http://thaipublica.org/2014/03/privatization-ipo-ptt-6/
แปรรูปรัฐวิสาหกิจ (ตอน6) : การขายหุ้น ปตท. 2544 – IPO ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย
เมื่อปีที่แล้ว ผมได้เขียนเรื่อง “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” ไว้ 3 ตอน ยังไม่จบ มีผู้โต้แย้งเข้ามาพอสมควร พอดีมีเรื่องอื่นๆ ชวนให้ไปเขียนหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาความแตกแยกที่เริ่มปะทุและยกระดับความร้าวลึกขึ้นมา เลยยังไม่ได้สานต่อเสียที
มาวันนี้ วันที่ความแตกแยกเริ่มบานปลาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกาศตนว่า “รักชาติสุดชีวิต” ในกลุ่ม กปปส. เริ่มมีความเห็นต่างกันเอง โดยเฉพาะเรื่อง “การปฏิรูปพลังงาน” ซึ่งเกินเลยไปจนมีการเรียกร้องใหญ่โตให้ทวงคืน หรือ ริบคืน “ปตท.” ให้กลับไปเป็นของรัฐ (อยู่ใต้อุ้งมือนักการเมือง 100%) เหมือนเดิม
ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะ ที่จะต่อเรื่อง “การแปรรูปฯ ” ที่เขียนคั่งค้างไว้ให้จบ รวมไปถึงจะวิจารณ์ประเด็นร้อนเรื่องพลังงานด้วยเลย จึงขออนุญาตเอา 3 ตอนที่เขียนไว้มาโพสต์อีกที พร้อมทั้งเขียนตอนต่อเพิ่มเติม เพื่อปูพื้นสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านนะครับ
เล่าเรื่องค้างคาใจชาวประชา…ยาวหน่อยนะครับ เพราะจะเล่าให้หมดเปลือกจริงๆ
(ใครอ่านจบ ขอกราบงามๆ หนึ่งทีครับ)
เขียนวันที่ 14 มี.ค. 2557
การจัดจำหน่ายหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หลังจากที่แปรสภาพมาจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำนวน 920,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 35 บาท รวมมูลค่า 32,200,000,000 บาท ในเดือนพฤศจิกายน 2544 ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นข้อกังขาคาใจของสังคมตลอดมากว่า 12 ปี
ความจริงผม ทีมภัทรฯ ทีมผู้ร่วมจัดจำหน่ายอื่นๆ และทาง ปตท. ได้พยายามชี้แจงเรื่องนี้มาหลายครั้ง หลายวาระ หลายเวที ในการชี้แจงทุกครั้งก็มั่นใจว่าได้ตอบคำถามทุกประเด็นไปแล้วอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่พอเวลาผ่านไป ก็มีผู้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก (หลายท่านที่หยิบยกก็เป็นผู้ที่ได้ฟังคำชี้แจงไปแล้ว และก็ดูเหมือนเข้าใจไปแล้ว อยู่ๆ ก็เหมือนกับมีแรงบันดาลใจให้ลืมเสียกะทันหัน ยกเรื่องเก่ามาด่าใหม่เสียงั้น)
วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมจะเขียนชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตนเอง (ความจริงทีมทนายเคยเขียนชี้แจงศาลปกครองไปแล้ว และศาลก็ไม่เคยได้ติดใจประเด็นนี้) และหวังว่า จะได้ชี้แจงโดยละเอียดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องลุกขึ้นมาชี้แจงอีกต่อไป
ประเด็นในกระบวนการจัดจำหน่ายหุ้น ปตท. ที่ถูกโจมตีมากมาตลอด มีอยู่ 3 ประเด็น ดังนี้ครับ
1. ราคาที่ขาย หุ้นละ 35 บาท เป็นราคาที่ถูกเกินไป เป็นการเอาทรัพย์สินของชาติไปขายถูกๆ ให้กับพรรคพวก (ทั้งไทยและเทศ) ถ้าเทียบกับราคาปัจจุบัน 300 บาท เหมือนกับเอาเงินรัฐไปแจกตั้งเกือบสองแสนล้าน ประมาณว่าควรขายราคาสัก 250 บาท จะทำให้ได้เงินตั้ง 230,000 ล้าน เหลือสร้างรถไฟความเร็วสูงได้เกือบหนึ่งสาย
