใช้ไปได้ไม่ถึง 10 นาที ฝนก็หยุด -*- เป็นฝนปรอยๆ ตกแป็บเดียวก็เลิก
เดินไปถึงหน้าพระราชวังก็แว้บๆ เก็บรูปด้านหน้าซักหน่อย คนยังไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวญี่ปุ่น ชาวจีน ฝรั่งก็มา มาเองบ้าง มาทัวร์บ้าง ที่นี่อาจจะไม่ดังเท่าเคียงบกกุงแต่ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไม่แพ้กันเลย ตอนแรกคิดว่าจะเล็ก แต่พอเข้าไปถึงด้านในมีตำหนักอยู่เยอะเลย
ในชางด็อกกุงมีสวนที่เรียกว่า secret garden หรือสวนลับฮูวอน ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอเข้าไปชมหน่อย แต่สวนนี้จะเข้าไปชมได้พร้อมไกด์นำเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปเองได้นะ สามารถเช็ครอบได้ใน internet หรือไปถึงด้านหน้าทางเข้าแล้วดูตารางการเข้าชมได้ โดยที่นี่จะหยุดทุกวันจันทร์ (อย่าหลงไปเชียว) แต่ถ้าจะรอรอบภาษาอังกฤษก็อีกหลายชั่วโมง ก็เลยเข้าภาษาอะไรก็ได้ไม่เป็นไร รอบที่เร็วที่สุดตอนนั้นเป็นรอบภาษาญี่ปุ่น (ไกด์เป็นคนเกาหลีแต่งชุดฮันบก บรรยายด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบใจเย็นมาก พูดช้าพอสมควรเลย พูดอังกฤษได้ด้วย งานนี้เลยได้ลองใช้ทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่น แปลได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องใช้สกิลมั่วอีกตามเคย)
มีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนถึงรอบ ก็ไปเดินเล่นเก็บภาพในวังนี้ไปพลางๆ ก่อนละกัน
พอใกล้ถึงเวลาก็เดินกลับไปรอตรงทางเข้าสวนลับ มองเข้าไปเห็นแต่ต้นไม้ -*- และด้านในก็สวนจริงๆ จ้า มีตำหนักเล็กตำหนักน้อยซ่อนอยู่ในดงต้นไม้ อารมณ์เดินป่ามากๆ เพราะต้นไม้สูงใหญ่ เยอะมาก มีความชื้นสูง แม้ว่าทางเดินจะถูกทำไว้ให้คนเดินก็เถอะ บางทีความลาดชันก็มากจนแอบคิดในใจว่าถ้าเสียหลักล้มนี่คงกลิ้งไปอยู่ที่พื้นแน่ๆ
เพราะมันเป็นธรรมชาติมากๆ ชื้นมาก ตามทางเดินจึงสามารถพบตัวตะเข็บได้ตลอดเวลา แถมเยอะจนไม่รู้จะเดินหลบยังไง รวมไปถึงนก ผีเสื้อ ที่บินผ่านไปมา
แต่ถ้าจะเหมือนป่าขนาดนี้มีเสือโผล่มาจะไม่แปลกใจ =O=
เดินกันจนเหนื่อยแล้วก็ยังไม่จบการชมสวนนะ ใช้เวลาเดินอยู่ในนี้ชั่วโมงครึ่ง เดินไปเดินมารั้งท้ายขบวนตลอด ทำให้คิดได้ว่าเราก็ยังไม่แก่นะ แค่ 20 แต่กลับเดินไม่ทันคุณลุงคุณป้าที่มากันเป็นหมู่คณะ กลับไปต้องฟิตร่างกาย ออกกำลังกายบ่อยๆ ซะแล้ว การมาทริปนี้ทำให้รู้เลยว่าร่างกายเราไม่ได้ดีขนาดนั้น
