ย้อนกลับไป
ตอนที่ 1:
https://pantip.com/topic/33107833/comment2-1
ตอนที่ 2:
https://pantip.com/topic/33153280/comment1
ตอนที่ 4:
https://pantip.com/topic/36156125
ใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุนอาเซียนนี้
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อเพจนี้ได้นะครับ: https://www.facebook.com/TSnxtgen/
ASEAN Scholarship part 3
Commonwealth Secondary School ฟังแล้วชื่อมันเห่ยๆไงก็ไม่รู้แฮะ เทียบกับ Victoria School เงี้ย..... ช่างมันเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอาเป็นว่าอย่างน้อยโรงเรียนก็วิวดีละกัน โรงเรียนก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก มีตึกสี่ห้าตึก สูงตึกละประมาณสี่ชั้น มีแล็บ (ซึ่งอุปกรณ์ก็ไม่ได้มีอะไรหรูหรา) ห้องคอม (ซึ่งไม่เคยจะได้เข้า) ห้องประชุมเอนกประสงค์ (ใช้เป็นสนามบาส สนามแบดก็ได้) ลานรวมพล สนามบอลเล็กๆอีกสนาม ห้องดนตรี ห้องซ้อมเต้น ห้องศิลปะ.... สภาพก็ไม่ได้ดีจัด แต่ก็ไม่ได้แย่
โดยความเห็นส่วนตัว ความโดดเด่นของโรงเรียนนี้มีอยู่สองสามอย่างถ้าเทียบกับที่อื่น
1. เสื้อนักเรียนฟ้ามากกกกก ฟ้าทั้งชุดทั้งกางเกง... แบบว่าถ้าถือไม้กวาดอยู่นี้คนคงว่าเป็นแม่บ้าน
2. เป็นโรงเรียนสห.... (เด่นตรงไหนหรอ? อ๋อ โรงเรียนอื่นๆที่เพื่อนๆไปอยู่เป็นโรงเรียนแยกเพศ 5555 ผมเข็ดละ)
3. ตรงข้ามโรงเรียนเป็นอ่างเก็บน้ำ (น้องๆเขื่อนเล็กๆ) ที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้โรงเรียนยิ่งดูเขียวชอุ่มยิ่งขึ้น ซึ่งเนื่องจากทางเดินรอบๆยาวมาก จึงทำให้ชมรมวิ่งของโรงเรียนชอบใช้เป็นที่ฝึกเด็ก
ผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าอาทิตย์แรกที่เข้าไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง..... รู้สึกแค่ว่าไม่ได้มีอะไรต่างไปจากไทยนัก ถึงตอนเช้าจะเข้าแถวเช้าไปหน่อย (เจ็ดโมงครึ่ง) เขาก็ต้องร้องเพลงชาติทุกวัน แต่เปลี่ยนจากสวดมนต์มาเป็นกล่าวคำปฏิญาณต่อชาติอะไรประมาณนี้.... Culture shock มั้ย?? ก็ไม่นะฮะ ก็เหมือนเพื่อนที่ไทย แค่มันเปลี่ยนมาพูด Singlish, English, Mandarin, Malay and Tamil ก็เริ่มจะชินกับสำเนียงละเพราะอยู่มาได้เกือบสองเดือนแล้ว ถ้าจะมีปัญหาก็ไออาหารเช้ากับเที่ยงนี่ละฮะ