2. ในการจองซื้อ ในส่วนที่ขายให้ประชาชนทั่วไปนั้น ขายหมดใน 1 นาที 17 วินาที มีประชาชนไปเข้าแถวแล้วจองไม่ได้เยอะมาก ทั้งๆ ที่มีความต้องการได้แบ่ง “สมบัติชาติ” ก้อนนี้ เมื่อรวมกับประเด็นตามข้อ 1 แล้ว ทำให้น่าเชื่อว่า มีการล็อกเอาไว้ให้พรรคพวก เอาไปให้นักการเมือง ให้ผู้มีอำนาจทั้งหลาย
3. ในรายชื่อผู้ได้รับการจัดสรร มีรายชื่อของผู้ที่เป็นนักการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นญาติ เป็นพรรคพวกกับผู้มีอำนาจอยู่หลายคน ยิ่งยืนยันข้อกล่าวหาสองข้อเบื้องต้นได้
แถมมีการสร้างมโน จินตนาการไปใหญ่โต ว่าการนำ ปตท. เข้าตลาดนั้น ก็เพื่อที่จะให้ตระกูลนักการเมืองเข้ายึดครองเอาเป็นของตนเสีย
เหตุผลความจำเป็น ประโยชน์ ข้อดีข้อด้อย ในการที่ ปตท. เข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมได้เล่าไปหมดแล้ว วันนี้จะเล่าเรื่องขายหุ้นอย่างเดียวนะครับ
ขั้นแรก…ต้องขอย้อนเวลากลับไปดูบริบทสิ่งแวดล้อม ในช่วงเวลานั้น ในปี 2544 ซึ่งเป็นห้วงที่ประเทศไทยยังไม่ฟื้นจากวิกฤติดี โดยเฉพาะตลาดทุน ตลาดหุ้น
– ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ตกต่ำอย่างมาก เริ่มต้นปีที่ 304 จุด (เคยสูงสุด 1,700 จุดเมื่อปี 2536 พอปี 2539 อยู่ที่ 832 จุด สิ้นปี 2540 หลังวิกฤติ ก็ต่ำกว่า 400 จุดมาตลอด) ปี 2544 ก่อนขายหุ้น ปตท. มีระดับการซื้อขายเฉลี่ยแค่วันละประมาณ 5,000 ล้านบาท มูลค่าตามราคาตลาด (market cap) 1.5 ล้านล้านบาท (สำหรับคนที่อาจไม่คุ้นตลาดหุ้น วันนี้ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,365 จุด ซื้อขายวันละ 30,000 ล้าน มูลค่าตามราคาตลาด 12 ล้านล้านบาท)
– การขายหุ้นในตลาดแรกซบเซาอย่างมาก หลังจากที่ธนาคารสามแห่งใหญ่ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ ขายหุ้นเพิ่มทุนหนีตายหลังวิกฤติได้รวม 110,000 ล้านบาท ในปี 2541 แล้ว หุ้นล้วนตก ผู้จอง (ส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ) ต่างขาดทุนถ้วนหน้า หลังจากนั้น หุ้นเพิ่มทุนรวมทั้งไอพีโอ (IPO: Initial Public Offering, การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก) แทบจะขายไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่มีไอพีโอขนาดใหญ่ก็เป็นหุ้น บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH) ที่ขายในเดือนตุลาคม 2543 ก็มีขนาดเพียง 2,275 ล้าน
– ผู้จองซื้อหุ้นในช่วงเวลานั้นต่างขาดทุนจากการจองซื้อหุ้นกันตลอดมา โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ (หุ้นการบินไทย ขาย 60 บาท ราคาไม่เคยถึงหรือใกล้เคียงเลย)
– คนทั่วไปไม่ซื้อหุ้นจอง กลต. เคยบังคับให้แบ่งส่วนไอพีโอ 30 เปอร์เซ็นต์ มาเปิดจองทั่วไป โดยให้ small lot first หรือ random allotment (จับสลากจัดสรร) ปรากฏว่า เปิดศูนย์สิริกิติ์ทั้งวัน มีคนมาจองไม่กี่สิบคน เรียกว่าตลาดตายสนิท สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ต้องยกเลิกกฎดังกล่าวไป
ถามว่า ในเมื่อภาวะแย่อย่างนั้น ทำไมต้องขายหุ้น ปตท. ในช่วงเวลานั้น
คำตอบคือ ตัว ปตท. ต้องการเงินทุน เพื่อไปแก้ไขปรับสถานะการเงินบริษัทในเครือทั้งหลาย ประกอบกับมีโอกาสที่จะได้ลงทุนในอุตสาหกรรมการกลั่นและปิโตรเคมีที่บอบช้ำหนักหลังวิกฤติ ทำให้ราคาถูก กับทั้งรัฐบาลไม่สามารถเจียดงบประมาณมาให้ได้ (ตอนนั้นยังไม่ได้ถีบคุณพ่อไอเอ็มเอฟกลับไปเลย) และรัฐบาลยังหวังว่าการขาย ปตท. การมีไอพีโอขนาดใหญ่ จะปลุกความสนใจในตลาดไทยให้กลับมาได้ อีกอย่าง ในเวลานั้น ไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะดีขึ้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครคาดการได้ (ไอ้ประเภทเวลาผ่านไปแล้วมาบอกว่า…รู้งี้ ควรทำนั่นนี่โน่นน่ะขอทีเถอะครับ)