(ขอรวมภาพเลยละกันนะคะ ไม่งั้นภาพเยอะเกิน)
ออกจากพระราชวังก็เกือบเที่ยงแล้ว เป้าหมายข้าวเที่ยงของเราวันนี้อยู่ที่ร้าน Miss Lee café หรือร้านข้าวกล่องเขย่าที่ยงซอมากินด้วยกันตอนถ่ายรายการ we got married มันไม่ไกลจากพระราชวังมากสามารถเดินไปได้ แต่อยู่กันคนละฝั่งของสถานีรถไฟ แบบคนละมุมเลย -_-;;
ตอนที่เดินผ่านมีการชุมนุมอะไรซักอย่างด้วย คนเยอะพอสมควรแต่ก็ไม่ได้มีการโหวกเหวกโวยวายหรือทำร้ายร่างกายกันนะ เราเลยรีบๆ เดินผ่านไปกินข้าวดีกว่า
ร้านหาไม่ยากนะ ถึงทางเข้าจะเล็กไปหน่อยก็ตาม ถ้าใครกลัวหาร้านไม่เจอ จะมีแลนด์มาร์กเป็นพู่กันอันใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ด้านหลังจะมีตึกอยู่ มองขึ้นไปชั้น 2 จะมีรูปตัวการ์ตูนของร้านแปะให้เห็นเลย จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป
(พอทานอาหารเสร็จเราก็กลับลงถ่ายรูปด้านล่างกัน อยู่ๆ มีคนเกาหลีเดินมาพูดภาษาเกาหลีใส่ตอนเราถ่ายรูป... ได้แต่ทำหน้าเอ๋อใส่เขาไป เขาเลยถามว่าไม่ใช่คนเกาหลีใช่มั้ย ข่าาา หน้าก็ไม่ได้เกาหลีม้ายยยยยดูหนังหน้านิสนุงงงง T^T)
รสชาติเปรี้ยวๆ แล้วก็เป็นผักคล้ายกับแกงส้มบ้านเรา มีไส้กรอก(?) สาหร่าย และไข่ดาว เราก็เขย่าๆ คลุกๆ แล้วก็กิน อร่อยดี คิดแล้วก็อยากกินอีก ฮ่าๆๆ ตอนแรกคิดว่าไม่เยอะหรอก...ปรากฎว่ากินไปกินมา เข้าคอนเสร็ปชาวเกาหลีจ้า ข้าวเยอะกับแยะ แน่นอนว่าอิ่มตั้งแต่ครึ่งแต่ด้วยความเสียดายยัดมันลงกระเพาะไปหมดจนได้จ้า TOT
เนื่องจากเวลาคลาดเคลื่อนนิดหน่อยทำให้เราตรงไปกินข้าวกันก่อน พอเดินออกมาจากร้านได้ไม่ถึงนาที เราตั้งใจว่าจะไม่ไปวัดเชโกซาแล้ว จะตรงไปที่อินซาดงกันเลยอยู่ไม่ไกลเท่าไร แต่ด้วยความที่ปวดฉิ้งมากกกกเลยต้องหาห้องน้ำกันก่อน T_T เดินไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นร้านขายชุดนักบวชมากขึ้น วัดเชโกซาอยู่แถวๆ นี้ไปเข้าห้องน้ำที่นี่ก็แล้วกัน
เราต้องเดินข้ามถนนเพื่อเข้าไปด้านใน รูปที่นี่ไม่เยอะมาก เพราะเดินกันแบบผ่านๆ แวะชมนิดหน่อย นอกจากนี้ยังเป็นวัดขนาดเล็ก มีอาคารที่ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ แต่เราไม่ได้เข้าไปด้านใน ด้านนอกมีรูปสักการะของเจ้าแม่กวนอิมด้วย เราได้แต่ไหว้ด้านนอกนะ แหะๆ
หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังอินซาดง ตึกซัมซีกิลนั่นเอง จากการรีวิวตอนแรกเขาบอกว่าที่นี่มีขนมอุนจิขาย มันคือขนมอะไรละเนี่ย ต้องลอง!!! (เป็นคนชอบลองนิดหน่อย 555+) หน้าตาก็ประมาณนี้ เป็นแป้งข้างในใส่ไส้ถั่วแดง มีเกาลัดอยู่ข้างในด้วยครึ่งลูกได้ =_= ราคาก็ประมาณ 1000 วอน (จำราคาไม่ได้แล้ว)
ตึกซัมซีกิลเป็นอาคารที่มีทางเดินวนรอบพื้นที่ตรงกลาง พอเดินขึ้นไปจะหาจุดจบของมันไม่ได้จนกว่าจะขึ้นไปถึงชั้นบนสุด แต่ระหว่างชั้นที่เดินขึ้นไปจะมีบันไดให้สามารถเดินขึ้นเดินลงได้ (แอบๆ ไว้) ตามผนังมีการเขียนข้อความทั้งภาษาเกาหลี อังกฤษ (คาดว่าต้องมีไทยด้วยแน่นอน) มีมุมให้ถ่ายรูป เก้าอี้ตามบันได Graffiti แต่ราคาในร้านแถวนี้แพงเอาเรื่องอยู่นะ เลยได้แต่มอง วัยรุ่นที่นี่เพียบนะบอกเลย
เดินบนตึกได้ 3-4 ชั้น ก็เกิดอาการขี้เกียจ เมื่อย ไม่อยากเดินแล้ว เลยพากันเดินลงบันไดเพื่อไปถนนอินซาดงกันต่อ เป็นถนนสายยาวๆ ที่ขายของทีระลึกมากมาย ทั้งตะเกียบ พู่กัน กระเป๋า รองเท้า อะไรก็ตามที่เห็นแล้วนึกถึงเกาหลี พอจะหาได้จากที่นี่ ราคาไม่สูงมาก (ตอนนี้แบตกล้องใกล้หมด เท้าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หมดอารมณ์ถ่ายรูปจริงจัง เหลือภาพน้อยลงเรื่อยๆ)
หลังจากได้นั่งยืดๆ รอเพื่อนเดินกลับไปซื้อของ (เพื่อนคงเห็นว่าอินี่จะไม่ไปไหนแล้วแน่ๆ ก็เลยปล่อยให้นั่งรอแถวนั้น) เราก็ตั้งใจกลับไปมยองดงกันเลย ตอนนี้ก็บ่าย 3 ได้แล้วมั้ง พอเดินออกมาจนสุดถนนเจอถนนใหญ่ ปัญหาก็ตามมา หลงอีกแล้วจ้า สถานีรถไฟอยู่หนายยยยยยยยยย??? และแล้วก็เหลือบไปเห็น information ไม่รอช้าที่จะเดินไปหาแผนที่ที่จะพาเราไปสถานีรถไฟได้ (ไม่ค่อยกล้าถาม เดี๋ยวเขาตอบเป็นภาษาเกาหลีมาเราจะเงิบ = =)
พอหมุนแผนที่จนตรงแล้ว...เราก็เดินไปตามทางทิ่คิดว่าน่าจะใช่ แอบผ่านจุดที่มีแต่คุณลุงเกาหลีนั่งกินเหล้ากันแต่วัน นั่งเล่นหมากรุกกันแบบเอาจริงเอาจังมาก แอบรู้สึกเป็นบริเวณที่เป็นจุดดาร์กของเกาหลีเลยทีเดียว แต่ในที่สุดก็เดินหลุดออกมาจากซอยนั้นได้ และสุดท้ายก็เลยตัดสินใจถามทางไปสถานีรถไฟกับวัยรุ่นเกาหลีคนนึง น้ำตาจะไหลในที่สุดก็เจอแล้ว ไปมยองดงกันต่อเลยจ้า!