คนที่นี่กินอาหารเช้าน้อยมากกกกกกกก อยู่ไทยนี่ฟัดข้าวผัด ราดหน้า ต้มยำ บะหมี่ ฯลฯ มานี่เจอขนมปังสองสามแผ่นกับไมโลแก้วนึง................ จะอยู่ยังงายยยยยยยย T_T (แต่สักพักก็ชิน หรือไม่ก็ขอเพิ่มเยอะๆ 5555) ส่วนอาหารเที่ยงมันก็ไม่เชิงอาหารเที่ยง เหมือนกินรองท้องมากกว่า (เนื่องจากว่าโรงเรียนควรจะเลิกบ่ายสอง นักเรียนส่วนใหญ่จึงกลับไปกินอาหารเที่ยงที่บ้าน) แต่พอเรามาอยู่ Secondary 3 (Sec3) ขึ้นไป ชีวิตการเรียนก็ไม่เคยจบลงที่บ่ายสอง..... เจอเรียนพิเศษเพิ่ม... ครูสั่งให้นั่งทำงานเพิ่มบ้าง...... เซ็งเป็ดเลยอะ
อ๊ะกลับมาที่เรื่องการเรียนการสอน ผมคิดว่าวิชาวิทย์คณิตย์ก็คล้ายๆบ้านเรามาก ความยากก็พอๆกับม.สามนั่นแหละ คำศัพท์ที่ใช้สอนก็ไม่ได้ยาก เรียนฟังไปก็ไม่มีปัญหา วิชาสังคมและประวัติศาสตร์ กับภูมิศาสตร์ก็เรียนฟังรู้เรื่องไม่มีปัญหา แต่ปัญหาจะเข้ามาตอนทำข้อสอบ เพราะรูปแบบไม่ค่อยเหมือนของไทย และวิชามหาหินที่สุดก็ตกเป็นของภาษาอังกฤษ!!!!!!! การเรียนภาษาอังกฤษที่นี่เป็นอะไรที่แตกต่างไปจากบ้านเราโดยสิ้นเชิง เนื่องจากว่าบ้านเราเรียนแกรมม่าตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยยันตอนเริ่มแอบพ่อแม่ไปเที่ยวผับกับเพื่อนในมหาลัย.... เรียนยังไงก็รู้สึกไม่ค่อยพัฒนาและไม่มีประโยชน์ ทางนี้เขาเลิกเรียนแกรมม่าตอนจบป.หก รู้เยอะก็ไม่ได้อะไร สู้เอาไปใช้ได้จริงดีกว่า พอมาถึงม.สาม (ในปี 2011) พี่แกเลยจัดมาให้เรียนสองอย่างใหญ่
1. Comprehension (อ่านจับใจความ)
2. Composition (การเขียนเรียงความ)
ซึ่งอ่านจับใจความนี้เขาก็จะให้บทความมาให้อ่าน แล้วก็ให้เขียนตอบคำถาม ฟังเหมือนง่าย แต่ยากโคตระ ถ้าท่านอยากรู้ว่าอยากขนาดไหนขอให้ลองไปหาบทความในนิตยาสาร National Geographic มาอ่านเพราะศัพท์จะยากพอๆกัน แล้วก็มีการเล่นสำนวนทำให้ (ผู้ที่อ่านเข้าใจ) เห็นภาพและการเปรียบเทียบของเรื่องที่กำลังพูดถึงมากขึ้น ในชั่วโมงเรียนเขาก็จะมาสอนเทคนิคการอ่านจับใจความ วิธีการตอบคำถาม หรืออะไรประมาณนี้ ซึ่งเนื่องจากว่ามันไม่มีเทคนิคตายตัว ชะตาของเด็กตัวน้อยๆในห้องก็จะขึ้นอยู่ในฝีมือบางส่วนของผู้สอน...... น่ากลัวจริงๆ และที่แย่ไปกว่านั้นคือเวลาสอบเขาสามารถนำบทความเกี่ยวกับเรื่องอะไรมาก็ได้ จึงทำให้การท่องคำศัพท์เกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งแทบจะไร้ประโยชน์... ยกเว้นว่าท่านจะใช้หนังสือ SAT 1100 words ซึ่งก็จะมีหลายคำที่ออกมาจากนั้นบ่อยๆ..... แต่มันเยอะมากกกกกก
ถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายคนคงจะเริ่มคิดหนักว่าควรจะส่งลูกไปเรียนดีมั้ย หรือน้องๆที่อ่านก็อาจจะเริ่มกลัวตดหาย เพราะฉะนั้นผมจึงจะขอคลายเครียดท่านๆดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆ
ในหนึ่งอาทิตย์นี่ก็อาจจะมีสักสองวันที่ได้เลิกเรียนบ่ายสองกว่าๆ (ท่านจะโชคดีมากถ้าได้มีวันแบบนี้ถึงสองวัน!!!) มันจะกลายเป็นวันพักผ่อนน้อยๆของเราไปเลย บางครั้งผมก็แอบไปกินไปไอติมในห้างแถวหอ หรือไม่ก็ไปเดินหาหนังสือนิยายมันๆอ่านเล่น หรือไม่ก็กลับหอไปกินขนมที่ตุนมาจากไทยพร้อมกับดูหนังที่โหลดมา (อย่างผิดกฏหมาย) อย่างสบายใจเฉิบ..... สวรรค์จริงๆ ฮ่าๆๆๆ ก่อนที่ตอนกลางคืนก็ต้องมาเริ่มปั่นการบ้านอีกรอบ เรื่องงานนี่ก็แล้วแต่วันนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นงานเดี่ยวที่ทำเพื่อให้เข้าใจบทเรียนมากขึ้น ก็ทำเสร็จบ้าง ไม่เสร็จบ้าง ลอกเพื่อน ไม่ก็เพื่อนลอกบ้าง ฮ่าๆๆ อย่าคิดว่าเด็กทุนจะเป็นเด็กดีประเสริฐและเก่งเลิศนะครับ ;) ก็ยังเป็นผู้เป็นคนนั่นแหละ แล้วก็ถ้าให้พูดจากใจจริงผมก็ชอบอยู่หอมากกว่าอยู่บ้าน เพราะมันอยู่อิสระดี ห้องก็ไม่ต้องห่วงมาก เพราะมีแค่ห้องเดียว ทำความสะอาดแป๊ปเดียวเสร็จ จะจัดห้องไงก็ได้ รกแค่ไหนก็ได้ (แต่สุดท้ายก็ต้องจัดเพราะจะทำให้หาของง่ายขึ้น) โดยไม่มีใครมาบ่น ซึ่งผู้ปกครองอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะไอนี่มันจะชักจูงลูกเราไปในทางที่ผิดหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่นะฮะ เพราะถ้าท่านนึกดูเนี่ย บางครั้งเรียนกลับมามันก็เหนื่อยนะ... โยนกระเป๋า ถอดถุงเท้าระเกะระกะบนพื้น แล้วกระโดดไปนอนบนเตียง ฟังเพลงอีโม่ๆ หรือไม่ก็แชทกับเพื่อนบ้าง ก็อาจจะทำให้ห้องมันดูเลอะๆ และทำให้ผู้ปกครองมาว่าบ่อยๆ แต่ส่วนตัวแล้วผมว่าลองสอนให้ลูกรู้ว่าทำไมเขาถึงควรจัดห้องให้เรียบร้อย แล้วก็ฝึกให้เขาจัดห้องแต่พอควร เพราะผมว่ามันจะสักตอนเนี่ยแหละ หลังจากที่อีโม่เสร็จเรียบร้อยลูกก็จะหันมาดูรอบๆห้อง อาจจะพยายามหาของสักชิ้นก่อนที่จะรู้สึกว่า เฮ้ยห้องมันเริ่มรกแล้วว่ะ จัดดีกว่า ....... อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอย่างนี้ แต่ผมว่าก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่คิดเหมือนผม