ช่วงเดือนสิงหาคม 2544 เริ่มมีการออกข่าว ปตท. จะเข้าตลาดฯ ผู้ร่วมจัดการจำหน่ายหุ้น ซึ่งได้แก่ 3 บริษัทไทย คือ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ภัทร บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.ทิสโก้ และ อีกธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลกอีก 3 แห่ง คือ CSFB, Lehman Brothers และ Merrill Lynch เริ่มออกวิจัยโหมโรงโปรโมตตลาดไทยใหม่ จนดัชนีปรับตัวกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ จาก 300 จุดช่วงต้นเดือนสิงหาคม มาสูงกว่า 340 จุดในช่วงต้นเดือนกันยายน
ทุกอย่างดูดี จนวันที่ 11 กันยายน 2544 (9/11) ก็เกิดเหตุการณ์สะท้านโลก ตลาดหุ้นตกต่ำทั่วโลก ดัชนีเราลงไป 280 จุด ประเมินเหตุการณ์อยู่เกือบเดือน พอ 8 ตุลาคม ก็ตัดสินใจดำเนินการทดสอบตลาด เพื่อประเมินความต้องการเบื้องต้น (ก็อีกแหละ ไม่มีใครบอกได้ว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร)
ถึงตอนนี้ อยากอธิบายว่า การขายหุ้นขนาดใหญ่ ทุกครั้งต้องมีการวางแผนการกันอย่างละเอียดทุกขั้นตอน แผนมีความยืดหยุ่นตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาด กับทั้งต้องมีความมั่นใจสูงทุกขั้นตอน เพราะหากล้มเหลว ความเสียหายที่จะเกิดกับผู้ออกหลักทรัพย์และผู้จัดจำหน่ายจะมีมาก ทั้งที่เป็นตัวเงิน และที่ไม่ใช่เงิน ทุกอย่างเป็นการดำเนินการอย่างมืออาชีพ ไม่ได้ทำง่ายๆ ชุ่ยๆ อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ
การทดสอบตลาด เราทำทั้ง 4 ทาง เพราะตั้งใจจะแบ่งการขายเป็น 4 ส่วน (tranche) คือ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ (เป้าหมายใหญ่สุด) สถาบันไทย ลูกค้าบุคคลที่ซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว กับประชาชนทั่วไปที่มีเงินออมซึ่งปกติไม่ได้เล่นหุ้น การทดสอบพวกสถาบันนั้นเรียกว่าการทำการตลาดก่อนขายจริง (Pre-deal marketing) โดยนักวิเคราะห์วิจัยของทั้งหกแห่งจะออกไปพบนักลงทุนสถาบันทั่วโลก เพื่อรวบรวมความสนใจ ตลอดไปจนถึงการหาช่วงราคา ส่วนลูกค้าตลาดหุ้นก็เป็นหน้าที่ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (underwriter) ไทยทั้ง 3 แห่ง และสำหรับลูกค้าเงินออม เราขอให้ธนาคารสองแห่ง (กรุงไทยกับไทยพาณิชย์) ทำการสำรวจจากลูกค้าเงินฝากกว่า 5,000 ราย ผลสำรวจตลาดปรากฏว่า สถาบันมีอุปสงค์ค่อนข้างดี ลูกค้า โบรกเกอร์ พอใช้ได้ แต่ส่วนลูกค้าธนาคาร มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ตอบว่าสนใจจองซื้อ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตามที่ได้เล่ามาแล้ว
ทีนี้ก็เลยมาถึงขั้นตอนสำคัญ คือ การตัดสินใจว่า จะดำเนินการต่อหรือไม่ จะกำหนดช่วงราคาขายเท่าใด และจะแบ่งสัดส่วนใน tranche ต่างๆ อย่างไร
ก่อนจะเล่าต่อไป…ผมต้องขอเบรกมาอธิบายถึงหลักการ และเป้าประสงค์ในการจัดจำหน่ายหุ้น โดยเฉพาะไอพีโอ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก
ในการขายหุ้นนั้นจะมีเป้าหมาย 4 อย่าง ดังนี้
หนึ่ง ต้องขายให้หมด การทำไอพีโอแล้วมีหุ้นเหลือ ขายไม่ออก นับเป็นหายนะอย่างแท้จริง จนอาจต้องยกเลิกการขาย เพราะแสดงว่านักลงทุนไม่ยอมรับคุณภาพกิจการ ถ้าดันขายไป ราคาหลังจากนั้นก็คงย่อยยับ