[CR] :: Day 3 :: อันยอง~ แทฮันมินกุก!! Trip 9 days 8 nights @ South Korea
ไม่พูดพร่ำเพรื่อยืดเยื้อมากมาย (?) เริ่มต้นวันแรกกันเลยดีกว่า
ส่วนสายการบินและที่พัก กลับไปดูที่ กระทู้นี้ >>> http://pantip.com/topic/33045560/
:: Day 1 :: http://pantip.com/topic/33213055
:: Day 2 :: http://pantip.com/topic/33213121
:: Day 3 :: http://pantip.com/topic/33213484
Changdeok Palace > Secret Garden Huwon>Jogyesa Temple > Miss Lee Café (ข้าวกล่องเขย่ายงซอ) >Insadong>
Myeong-Dong Cathedral>Café J Holic >Myeong-Dong Market>N’Seoul Tower > อาหารข้างทางของอาจุมม่าแถวที่พักเริ่มต้นวันที่ 3 ตั้งแต่เช้า ตื่นมาก็เจอกับครอบครัวสิงคโปร์และชาวฝรั่งเศสที่อาศัยร่วมกันในบ้านหลังนี้ คนฝรั่งเศสนี่ไม่เท่าไร คุยกันเล็กน้อย ยิ้มให้กันวันละนิดจิตแจ่มใส ต่างจากครอบครัวสิงคโปร์ที่มีเด็กน้อยวัยประถมมาด้วย ก็อย่างว่าคนสิงคโปร์ก็คล้ายๆ คนจีนเนี่ยแหละ ฉ้งเฉ้งแต่เช้า -*- แอบรำคาญ เช้าๆ ก็อยากอยู่อย่างสงบบ้างอะไรบ้าง แต่พวกนางทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองจ้า บร้ายยยยยยยยย!!
หลังจากทานอาหารง่ายๆ อย่าง นม น้ำส้ม ขนมปังปิ้ง ทาเนย แยม กันจนอิ่มพอสมควรก็รีบชิ่งออกจากบ้านไปเที่ยวดีกว่า วันนี้แพลนการเที่ยวของเรายังแน่นไม่ต่างจากวันแรก
วันนี้เราจะไปเริ่มต้นกันที่พระราชวังอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ...ชางด็อกกุง พระราชวังชางด็อก มาเพราะความสวยงาม + ตามรอยซีรีย์นะบอกเลยยย (แม้เราจะเข้าเพียง 2 พระราชวัง แต่การซื้อตั๋วแบบเหมาพระราชวัง 5 แห่ง ก็ถือว่าคุ้มสำหรับเราพอสมควร เพราะบัตรรวมราคา 10000 วอน เข้าได้ 5 พระราชวัง 1 สวน ในขณะที่เราจะไปแค่ 2 พระราชวัง 1 สวน เสียค่าเข้าประมาณ 11000 เห็นมั้ย คุ้มกว่าเห็นๆ)
*TIP*
Hongik University Station(239)>Sinchon>Ehwa Woman University >Ahyeon> Chung jeongno> City Hall >Euljiro 1 ga>Euljiro 3 ga(transfer from line 2 to line 3 Exit rightside 1st car 1st door)>Euljiro 3 ga (Line3)>Jongno 3 ga>Anguk (328)
Fare : 1,050 KRW / 26 Minutes 9 Stations