โอเคเราก็กลับมาดูวันที่ไม่ได้กลับบ้านบ่ายสองบ้าง ก็จะมีวันที่ครูเราเรียกไปเรียนเพิ่ม แต่นั่นก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายเพราะที่ไทยก็เลิกประมาณสี่ห้าโมงเป็นประจำ มันจะสักสองสามวันที่เราจะต้องไปชมรมทำกิจกรรม ซึ่งมันก็อาจจะทำให้คลายเครียดหรือทำให้เราเบื่อก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
ชมรมที่นี่เขาจะเรียกว่า Co-Curriculum Activities (CCA) ทำเป็นงานเป็นการมาก มีระบบให้คะแนนแบบว่าถ้าใครได้ไปแข่งในงานอะไร หรือออกงานอะไรเด่นๆเนี่ย ก็จะได้คะแนนเพิ่มซึ่งสามารถนำไปช่วยตอนจะเลือกเข้าโรงเรียนตอนม.ปลายได้
ชมรมก็มีหลายประเภทมาก เช่น
1. Sports
ก็กีฬานั่นเอง ซึ่งก็แล้วแต่โรงเรียนว่าจะมีกีฬาอะไรบ้าง หลักๆก็บาส ฟุตบอล วิ่ง ฯลฯ
2. Performing Arts
ศิลปะการแสดง มีหลายรูปแบบคือ อาจจะเป็น ดราม่า ดราม่าแบบจีน วงดนตรีต่างๆ เต้นประยุกต์ เต้นพื้นบ้าน ชมรมร้องเพลงประสานเสียง (ค่อนข้างเป็นที่นิยมในสิงคโปร์) ฯลฯ
3. Arts
ชมรมเกี่ยวกับศิลปะ เช่น วาดภาพ แอนิเมชั่น ชมรมถ่ายภาพ ฯลฯ
4. Clubs and Societies
ชมรมอื่นๆทั่วไปเกี่ยวกับอะไรก็ได้ เช่น ชมรมวิทยาศาสตร์ เลขเพื่อการแข่งขัน ชมรมรักษ์โลก ชมรมแข่งหุ่นยนตร์ ฯลฯ
ซึ่งนักเรียนทุนส่วนใหญ่ก็จะเลือกชมรมที่มีกิจกรรมให้แสดง หรือออกไปแข่งขันข้างนอกบ่อยๆ เพราะจะต้องเก็บแต้มไว้ช่วยตอนจะเข้าม.ปลาย
ส่วนตัวผมนั้น.....ลงเอยในชมรมร้องเพลงประสานเสียง -_-" (Choir) ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่ได้เนื่องจากเราเองก็ไม่เคยร้องเพลงจริงๆจังๆ เคยเรียนเปียโนบ้างก็แค่นั้น เราก็ได้ฝึกขับร้องให้เข้าจังหวะกับผู้อื่น ฝึกใช้เสียงจากกระบังลมเพื่อทำให้เสียงดูมีพลัง ฯลฯ ถึงผมจะไม่ค่อยชอบชมรมนี้สักเท่าไหร่แต่ก็พูดได้ว่าประทับใจในความมุมานะของเพื่อนๆในกลุ่มมาก เพราะบางคนก็ทุ่มฝึกซ้อมเต็มที่ และเอากำลังใจช่วยคนอื่นๆเพื่อที่จะไปแข่งขันระดับประเทศให้ได้เหรียญทองชั้นพิเศษ มันทำให้ผมได้รู้ว่าถ้าชอบอะไรจริงแล้วทุ่มเต็มที่ให้มันเนี่ย ชีวิตก็รู้สึกมีค่ามากแล้วนะครับ ผลจะออกมาเป็นไงเนี่ยมันก็ไม่สำคัญเท่าที่ว่าเราได้ใช้ชีวิตที่เราเลือกและชอบอย่างเต็มที่แล้ว........ (แหม่รู้สึกหล่อจริงๆตอนนี้ ฮ่าๆๆๆ)
ตอนนี้รู้สึกอาจจะหนักไปทางปูพื้นเกี่ยวกับระบบสิงคโปร์นิดนึง แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่อยากไปศึกษาต่อที่นู่นควรรู้ และนอกจากนั้นมันจะทำให้ท่านอ่านบทความต่อๆไปของกระผมได้มันส์พะยะค่ะมากขึ้น

วันนี้กราบสวัสดี