สอง ต้องให้ได้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งหมายถึงควรได้ราคาที่สมควร ประมาณว่าสักสิบเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าราคาที่เข้าไปซื้อขายแล้วยืนอยู่ได้ ถ้าขายหุ้นแล้วเข้าตลาดแล้วขึ้นไปเป็นเท่าตัว แปลว่าขายต่ำไป เอาเงินไปทิ้ง ไล่แจกอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าขายไปแล้วตกมาก ก็แปลว่ากระบวนการผิด (นอกจากภาวะตลาดเปลี่ยนมาก) ถึงแม้บริษัทอาจได้เงินเยอะกว่าที่ควร แต่ก็มีผลร้ายมากกว่า เช่น กรณีที่เฟซบุ๊กทำไอพีโอแล้วหุ้นตกมาก บริษัทเสียใจและเสียหน้ามาก
สาม ต้องให้มีเสถียรภาพของราคาหลังจากเข้าซื้อขาย การตั้งราคาที่ดี หมายถึงว่า หุ้นเข้าตลาดแล้วจะมีจุดสมดุลราคาประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เหนือราคาจอง และมีเสถียรภาพ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานหรือสภาพตลาด ถ้าใครโปรดว่าหุ้นเข้าแล้วต้องขึ้นหลายสิบเปอร์เซนต์ หรือเป็นหลายเท่าตัว ขอบอกเลยว่านั่นไม่ใช่มาตรฐานที่ดี
สี่ มีการกระจายที่เหมาะสม คือ ในกลุ่มนักลงทุนทั้งสี่ tranche ที่ว่า ต้องให้เกิดการกระจายที่ดีตั้งแต่ต้น นักลงทุนสถาบันที่ลงทุนยาว (ทุกกองไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน) ควรได้รับการจัดสรรเป็นแกนหลัก และควรได้รับน้อยกว่าที่ต้องการสักหน่อย จะได้ซื้อเพิ่ม (แต่ถ้าได้น้อยไป ไม่คุ้มที่จะตามดู เขาก็ขายทิ้ง) พวกที่น่ากลัวสุด คือ “บุคคลธรรมดานักเล่นหุ้น” (โดยเฉพาะ “ขาใหญ่” ทั้งหลาย) ที่ส่วนใหญ่จะจองไปเพื่อขายวันแรก ประชาชนทั่วไปอาจถือยาวกว่า แต่ส่วนใหญ่จะมีความรู้น้อย ไม่สามารถมาช่วยในกระบวนการกำหนดราคาได้ การกระจายนี่มีความสำคัญมาก เพราะหมายถึงเสถียรภาพระยะยาว และจะช่วยให้สามารถระดมทุนครั้งใหม่ได้สะดวกรวดเร็ว
ขอเรียนไว้ตรงนี้เลยว่า การขายหุ้นนั้นเป็นการค้าขาย ผู้ซื้อมีความเสี่ยง มีโอกาสได้รับผลขาดทุน (และก็มีการขาดทุนกันเสมอ) เราไม่เคยอยากขายถูกๆ เอาเงินรัฐไปแจก ดังนั้น คำว่า “ให้โอกาสอย่างเท่าเทียมกัน” ไม่ใช่เป้าหมายหลักใดๆ เพราะถึงจะขายให้กว้างด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่มีทางได้ผู้ซื้อเกินห้าแสนคน (หุ้นการบินไทยที่ขายในปี 2536 มีผู้จองสองแสนเศษ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วก็ขาดทุนกันทั่วหน้า) การขายให้ได้ราคาดี และราคาในระยะยาวเป็นประโยชน์กับคนไทยทั้ง 65 ล้านคนมากกว่าเยอะ อีกอย่าง ถ้าอยากให้คนไทยมีส่วนร่วมมากก็ควรขายให้นักลงทุนสถาบันไทย เพราะมีสมาชิกหลายสิบล้าน ซึ่งเราก็ให้ความสำคัญสูงสุด เสียแต่ในเวลานั้นยังมีขนาดเล็ก มีอุปสงค์จำกัด
เห็นไหมครับ การจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอมันเป็นงานที่ละเอียดซับซ้อนมากๆ เป็นเรื่องเทคนิคเฉพาะทางมากๆ และต้องการความเป็นมืออาชีพมากๆ ต้องใช้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายทั่วโลก โดยเฉพาะการขาย ปตท. ที่เป็นดีลขนาดใหญ่ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (เท่ากับกำลังก่อร่างประเทศไทยขึ้นมาใหม่ท่ามกลางสงครามการก่อการร้าย) แต่เมื่อตัดสินใจทำแล้ว ก็ต้องทำให้ดี มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
พอทราบผลการประเมินความต้องการเบื้องต้น ประเมินเหตุการณ์และปัจจัยรอบด้านแล้ว ในวันที่ 8 ตุลาคม 2544 ทาง ปตท. และรัฐบาล ก็ตัดสินใจเดินหน้า ซึ่งในวันนั้น มีสองเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจ
PTT ไอพีโอครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย by บรรยง พงษ์พานิช
แปรรูปรัฐวิสาหกิจ (ตอน6) : การขายหุ้น ปตท. 2544 – IPO ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย
เมื่อปีที่แล้ว ผมได้เขียนเรื่อง “การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ” ไว้ 3 ตอน ยังไม่จบ มีผู้โต้แย้งเข้ามาพอสมควร พอดีมีเรื่องอื่นๆ ชวนให้ไปเขียนหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาความแตกแยกที่เริ่มปะทุและยกระดับความร้าวลึกขึ้นมา เลยยังไม่ได้สานต่อเสียที
มาวันนี้ วันที่ความแตกแยกเริ่มบานปลาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกาศตนว่า “รักชาติสุดชีวิต” ในกลุ่ม กปปส. เริ่มมีความเห็นต่างกันเอง โดยเฉพาะเรื่อง “การปฏิรูปพลังงาน” ซึ่งเกินเลยไปจนมีการเรียกร้องใหญ่โตให้ทวงคืน หรือ ริบคืน “ปตท.” ให้กลับไปเป็นของรัฐ (อยู่ใต้อุ้งมือนักการเมือง 100%) เหมือนเดิม
ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะ ที่จะต่อเรื่อง “การแปรรูปฯ ” ที่เขียนคั่งค้างไว้ให้จบ รวมไปถึงจะวิจารณ์ประเด็นร้อนเรื่องพลังงานด้วยเลย จึงขออนุญาตเอา 3 ตอนที่เขียนไว้มาโพสต์อีกที พร้อมทั้งเขียนตอนต่อเพิ่มเติม เพื่อปูพื้นสำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านนะครับ
เล่าเรื่องค้างคาใจชาวประชา…ยาวหน่อยนะครับ เพราะจะเล่าให้หมดเปลือกจริงๆ
(ใครอ่านจบ ขอกราบงามๆ หนึ่งทีครับ)
เขียนวันที่ 14 มี.ค. 2557
การจัดจำหน่ายหุ้นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หลังจากที่แปรสภาพมาจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จำนวน 920,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 35 บาท รวมมูลค่า 32,200,000,000 บาท ในเดือนพฤศจิกายน 2544 ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นข้อกังขาคาใจของสังคมตลอดมากว่า 12 ปี
ความจริงผม ทีมภัทรฯ ทีมผู้ร่วมจัดจำหน่ายอื่นๆ และทาง ปตท. ได้พยายามชี้แจงเรื่องนี้มาหลายครั้ง หลายวาระ หลายเวที ในการชี้แจงทุกครั้งก็มั่นใจว่าได้ตอบคำถามทุกประเด็นไปแล้วอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่พอเวลาผ่านไป ก็มีผู้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก (หลายท่านที่หยิบยกก็เป็นผู้ที่ได้ฟังคำชี้แจงไปแล้ว และก็ดูเหมือนเข้าใจไปแล้ว อยู่ๆ ก็เหมือนกับมีแรงบันดาลใจให้ลืมเสียกะทันหัน ยกเรื่องเก่ามาด่าใหม่เสียงั้น)
วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมจะเขียนชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตนเอง (ความจริงทีมทนายเคยเขียนชี้แจงศาลปกครองไปแล้ว และศาลก็ไม่เคยได้ติดใจประเด็นนี้) และหวังว่า จะได้ชี้แจงโดยละเอียดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องลุกขึ้นมาชี้แจงอีกต่อไป
ประเด็นในกระบวนการจัดจำหน่ายหุ้น ปตท. ที่ถูกโจมตีมากมาตลอด มีอยู่ 3 ประเด็น ดังนี้ครับ
1. ราคาที่ขาย หุ้นละ 35 บาท เป็นราคาที่ถูกเกินไป เป็นการเอาทรัพย์สินของชาติไปขายถูกๆ ให้กับพรรคพวก (ทั้งไทยและเทศ) ถ้าเทียบกับราคาปัจจุบัน 300 บาท เหมือนกับเอาเงินรัฐไปแจกตั้งเกือบสองแสนล้าน ประมาณว่าควรขายราคาสัก 250 บาท จะทำให้ได้เงินตั้ง 230,000 ล้าน เหลือสร้างรถไฟความเร็วสูงได้เกือบหนึ่งสาย