พอออกจากทางออกที่ 3 ก็เดินไปเรื่อยๆ ผ่านตึก ผ่านร้านค้าไปซักพัก ฝนตกจ้า =_= อากาศที่เกาหลีครึ้มๆ มาตลอด เมฆเยอะแต่ไม่คิดว่าอยู่ๆ ฝนก็จะตกลงมาแบบเน้ ร่มก็ไม่มี สุดท้ายก็เดินกลับไปถอยร่ม 1 คัน ที่ร้านขายของจิปาถะข้างทาง (คือมีตั้งแต่ของกิน หนังสือพิมพ์ ยันร่มเลยจ้า) แต่ใช้ไปได้ไม่ถึง 10 นาที ฝนก็หยุด -*- เป็นฝนปรอยๆ ตกแป็บเดียวก็เลิก
เดินไปถึงหน้าพระราชวังก็แว้บๆ เก็บรูปด้านหน้าซักหน่อย คนยังไม่เยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวญี่ปุ่น ชาวจีน ฝรั่งก็มา มาเองบ้าง มาทัวร์บ้าง ที่นี่อาจจะไม่ดังเท่าเคียงบกกุงแต่ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ไม่แพ้กันเลย ตอนแรกคิดว่าจะเล็ก แต่พอเข้าไปถึงด้านในมีตำหนักอยู่เยอะเลย
ในชางด็อกกุงมีสวนที่เรียกว่า secret garden หรือสวนลับฮูวอน ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอเข้าไปชมหน่อย แต่สวนนี้จะเข้าไปชมได้พร้อมไกด์นำเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปเองได้นะ สามารถเช็ครอบได้ใน internet หรือไปถึงด้านหน้าทางเข้าแล้วดูตารางการเข้าชมได้ โดยที่นี่จะหยุดทุกวันจันทร์ (อย่าหลงไปเชียว) แต่ถ้าจะรอรอบภาษาอังกฤษก็อีกหลายชั่วโมง ก็เลยเข้าภาษาอะไรก็ได้ไม่เป็นไร รอบที่เร็วที่สุดตอนนั้นเป็นรอบภาษาญี่ปุ่น (ไกด์เป็นคนเกาหลีแต่งชุดฮันบก บรรยายด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบใจเย็นมาก พูดช้าพอสมควรเลย พูดอังกฤษได้ด้วย งานนี้เลยได้ลองใช้ทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่น แปลได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องใช้สกิลมั่วอีกตามเคย)
มีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนถึงรอบ ก็ไปเดินเล่นเก็บภาพในวังนี้ไปพลางๆ ก่อนละกัน
พอใกล้ถึงเวลาก็เดินกลับไปรอตรงทางเข้าสวนลับ มองเข้าไปเห็นแต่ต้นไม้ -*- และด้านในก็สวนจริงๆ จ้า มีตำหนักเล็กตำหนักน้อยซ่อนอยู่ในดงต้นไม้ อารมณ์เดินป่ามากๆ เพราะต้นไม้สูงใหญ่ เยอะมาก มีความชื้นสูง แม้ว่าทางเดินจะถูกทำไว้ให้คนเดินก็เถอะ บางทีความลาดชันก็มากจนแอบคิดในใจว่าถ้าเสียหลักล้มนี่คงกลิ้งไปอยู่ที่พื้นแน่ๆ
เพราะมันเป็นธรรมชาติมากๆ ชื้นมาก ตามทางเดินจึงสามารถพบตัวตะเข็บได้ตลอดเวลา แถมเยอะจนไม่รู้จะเดินหลบยังไง รวมไปถึงนก ผีเสื้อ ที่บินผ่านไปมา
แต่ถ้าจะเหมือนป่าขนาดนี้มีเสือโผล่มาจะไม่แปลกใจ =O=
เดินกันจนเหนื่อยแล้วก็ยังไม่จบการชมสวนนะ ใช้เวลาเดินอยู่ในนี้ชั่วโมงครึ่ง เดินไปเดินมารั้งท้ายขบวนตลอด ทำให้คิดได้ว่าเราก็ยังไม่แก่นะ แค่ 20 แต่กลับเดินไม่ทันคุณลุงคุณป้าที่มากันเป็นหมู่คณะ กลับไปต้องฟิตร่างกาย ออกกำลังกายบ่อยๆ ซะแล้ว การมาทริปนี้ทำให้รู้เลยว่าร่างกายเราไม่ได้ดีขนาดนั้น
(ขอรวมภาพเลยละกันนะคะ ไม่งั้นภาพเยอะเกิน)
ออกจากพระราชวังก็เกือบเที่ยงแล้ว เป้าหมายข้าวเที่ยงของเราวันนี้อยู่ที่ร้าน Miss Lee café หรือร้านข้าวกล่องเขย่าที่ยงซอมากินด้วยกันตอนถ่ายรายการ we got married มันไม่ไกลจากพระราชวังมากสามารถเดินไปได้ แต่อยู่กันคนละฝั่งของสถานีรถไฟ แบบคนละมุมเลย -_-;;
ตอนที่เดินผ่านมีการชุมนุมอะไรซักอย่างด้วย คนเยอะพอสมควรแต่ก็ไม่ได้มีการโหวกเหวกโวยวายหรือทำร้ายร่างกายกันนะ เราเลยรีบๆ เดินผ่านไปกินข้าวดีกว่า
ร้านหาไม่ยากนะ ถึงทางเข้าจะเล็กไปหน่อยก็ตาม ถ้าใครกลัวหาร้านไม่เจอ จะมีแลนด์มาร์กเป็นพู่กันอันใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ด้านหลังจะมีตึกอยู่ มองขึ้นไปชั้น 2 จะมีรูปตัวการ์ตูนของร้านแปะให้เห็นเลย จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป
(พอทานอาหารเสร็จเราก็กลับลงถ่ายรูปด้านล่างกัน อยู่ๆ มีคนเกาหลีเดินมาพูดภาษาเกาหลีใส่ตอนเราถ่ายรูป... ได้แต่ทำหน้าเอ๋อใส่เขาไป เขาเลยถามว่าไม่ใช่คนเกาหลีใช่มั้ย ข่าาา หน้าก็ไม่ได้เกาหลีม้ายยยยยดูหนังหน้านิสนุงงงง T^T)
รสชาติเปรี้ยวๆ แล้วก็เป็นผักคล้ายกับแกงส้มบ้านเรา มีไส้กรอก(?) สาหร่าย และไข่ดาว เราก็เขย่าๆ คลุกๆ แล้วก็กิน อร่อยดี คิดแล้วก็อยากกินอีก ฮ่าๆๆ ตอนแรกคิดว่าไม่เยอะหรอก...ปรากฎว่ากินไปกินมา เข้าคอนเสร็ปชาวเกาหลีจ้า ข้าวเยอะกับแยะ แน่นอนว่าอิ่มตั้งแต่ครึ่งแต่ด้วยความเสียดายยัดมันลงกระเพาะไปหมดจนได้จ้า TOT
เนื่องจากเวลาคลาดเคลื่อนนิดหน่อยทำให้เราตรงไปกินข้าวกันก่อน พอเดินออกมาจากร้านได้ไม่ถึงนาที เราตั้งใจว่าจะไม่ไปวัดเชโกซาแล้ว จะตรงไปที่อินซาดงกันเลยอยู่ไม่ไกลเท่าไร แต่ด้วยความที่ปวดฉิ้งมากกกกเลยต้องหาห้องน้ำกันก่อน T_T เดินไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นร้านขายชุดนักบวชมากขึ้น วัดเชโกซาอยู่แถวๆ นี้ไปเข้าห้องน้ำที่นี่ก็แล้วกัน
เราต้องเดินข้ามถนนเพื่อเข้าไปด้านใน รูปที่นี่ไม่เยอะมาก เพราะเดินกันแบบผ่านๆ แวะชมนิดหน่อย นอกจากนี้ยังเป็นวัดขนาดเล็ก มีอาคารที่ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ แต่เราไม่ได้เข้าไปด้านใน ด้านนอกมีรูปสักการะของเจ้าแม่กวนอิมด้วย เราได้แต่ไหว้ด้านนอกนะ แหะๆ
หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังอินซาดง ตึกซัมซีกิลนั่นเอง จากการรีวิวตอนแรกเขาบอกว่าที่นี่มีขนมอุนจิขาย มันคือขนมอะไรละเนี่ย ต้องลอง!!! (เป็นคนชอบลองนิดหน่อย 555+) หน้าตาก็ประมาณนี้ เป็นแป้งข้างในใส่ไส้ถั่วแดง มีเกาลัดอยู่ข้างในด้วยครึ่งลูกได้ =_= ราคาก็ประมาณ 1000 วอน (จำราคาไม่ได้แล้ว)
ตึกซัมซีกิลเป็นอาคารที่มีทางเดินวนรอบพื้นที่ตรงกลาง พอเดินขึ้นไปจะหาจุดจบของมันไม่ได้จนกว่าจะขึ้นไปถึงชั้นบนสุด แต่ระหว่างชั้นที่เดินขึ้นไปจะมีบันไดให้สามารถเดินขึ้นเดินลงได้ (แอบๆ ไว้) ตามผนังมีการเขียนข้อความทั้งภาษาเกาหลี อังกฤษ (คาดว่าต้องมีไทยด้วยแน่นอน) มีมุมให้ถ่ายรูป เก้าอี้ตามบันได Graffiti แต่ราคาในร้านแถวนี้แพงเอาเรื่องอยู่นะ เลยได้แต่มอง วัยรุ่นที่นี่เพียบนะบอกเลย
เดินบนตึกได้ 3-4 ชั้น ก็เกิดอาการขี้เกียจ เมื่อย ไม่อยากเดินแล้ว เลยพากันเดินลงบันไดเพื่อไปถนนอินซาดงกันต่อ เป็นถนนสายยาวๆ ที่ขายของทีระลึกมากมาย ทั้งตะเกียบ พู่กัน กระเป๋า รองเท้า อะไรก็ตามที่เห็นแล้วนึกถึงเกาหลี พอจะหาได้จากที่นี่ ราคาไม่สูงมาก (ตอนนี้แบตกล้องใกล้หมด เท้าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หมดอารมณ์ถ่ายรูปจริงจัง เหลือภาพน้อยลงเรื่อยๆ)
หลังจากได้นั่งยืดๆ รอเพื่อนเดินกลับไปซื้อของ (เพื่อนคงเห็นว่าอินี่จะไม่ไปไหนแล้วแน่ๆ ก็เลยปล่อยให้นั่งรอแถวนั้น) เราก็ตั้งใจกลับไปมยองดงกันเลย ตอนนี้ก็บ่าย 3 ได้แล้วมั้ง พอเดินออกมาจนสุดถนนเจอถนนใหญ่ ปัญหาก็ตามมา หลงอีกแล้วจ้า สถานีรถไฟอยู่หนายยยยยยยยยย??? และแล้วก็เหลือบไปเห็น information ไม่รอช้าที่จะเดินไปหาแผนที่ที่จะพาเราไปสถานีรถไฟได้ (ไม่ค่อยกล้าถาม เดี๋ยวเขาตอบเป็นภาษาเกาหลีมาเราจะเงิบ = =)
พอหมุนแผนที่จนตรงแล้ว...เราก็เดินไปตามทางทิ่คิดว่าน่าจะใช่ แอบผ่านจุดที่มีแต่คุณลุงเกาหลีนั่งกินเหล้ากันแต่วัน นั่งเล่นหมากรุกกันแบบเอาจริงเอาจังมาก แอบรู้สึกเป็นบริเวณที่เป็นจุดดาร์กของเกาหลีเลยทีเดียว แต่ในที่สุดก็เดินหลุดออกมาจากซอยนั้นได้ และสุดท้ายก็เลยตัดสินใจถามทางไปสถานีรถไฟกับวัยรุ่นเกาหลีคนนึง น้ำตาจะไหลในที่สุดก็เจอแล้ว ไปมยองดงกันต่อเลยจ้า!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น