วันนี้อยากเล่าเรื่อง: เมื่อกรกฤตได้เข้าไปเรียนในระบบสิงคโปร์จริงๆ
ตอนที่ 1: https://pantip.com/topic/33107833/comment2-1
ตอนที่ 2: https://pantip.com/topic/33153280/comment1
ตอนที่ 4: https://pantip.com/topic/36156125
ใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุนอาเซียนนี้
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อเพจนี้ได้นะครับ: https://www.facebook.com/TSnxtgen/
ASEAN Scholarship part 3
Commonwealth Secondary School ฟังแล้วชื่อมันเห่ยๆไงก็ไม่รู้แฮะ เทียบกับ Victoria School เงี้ย..... ช่างมันเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เอาเป็นว่าอย่างน้อยโรงเรียนก็วิวดีละกัน โรงเรียนก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก มีตึกสี่ห้าตึก สูงตึกละประมาณสี่ชั้น มีแล็บ (ซึ่งอุปกรณ์ก็ไม่ได้มีอะไรหรูหรา) ห้องคอม (ซึ่งไม่เคยจะได้เข้า) ห้องประชุมเอนกประสงค์ (ใช้เป็นสนามบาส สนามแบดก็ได้) ลานรวมพล สนามบอลเล็กๆอีกสนาม ห้องดนตรี ห้องซ้อมเต้น ห้องศิลปะ.... สภาพก็ไม่ได้ดีจัด แต่ก็ไม่ได้แย่
โดยความเห็นส่วนตัว ความโดดเด่นของโรงเรียนนี้มีอยู่สองสามอย่างถ้าเทียบกับที่อื่น
1. เสื้อนักเรียนฟ้ามากกกกก ฟ้าทั้งชุดทั้งกางเกง... แบบว่าถ้าถือไม้กวาดอยู่นี้คนคงว่าเป็นแม่บ้าน
2. เป็นโรงเรียนสห.... (เด่นตรงไหนหรอ? อ๋อ โรงเรียนอื่นๆที่เพื่อนๆไปอยู่เป็นโรงเรียนแยกเพศ 5555 ผมเข็ดละ)
3. ตรงข้ามโรงเรียนเป็นอ่างเก็บน้ำ (น้องๆเขื่อนเล็กๆ) ที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้โรงเรียนยิ่งดูเขียวชอุ่มยิ่งขึ้น ซึ่งเนื่องจากทางเดินรอบๆยาวมาก จึงทำให้ชมรมวิ่งของโรงเรียนชอบใช้เป็นที่ฝึกเด็ก
ผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าอาทิตย์แรกที่เข้าไปเรียนเป็นอย่างไรบ้าง..... รู้สึกแค่ว่าไม่ได้มีอะไรต่างไปจากไทยนัก ถึงตอนเช้าจะเข้าแถวเช้าไปหน่อย (เจ็ดโมงครึ่ง) เขาก็ต้องร้องเพลงชาติทุกวัน แต่เปลี่ยนจากสวดมนต์มาเป็นกล่าวคำปฏิญาณต่อชาติอะไรประมาณนี้.... Culture shock มั้ย?? ก็ไม่นะฮะ ก็เหมือนเพื่อนที่ไทย แค่มันเปลี่ยนมาพูด Singlish, English, Mandarin, Malay and Tamil ก็เริ่มจะชินกับสำเนียงละเพราะอยู่มาได้เกือบสองเดือนแล้ว ถ้าจะมีปัญหาก็ไออาหารเช้ากับเที่ยงนี่ละฮะ