2. ในการจองซื้อ ในส่วนที่ขายให้ประชาชนทั่วไปนั้น ขายหมดใน 1 นาที 17 วินาที มีประชาชนไปเข้าแถวแล้วจองไม่ได้เยอะมาก ทั้งๆ ที่มีความต้องการได้แบ่ง “สมบัติชาติ” ก้อนนี้ เมื่อรวมกับประเด็นตามข้อ 1 แล้ว ทำให้น่าเชื่อว่า มีการล็อกเอาไว้ให้พรรคพวก เอาไปให้นักการเมือง ให้ผู้มีอำนาจทั้งหลาย
3. ในรายชื่อผู้ได้รับการจัดสรร มีรายชื่อของผู้ที่เป็นนักการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นญาติ เป็นพรรคพวกกับผู้มีอำนาจอยู่หลายคน ยิ่งยืนยันข้อกล่าวหาสองข้อเบื้องต้นได้
แถมมีการสร้างมโน จินตนาการไปใหญ่โต ว่าการนำ ปตท. เข้าตลาดนั้น ก็เพื่อที่จะให้ตระกูลนักการเมืองเข้ายึดครองเอาเป็นของตนเสีย
เหตุผลความจำเป็น ประโยชน์ ข้อดีข้อด้อย ในการที่ ปตท. เข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมได้เล่าไปหมดแล้ว วันนี้จะเล่าเรื่องขายหุ้นอย่างเดียวนะครับ
ขั้นแรก…ต้องขอย้อนเวลากลับไปดูบริบทสิ่งแวดล้อม ในช่วงเวลานั้น ในปี 2544 ซึ่งเป็นห้วงที่ประเทศไทยยังไม่ฟื้นจากวิกฤติดี โดยเฉพาะตลาดทุน ตลาดหุ้น
– ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ตกต่ำอย่างมาก เริ่มต้นปีที่ 304 จุด (เคยสูงสุด 1,700 จุดเมื่อปี 2536 พอปี 2539 อยู่ที่ 832 จุด สิ้นปี 2540 หลังวิกฤติ ก็ต่ำกว่า 400 จุดมาตลอด) ปี 2544 ก่อนขายหุ้น ปตท. มีระดับการซื้อขายเฉลี่ยแค่วันละประมาณ 5,000 ล้านบาท มูลค่าตามราคาตลาด (market cap) 1.5 ล้านล้านบาท (สำหรับคนที่อาจไม่คุ้นตลาดหุ้น วันนี้ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,365 จุด ซื้อขายวันละ 30,000 ล้าน มูลค่าตามราคาตลาด 12 ล้านล้านบาท)
– การขายหุ้นในตลาดแรกซบเซาอย่างมาก หลังจากที่ธนาคารสามแห่งใหญ่ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ ขายหุ้นเพิ่มทุนหนีตายหลังวิกฤติได้รวม 110,000 ล้านบาท ในปี 2541 แล้ว หุ้นล้วนตก ผู้จอง (ส่วนใหญ่เป็นต่างประเทศ) ต่างขาดทุนถ้วนหน้า หลังจากนั้น หุ้นเพิ่มทุนรวมทั้งไอพีโอ (IPO: Initial Public Offering, การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก) แทบจะขายไม่ได้เลย ครั้งสุดท้ายที่มีไอพีโอขนาดใหญ่ก็เป็นหุ้น บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH) ที่ขายในเดือนตุลาคม 2543 ก็มีขนาดเพียง 2,275 ล้าน
– ผู้จองซื้อหุ้นในช่วงเวลานั้นต่างขาดทุนจากการจองซื้อหุ้นกันตลอดมา โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ (หุ้นการบินไทย ขาย 60 บาท ราคาไม่เคยถึงหรือใกล้เคียงเลย)
– คนทั่วไปไม่ซื้อหุ้นจอง กลต. เคยบังคับให้แบ่งส่วนไอพีโอ 30 เปอร์เซ็นต์ มาเปิดจองทั่วไป โดยให้ small lot first หรือ random allotment (จับสลากจัดสรร) ปรากฏว่า เปิดศูนย์สิริกิติ์ทั้งวัน มีคนมาจองไม่กี่สิบคน เรียกว่าตลาดตายสนิท สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ต้องยกเลิกกฎดังกล่าวไป
ถามว่า ในเมื่อภาวะแย่อย่างนั้น ทำไมต้องขายหุ้น ปตท. ในช่วงเวลานั้น
คำตอบคือ ตัว ปตท. ต้องการเงินทุน เพื่อไปแก้ไขปรับสถานะการเงินบริษัทในเครือทั้งหลาย ประกอบกับมีโอกาสที่จะได้ลงทุนในอุตสาหกรรมการกลั่นและปิโตรเคมีที่บอบช้ำหนักหลังวิกฤติ ทำให้ราคาถูก กับทั้งรัฐบาลไม่สามารถเจียดงบประมาณมาให้ได้ (ตอนนั้นยังไม่ได้ถีบคุณพ่อไอเอ็มเอฟกลับไปเลย) และรัฐบาลยังหวังว่าการขาย ปตท. การมีไอพีโอขนาดใหญ่ จะปลุกความสนใจในตลาดไทยให้กลับมาได้ อีกอย่าง ในเวลานั้น ไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะดีขึ้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครคาดการได้ (ไอ้ประเภทเวลาผ่านไปแล้วมาบอกว่า…รู้งี้ ควรทำนั่นนี่โน่นน่ะขอทีเถอะครับ)