คนที่นี่กินอาหารเช้าน้อยมากกกกกกกก อยู่ไทยนี่ฟัดข้าวผัด ราดหน้า ต้มยำ บะหมี่ ฯลฯ มานี่เจอขนมปังสองสามแผ่นกับไมโลแก้วนึง................ จะอยู่ยังงายยยยยยยย T_T (แต่สักพักก็ชิน หรือไม่ก็ขอเพิ่มเยอะๆ 5555) ส่วนอาหารเที่ยงมันก็ไม่เชิงอาหารเที่ยง เหมือนกินรองท้องมากกว่า (เนื่องจากว่าโรงเรียนควรจะเลิกบ่ายสอง นักเรียนส่วนใหญ่จึงกลับไปกินอาหารเที่ยงที่บ้าน) แต่พอเรามาอยู่ Secondary 3 (Sec3) ขึ้นไป ชีวิตการเรียนก็ไม่เคยจบลงที่บ่ายสอง..... เจอเรียนพิเศษเพิ่ม... ครูสั่งให้นั่งทำงานเพิ่มบ้าง...... เซ็งเป็ดเลยอะ
อ๊ะกลับมาที่เรื่องการเรียนการสอน ผมคิดว่าวิชาวิทย์คณิตย์ก็คล้ายๆบ้านเรามาก ความยากก็พอๆกับม.สามนั่นแหละ คำศัพท์ที่ใช้สอนก็ไม่ได้ยาก เรียนฟังไปก็ไม่มีปัญหา วิชาสังคมและประวัติศาสตร์ กับภูมิศาสตร์ก็เรียนฟังรู้เรื่องไม่มีปัญหา แต่ปัญหาจะเข้ามาตอนทำข้อสอบ เพราะรูปแบบไม่ค่อยเหมือนของไทย และวิชามหาหินที่สุดก็ตกเป็นของภาษาอังกฤษ!!!!!!! การเรียนภาษาอังกฤษที่นี่เป็นอะไรที่แตกต่างไปจากบ้านเราโดยสิ้นเชิง เนื่องจากว่าบ้านเราเรียนแกรมม่าตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยยันตอนเริ่มแอบพ่อแม่ไปเที่ยวผับกับเพื่อนในมหาลัย.... เรียนยังไงก็รู้สึกไม่ค่อยพัฒนาและไม่มีประโยชน์ ทางนี้เขาเลิกเรียนแกรมม่าตอนจบป.หก รู้เยอะก็ไม่ได้อะไร สู้เอาไปใช้ได้จริงดีกว่า พอมาถึงม.สาม (ในปี 2011) พี่แกเลยจัดมาให้เรียนสองอย่างใหญ่
1. Comprehension (อ่านจับใจความ)
2. Composition (การเขียนเรียงความ)
ซึ่งอ่านจับใจความนี้เขาก็จะให้บทความมาให้อ่าน แล้วก็ให้เขียนตอบคำถาม ฟังเหมือนง่าย แต่ยากโคตระ ถ้าท่านอยากรู้ว่าอยากขนาดไหนขอให้ลองไปหาบทความในนิตยาสาร National Geographic มาอ่านเพราะศัพท์จะยากพอๆกัน แล้วก็มีการเล่นสำนวนทำให้ (ผู้ที่อ่านเข้าใจ) เห็นภาพและการเปรียบเทียบของเรื่องที่กำลังพูดถึงมากขึ้น ในชั่วโมงเรียนเขาก็จะมาสอนเทคนิคการอ่านจับใจความ วิธีการตอบคำถาม หรืออะไรประมาณนี้ ซึ่งเนื่องจากว่ามันไม่มีเทคนิคตายตัว ชะตาของเด็กตัวน้อยๆในห้องก็จะขึ้นอยู่ในฝีมือบางส่วนของผู้สอน...... น่ากลัวจริงๆ และที่แย่ไปกว่านั้นคือเวลาสอบเขาสามารถนำบทความเกี่ยวกับเรื่องอะไรมาก็ได้ จึงทำให้การท่องคำศัพท์เกี่ยวกับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งแทบจะไร้ประโยชน์... ยกเว้นว่าท่านจะใช้หนังสือ SAT 1100 words ซึ่งก็จะมีหลายคำที่ออกมาจากนั้นบ่อยๆ..... แต่มันเยอะมากกกกกก
ถึงตรงนี้ผู้อ่านหลายคนคงจะเริ่มคิดหนักว่าควรจะส่งลูกไปเรียนดีมั้ย หรือน้องๆที่อ่านก็อาจจะเริ่มกลัวตดหาย เพราะฉะนั้นผมจึงจะขอคลายเครียดท่านๆดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆ
ในหนึ่งอาทิตย์นี่ก็อาจจะมีสักสองวันที่ได้เลิกเรียนบ่ายสองกว่าๆ (ท่านจะโชคดีมากถ้าได้มีวันแบบนี้ถึงสองวัน!!!) มันจะกลายเป็นวันพักผ่อนน้อยๆของเราไปเลย บางครั้งผมก็แอบไปกินไปไอติมในห้างแถวหอ หรือไม่ก็ไปเดินหาหนังสือนิยายมันๆอ่านเล่น หรือไม่ก็กลับหอไปกินขนมที่ตุนมาจากไทยพร้อมกับดูหนังที่โหลดมา (อย่างผิดกฏหมาย) อย่างสบายใจเฉิบ..... สวรรค์จริงๆ ฮ่าๆๆๆ ก่อนที่ตอนกลางคืนก็ต้องมาเริ่มปั่นการบ้านอีกรอบ เรื่องงานนี่ก็แล้วแต่วันนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นงานเดี่ยวที่ทำเพื่อให้เข้าใจบทเรียนมากขึ้น ก็ทำเสร็จบ้าง ไม่เสร็จบ้าง ลอกเพื่อน ไม่ก็เพื่อนลอกบ้าง ฮ่าๆๆ อย่าคิดว่าเด็กทุนจะเป็นเด็กดีประเสริฐและเก่งเลิศนะครับ ;) ก็ยังเป็นผู้เป็นคนนั่นแหละ แล้วก็ถ้าให้พูดจากใจจริงผมก็ชอบอยู่หอมากกว่าอยู่บ้าน เพราะมันอยู่อิสระดี ห้องก็ไม่ต้องห่วงมาก เพราะมีแค่ห้องเดียว ทำความสะอาดแป๊ปเดียวเสร็จ จะจัดห้องไงก็ได้ รกแค่ไหนก็ได้ (แต่สุดท้ายก็ต้องจัดเพราะจะทำให้หาของง่ายขึ้น) โดยไม่มีใครมาบ่น ซึ่งผู้ปกครองอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะไอนี่มันจะชักจูงลูกเราไปในทางที่ผิดหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่นะฮะ เพราะถ้าท่านนึกดูเนี่ย บางครั้งเรียนกลับมามันก็เหนื่อยนะ... โยนกระเป๋า ถอดถุงเท้าระเกะระกะบนพื้น แล้วกระโดดไปนอนบนเตียง ฟังเพลงอีโม่ๆ หรือไม่ก็แชทกับเพื่อนบ้าง ก็อาจจะทำให้ห้องมันดูเลอะๆ และทำให้ผู้ปกครองมาว่าบ่อยๆ แต่ส่วนตัวแล้วผมว่าลองสอนให้ลูกรู้ว่าทำไมเขาถึงควรจัดห้องให้เรียบร้อย แล้วก็ฝึกให้เขาจัดห้องแต่พอควร เพราะผมว่ามันจะสักตอนเนี่ยแหละ หลังจากที่อีโม่เสร็จเรียบร้อยลูกก็จะหันมาดูรอบๆห้อง อาจจะพยายามหาของสักชิ้นก่อนที่จะรู้สึกว่า เฮ้ยห้องมันเริ่มรกแล้วว่ะ จัดดีกว่า ....... อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอย่างนี้ แต่ผมว่าก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่คิดเหมือนผม