ช่วงเดือนสิงหาคม 2544 เริ่มมีการออกข่าว ปตท. จะเข้าตลาดฯ ผู้ร่วมจัดการจำหน่ายหุ้น ซึ่งได้แก่ 3 บริษัทไทย คือ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ภัทร บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.ทิสโก้ และ อีกธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลกอีก 3 แห่ง คือ CSFB, Lehman Brothers และ Merrill Lynch เริ่มออกวิจัยโหมโรงโปรโมตตลาดไทยใหม่ จนดัชนีปรับตัวกว่าสิบเปอร์เซ็นต์ จาก 300 จุดช่วงต้นเดือนสิงหาคม มาสูงกว่า 340 จุดในช่วงต้นเดือนกันยายน
ทุกอย่างดูดี จนวันที่ 11 กันยายน 2544 (9/11) ก็เกิดเหตุการณ์สะท้านโลก ตลาดหุ้นตกต่ำทั่วโลก ดัชนีเราลงไป 280 จุด ประเมินเหตุการณ์อยู่เกือบเดือน พอ 8 ตุลาคม ก็ตัดสินใจดำเนินการทดสอบตลาด เพื่อประเมินความต้องการเบื้องต้น (ก็อีกแหละ ไม่มีใครบอกได้ว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร)
ถึงตอนนี้ อยากอธิบายว่า การขายหุ้นขนาดใหญ่ ทุกครั้งต้องมีการวางแผนการกันอย่างละเอียดทุกขั้นตอน แผนมีความยืดหยุ่นตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาด กับทั้งต้องมีความมั่นใจสูงทุกขั้นตอน เพราะหากล้มเหลว ความเสียหายที่จะเกิดกับผู้ออกหลักทรัพย์และผู้จัดจำหน่ายจะมีมาก ทั้งที่เป็นตัวเงิน และที่ไม่ใช่เงิน ทุกอย่างเป็นการดำเนินการอย่างมืออาชีพ ไม่ได้ทำง่ายๆ ชุ่ยๆ อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ
การทดสอบตลาด เราทำทั้ง 4 ทาง เพราะตั้งใจจะแบ่งการขายเป็น 4 ส่วน (tranche) คือ นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ (เป้าหมายใหญ่สุด) สถาบันไทย ลูกค้าบุคคลที่ซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว กับประชาชนทั่วไปที่มีเงินออมซึ่งปกติไม่ได้เล่นหุ้น การทดสอบพวกสถาบันนั้นเรียกว่าการทำการตลาดก่อนขายจริง (Pre-deal marketing) โดยนักวิเคราะห์วิจัยของทั้งหกแห่งจะออกไปพบนักลงทุนสถาบันทั่วโลก เพื่อรวบรวมความสนใจ ตลอดไปจนถึงการหาช่วงราคา ส่วนลูกค้าตลาดหุ้นก็เป็นหน้าที่ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (underwriter) ไทยทั้ง 3 แห่ง และสำหรับลูกค้าเงินออม เราขอให้ธนาคารสองแห่ง (กรุงไทยกับไทยพาณิชย์) ทำการสำรวจจากลูกค้าเงินฝากกว่า 5,000 ราย ผลสำรวจตลาดปรากฏว่า สถาบันมีอุปสงค์ค่อนข้างดี ลูกค้า โบรกเกอร์ พอใช้ได้ แต่ส่วนลูกค้าธนาคาร มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ตอบว่าสนใจจองซื้อ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตามที่ได้เล่ามาแล้ว
ทีนี้ก็เลยมาถึงขั้นตอนสำคัญ คือ การตัดสินใจว่า จะดำเนินการต่อหรือไม่ จะกำหนดช่วงราคาขายเท่าใด และจะแบ่งสัดส่วนใน tranche ต่างๆ อย่างไร
ก่อนจะเล่าต่อไป…ผมต้องขอเบรกมาอธิบายถึงหลักการ และเป้าประสงค์ในการจัดจำหน่ายหุ้น โดยเฉพาะไอพีโอ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก
ในการขายหุ้นนั้นจะมีเป้าหมาย 4 อย่าง ดังนี้
หนึ่ง ต้องขายให้หมด การทำไอพีโอแล้วมีหุ้นเหลือ ขายไม่ออก นับเป็นหายนะอย่างแท้จริง จนอาจต้องยกเลิกการขาย เพราะแสดงว่านักลงทุนไม่ยอมรับคุณภาพกิจการ ถ้าดันขายไป ราคาหลังจากนั้นก็คงย่อยยับ