โอเคเราก็กลับมาดูวันที่ไม่ได้กลับบ้านบ่ายสองบ้าง ก็จะมีวันที่ครูเราเรียกไปเรียนเพิ่ม แต่นั่นก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายเพราะที่ไทยก็เลิกประมาณสี่ห้าโมงเป็นประจำ มันจะสักสองสามวันที่เราจะต้องไปชมรมทำกิจกรรม ซึ่งมันก็อาจจะทำให้คลายเครียดหรือทำให้เราเบื่อก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
ชมรมที่นี่เขาจะเรียกว่า Co-Curriculum Activities (CCA) ทำเป็นงานเป็นการมาก มีระบบให้คะแนนแบบว่าถ้าใครได้ไปแข่งในงานอะไร หรือออกงานอะไรเด่นๆเนี่ย ก็จะได้คะแนนเพิ่มซึ่งสามารถนำไปช่วยตอนจะเลือกเข้าโรงเรียนตอนม.ปลายได้
ชมรมก็มีหลายประเภทมาก เช่น
1. Sports
ก็กีฬานั่นเอง ซึ่งก็แล้วแต่โรงเรียนว่าจะมีกีฬาอะไรบ้าง หลักๆก็บาส ฟุตบอล วิ่ง ฯลฯ
2. Performing Arts
ศิลปะการแสดง มีหลายรูปแบบคือ อาจจะเป็น ดราม่า ดราม่าแบบจีน วงดนตรีต่างๆ เต้นประยุกต์ เต้นพื้นบ้าน ชมรมร้องเพลงประสานเสียง (ค่อนข้างเป็นที่นิยมในสิงคโปร์) ฯลฯ
3. Arts
ชมรมเกี่ยวกับศิลปะ เช่น วาดภาพ แอนิเมชั่น ชมรมถ่ายภาพ ฯลฯ
4. Clubs and Societies
ชมรมอื่นๆทั่วไปเกี่ยวกับอะไรก็ได้ เช่น ชมรมวิทยาศาสตร์ เลขเพื่อการแข่งขัน ชมรมรักษ์โลก ชมรมแข่งหุ่นยนตร์ ฯลฯ
ซึ่งนักเรียนทุนส่วนใหญ่ก็จะเลือกชมรมที่มีกิจกรรมให้แสดง หรือออกไปแข่งขันข้างนอกบ่อยๆ เพราะจะต้องเก็บแต้มไว้ช่วยตอนจะเข้าม.ปลาย
ส่วนตัวผมนั้น.....ลงเอยในชมรมร้องเพลงประสานเสียง -_-" (Choir) ก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ที่ได้เนื่องจากเราเองก็ไม่เคยร้องเพลงจริงๆจังๆ เคยเรียนเปียโนบ้างก็แค่นั้น เราก็ได้ฝึกขับร้องให้เข้าจังหวะกับผู้อื่น ฝึกใช้เสียงจากกระบังลมเพื่อทำให้เสียงดูมีพลัง ฯลฯ ถึงผมจะไม่ค่อยชอบชมรมนี้สักเท่าไหร่แต่ก็พูดได้ว่าประทับใจในความมุมานะของเพื่อนๆในกลุ่มมาก เพราะบางคนก็ทุ่มฝึกซ้อมเต็มที่ และเอากำลังใจช่วยคนอื่นๆเพื่อที่จะไปแข่งขันระดับประเทศให้ได้เหรียญทองชั้นพิเศษ มันทำให้ผมได้รู้ว่าถ้าชอบอะไรจริงแล้วทุ่มเต็มที่ให้มันเนี่ย ชีวิตก็รู้สึกมีค่ามากแล้วนะครับ ผลจะออกมาเป็นไงเนี่ยมันก็ไม่สำคัญเท่าที่ว่าเราได้ใช้ชีวิตที่เราเลือกและชอบอย่างเต็มที่แล้ว........ (แหม่รู้สึกหล่อจริงๆตอนนี้ ฮ่าๆๆๆ)
ตอนนี้รู้สึกอาจจะหนักไปทางปูพื้นเกี่ยวกับระบบสิงคโปร์นิดนึง แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่อยากไปศึกษาต่อที่นู่นควรรู้ และนอกจากนั้นมันจะทำให้ท่านอ่านบทความต่อๆไปของกระผมได้มันส์พะยะค่ะมากขึ้น
วันนี้กราบสวัสดี