สอง ต้องให้ได้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งหมายถึงควรได้ราคาที่สมควร ประมาณว่าสักสิบเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าราคาที่เข้าไปซื้อขายแล้วยืนอยู่ได้ ถ้าขายหุ้นแล้วเข้าตลาดแล้วขึ้นไปเป็นเท่าตัว แปลว่าขายต่ำไป เอาเงินไปทิ้ง ไล่แจกอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าขายไปแล้วตกมาก ก็แปลว่ากระบวนการผิด (นอกจากภาวะตลาดเปลี่ยนมาก) ถึงแม้บริษัทอาจได้เงินเยอะกว่าที่ควร แต่ก็มีผลร้ายมากกว่า เช่น กรณีที่เฟซบุ๊กทำไอพีโอแล้วหุ้นตกมาก บริษัทเสียใจและเสียหน้ามาก
สาม ต้องให้มีเสถียรภาพของราคาหลังจากเข้าซื้อขาย การตั้งราคาที่ดี หมายถึงว่า หุ้นเข้าตลาดแล้วจะมีจุดสมดุลราคาประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เหนือราคาจอง และมีเสถียรภาพ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานหรือสภาพตลาด ถ้าใครโปรดว่าหุ้นเข้าแล้วต้องขึ้นหลายสิบเปอร์เซนต์ หรือเป็นหลายเท่าตัว ขอบอกเลยว่านั่นไม่ใช่มาตรฐานที่ดี
สี่ มีการกระจายที่เหมาะสม คือ ในกลุ่มนักลงทุนทั้งสี่ tranche ที่ว่า ต้องให้เกิดการกระจายที่ดีตั้งแต่ต้น นักลงทุนสถาบันที่ลงทุนยาว (ทุกกองไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนกัน) ควรได้รับการจัดสรรเป็นแกนหลัก และควรได้รับน้อยกว่าที่ต้องการสักหน่อย จะได้ซื้อเพิ่ม (แต่ถ้าได้น้อยไป ไม่คุ้มที่จะตามดู เขาก็ขายทิ้ง) พวกที่น่ากลัวสุด คือ “บุคคลธรรมดานักเล่นหุ้น” (โดยเฉพาะ “ขาใหญ่” ทั้งหลาย) ที่ส่วนใหญ่จะจองไปเพื่อขายวันแรก ประชาชนทั่วไปอาจถือยาวกว่า แต่ส่วนใหญ่จะมีความรู้น้อย ไม่สามารถมาช่วยในกระบวนการกำหนดราคาได้ การกระจายนี่มีความสำคัญมาก เพราะหมายถึงเสถียรภาพระยะยาว และจะช่วยให้สามารถระดมทุนครั้งใหม่ได้สะดวกรวดเร็ว
ขอเรียนไว้ตรงนี้เลยว่า การขายหุ้นนั้นเป็นการค้าขาย ผู้ซื้อมีความเสี่ยง มีโอกาสได้รับผลขาดทุน (และก็มีการขาดทุนกันเสมอ) เราไม่เคยอยากขายถูกๆ เอาเงินรัฐไปแจก ดังนั้น คำว่า “ให้โอกาสอย่างเท่าเทียมกัน” ไม่ใช่เป้าหมายหลักใดๆ เพราะถึงจะขายให้กว้างด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่มีทางได้ผู้ซื้อเกินห้าแสนคน (หุ้นการบินไทยที่ขายในปี 2536 มีผู้จองสองแสนเศษ มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วก็ขาดทุนกันทั่วหน้า) การขายให้ได้ราคาดี และราคาในระยะยาวเป็นประโยชน์กับคนไทยทั้ง 65 ล้านคนมากกว่าเยอะ อีกอย่าง ถ้าอยากให้คนไทยมีส่วนร่วมมากก็ควรขายให้นักลงทุนสถาบันไทย เพราะมีสมาชิกหลายสิบล้าน ซึ่งเราก็ให้ความสำคัญสูงสุด เสียแต่ในเวลานั้นยังมีขนาดเล็ก มีอุปสงค์จำกัด
เห็นไหมครับ การจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอมันเป็นงานที่ละเอียดซับซ้อนมากๆ เป็นเรื่องเทคนิคเฉพาะทางมากๆ และต้องการความเป็นมืออาชีพมากๆ ต้องใช้ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายทั่วโลก โดยเฉพาะการขาย ปตท. ที่เป็นดีลขนาดใหญ่ ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (เท่ากับกำลังก่อร่างประเทศไทยขึ้นมาใหม่ท่ามกลางสงครามการก่อการร้าย) แต่เมื่อตัดสินใจทำแล้ว ก็ต้องทำให้ดี มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
พอทราบผลการประเมินความต้องการเบื้องต้น ประเมินเหตุการณ์และปัจจัยรอบด้านแล้ว ในวันที่ 8 ตุลาคม 2544 ทาง ปตท. และรัฐบาล ก็ตัดสินใจเดินหน้า ซึ่งในวันนั้น มีสองเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจ