หลังจากที่ได้มีโอกาสมาพูดคุย ท้าวความเดิมของชีวิตตัวเองช่วงที่เคยเป็นนักเรียนอยู่ที่สิงคโปร์ไป 2 ตอนแล้ว มีคนบอกว่า Part 2 ดูเชิงวิชาการมากเกินไปในด้านการอธิบายระบบการศึกษาของที่นั่น ขอขอบคุณพี่น้องชาวพันทิปสำหรับความคิดเห็นทุกข้อความนะคะ กระทู้นี้จะขออนุญาตพูดคุยกลับมาที่ชีวิตตัวเองเพิ่มเติมนะคะ
หลังจากผลสอบทาง PSLE ออกมา เราก็ได้รับจดหมายแจ้งมาที่บ้านให้ไปรายงานตัวที่โรงเรียน มัธยม ของที่นั่น ที่โรงเรียนมัธยมมีห้องเรียน 6 ห้อง ต่อระดับชั้น มีตั้งแต่ม.1-ม.5 เล็กกว่าสาธิตจุฬาฯครึ่งนึงในด้านจำนวนนักเรียน ส่วนถ้าเรื่องพื้นที่ของโรงเรียนคงเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะสิงคโปร์มีพื้นที่จำกัดมาก ทุกตารางเมตรคือทองคำของเค้า เค้าจะใช้พื้นที่อย่างประหยัดแต่ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนที่สิงคโปร์จึงมีการแบ่งการเรียน เด็กม.3-ม.5 จะเรียนคาบเช้า 7.30-2pm ส่วนเด็ ม.1-2 จะเรียนคาบบ่าย 2.00 pm-7.00pm ตอนนั้นเราอยู่ห้อง 1E1 (ย่อมาจาก ม.1 Express stream ห้อง 1) เราแชร์ห้องกับรุ่นพี่ห้อง 3E1 (ม.3 Express stream ห้อง 1) ใช้ห้องเรียนเดียวกันค่ะ เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ค่อยกล้าทิ้งหนังสือไว้ที่ไต้โต๊ะ แบกไปแบกมาทุกวัน
เด็กทุกคนจะต้องทำกิจกรรม จะต้องร่วมชมรมอย่างน้อยๆ1ชมรมที่ตัวเองชอบ วันเสาร์แรกของชั้นม.1เราจะต้องไปโรงเรียนเพื่อที่จะลงทะเบียนเลือกชมรม หรือที่เค้าเรียกกันว่า Co-curriculum activity (CCA) เป็นสิ่งที่ทางกระทรวงศึกษาธิการบังคับให้เด็กสิงคโปร์ทำ มีให้เลือกทั้งชมรมในด้านวิชาการ เช่น ชมรมวิทยาศาสตร์ หรือแบบกิจกรรม เช่น กีฬาชนิดต่างๆ หรือ ชมรมประเภทเครื่องแบบ (uniform group) ตลอดระยะเวลาการศึกษาจะมีการเก็บคะแนน ถ้าใครไม่ active ในชมรมของตัวเองก็จะได้คะแนนต่ำ ซึ่งอาจจะมีผลในการสมัครเข้า Junior College ( ระดับ ตรียมอุดมศึกษา)ได้ เรียกได้ว่าต้องมาเริ่มทำคะแนนสะสมกันตั้งแต่ม1. ถ้าใครอยู่ชมรมกีฬาและเล่นกีฬาเก่งพอก็จะมีโอกาสได้เแต้มเพิ่มง่ายขึ้นเพราะจะมีสิทธิ์เป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่ข้อเสียก็คือนักเรียนจะต้องทุ่มเท ฝึกซ้อมหนัก มีเวลาอ่านหนังสือน้อยลง แต่เท่าที่เห็นมาก็ไม่มีใครซ้อมกันจนลืมการเรียน ที่นั่นเค้าให้ความสำคัญการเรียนเป็นอย่างมาก ถ้าอาจารย์เห็นว่ากิจกรรมที่นักเรียนทำอยู่ส่งผลกระทบต่อการเรียน อาจารย์ก็จะเข้ามาช่วยแนะนำนักเรียนให้ด้วยอีกทาง บางทีถึงกับทะเลาะกับอาจารย์ประจำชมรมด้วยซ้ำเพราะนักเรียนคะแนนแย่ลง การสะสมแต้มพิเศษนี้ มีได้หลายแบบ ใครเป็นประธานนักเรียน ( Prefect) ก็จะได้แต้มเพิ่มเช่นกัน
ใน 2 ปีแรกเราเลือกไม่ได้อยาก join ทุกสิ่งอย่าง เลยสมัครควบ 2 ชมรม แบตมินตัน กับ วงโยธวาทิต วัน จ.กะ พุท ซ้อมแบต เริ่มเทรนตังแต่ 9-12pm, ก่อนที่จะรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วก็ต้องไปเข้าแถวให้ทันเริ่มเรียนชั่วโมงแรกตอนบ่าย 2 ส่วนวันอังคาร พฤ กับวันเสาร์ จะเป็นวันของวงโยฯ ซ้อมครั้งละ 2-3ชม. แต่วันส.จะซ้อมหนักหน่อย 9-2 pm เพราะ เป็นวันเดียวที่ทั้งวงจะได้อยู่พร้อมหน้า ( ปรกติ จะไม่ค่อยเจอกันเพราะเรียนคนละเวลากับรุ่นพี่) วันเสาร์ จะเป็นวันที่ยุ่งมากสำหรับโรงเรียนมัธยมที่นั่น มีกิจกรรมต่างๆมากมาย โดยเฉพาะช่วงเสาร์เช้า นักเรียนจะไปโรงเรียนกัน
จะเห็นได้ว่าตารางการเรียนของเราค่อนข้างจะแน่น ยิ่งถ้าเป็นช่วงไหนที่ใกล้แข่งแบตเราก็ต้องเพิ่มวันซ้อม กว่าจะซ้อมเสร็จ เลิกเรียนก็ประมาณเกือบ 1 ทุ่ม บังเอิญว่าบ้านเราอยู่ไกลจากโรงเรียนและไม่มี MRT ผ่าน เลยต้องนั่งรถเมล์ไปลงที่ Orchard road ก่อนที่จะต่ออีกสายหนึ่งนั่งไปที่ East Coast park กว่าเราจะถึงบ้านก็ 2ทุ่มกว่า (ขนาดบ้านเค้ารถไม่ติดเหมือนบ้านเรา) โชคดีที่ที่นั่นเค้ามีระบบตั๋วรถเมล์รายเดือน ไม่อย่างงั้นค่ารถไปกลับจะตกประมาณวันละ $2 เพราะนั่งหลายต่อ
เพราะเด็กนักเรียนที่นั่นมีชีวิตแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ ธุระกิจโรงเรียนกวดวิชาที่สิงคโปร์เลยไม่ค่อยเฟื้องฟู หารายได้ลำบากไม่ง่ายเหมือนในประเทศไทย ไม่มีเด็กคนไหนว่างไปติวหลังเลิกเรียนหรอกค่ะ แค่เรียนกะทำกิจกรรมวันเวลาก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ก็จะอาศัยการติวส่วนตัว หรือไม่ก็จับกลุ่มเล็กๆกันเรียนเอาเอง ติวกันตาม Mc donald’s หรือ Starbucks ที่นั่งได้ทั้งวันทั้งคืน
ในเรื่องของหลักสูตรที่เรียน ตอนเข้าม.1เราเรียน วิชาหลักๆ คือ English, Maths, Science, History, Geography, Literature แล้วก็มีวิชาเสริมเช่น ศิลปะ กับ ดนตรี ตารางเรียนของโรงเรียนสิงคโปร์ เรียนคาบละ 35 นาทีเองค่ะ เพราะเค้าเข้าใจว่าเด็กมีสมาธิจำกัด ถ้าคาบเรียนนานเกินอาจจะไม่ได้ผล ไม่เหมือนตอนที่อยู่สาธิต จำได้ว่าเราเรียนคาบละ50นาที บางวิชาเรียนควบ3คาบเลยด้วยซ้ำ บางทีอาจารย์ก็มีการทบทวนบทเรียนให้นอกเวลา ก็ต้องมาโรงเรียนเร็วขึ้นและก็ต้องเขียนจม.ให้อาจารย์ชมรมชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรว่าทำไมเราถึงไปซ้อมไม่ได้
อาจารย์ที่สอนวิชาภาษาอังกฤษ ท่านบังคับให้นักเรียนเขียน diary ส่งทุกอาทิตย์ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนฝึกการเขียน แล้วท่านจะเขียนตอบทุกคน นักเรียนจะสามารถเขียนเรื่องอะไรก็ได้โดยไม่จำกัดความยาว ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คงจะคล้ายๆการเขียน Blog ซึ่งอาจารย์จะเป็นคน comment แรกๆเราก็ไม่รู้จะเขียนอะไร พอหลังๆเริ่มจะเขียนยาวขึ้นเรื่อยๆค่ะ เพราะสนุกดี บางทีเราก็ถือโอกาสเล่าเรื่องของเราบ่นนู่นบ่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย อาจารย์ก็จะเขียน comment แบบกันเองตอบกลับมา ถ้าเราเขียนคำผิดท่านก็จะแก้ประโยคและก็แกรมม่าให้อีกด้วย
พอได้ขึ้นม.2 อาจารย์คนใหม่ก็ให้เขียน diary อีก ตลอดเวลา 2 ปี เรามี diary ทั้งหมดประมาณ 10กว่าเล่ม เสียดายที่เราไม่ได้เก็บหนังสือเก่าๆไว้ เรียนม.2 ยากกว่าม.1ค่ะ หลักสูตรเริ่มเข้มข้นขึ้น อีกทั้งยังต้องซ้อมด้านกิจกรรม เราเริ่มงงๆเบลอๆ การเรียนเริ่มไม่ง่ายเหมือนปีก่อนๆ ตอนนั้นเป็นช่วงวัยรุ่น Internet กำลังมาแรง มีการแชทกะเพื่อนๆต่างโรงเรียนมากมาย แต่ละคืนทุกคนจะตื่นเต้นกับการเข้า ICQ หรือ MSN เป็นช่วงที่เจอเพื่อนใหม่เยอะ ชีวิตเริ่มมีสีสันมากขึ้น แต่โชคดีว่าเราเขียน diary หาอาจารย์อยู่ทุกอาทิตย์ ก็เปิดอกคุยกะอาจารย์แบบตรงๆ ว่าเรารู้สึกว่าการเรียนเริ่มโดนกระทบ ท่านก็แนะว่าให้ทำกิจกรรมให้น้อยลง เลือกซักอย่างระหว่างวงโยฯกะชมรมแบต อย่างน้อยเราจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น พูดแบบให้กำลังใจ ไม่ได้ตอกย้ำต่อว่าเรื่องแชท แต่ใน diary ท่านระบุเหตุผลมาทุกอย่างทำให้เราคิดได้ เราบอกว่าเราชอบเล่นดนตรี เพลินดี ท่านบอกว่าถ้ามันเป็นความชอบจริง คำว่าความชอบจะต้องไม่ทำให้เราลำบาก ถ้าความที่เราชอบของบางสิ่งแล้วมันทำให้เราเขวอาจจะทำให้อนาคตเราไม่ไปอย่างที่เรามุ่งมั่นไว้ สิ่งๆนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับเรา เพราะมันทำให้เราไม่สามารถแบ่งเวลาได้อย่างถูกต้องถูกระเบียบ แล้วท่านก็ยังเขียนเหน็บๆมาอีกว่า “ครูพูดในภาพรวมในทุกๆด้าน ลองไปคิดดูเอาเอง”
เราเลยตัดสินใจเลือกแบตและทิ้งวงโยฯ (เสียดายคะแนนที่สะสมไว้มากเลยค่ะ เพราะถ้าเราออกจากชมรมแต้มจะถือว่าเป็นโมฆะ) พอมานั่งนึกย้อยหลังก็ไม่รู้ว่าอาจารย์แต่ละห้องท่านหาเวลามาตอบ diary ของนักเรียนทุกคนทุกอาทิตย์ได้อย่างไร แค่การบ้านเด็กที่ต้องตรวจก็เยอะอยู่แล้ว ยังต้องมาตอบ diary อีก ทุ่มเทมากค่ะ
จริงๆแล้วคนสิงคโปร์เป็นคนที่ทำอะไรเร็ว คล่องแคล่วว่องไวอย่างได้ประสิทธิภาพ ถ้าใครได้เคยทำงานกับคนสิงคโปร์อาจจะพอเข้าใจข้อนี้ หรือถ้าใครได้มีโอกาสไปเที่ยวที่สิงคโปร์ลองสังเกตุ walking speed ของประเทศเค้าดู จะเห็นได้ว่าเค้าเดินเร็วกันทั้งประเทศค่ะ ไม่รู้จะรีบไปไหน แต่เหมือนกับว่าทุกอย่างมันเร่งรีบอยู่ตลอดเวลาแต่จะต้องเร็วและแม่นยำ หรือลองสังเกตุการพูดของคนสิงคโปร์ดู คนสิงคโปร์จะพูดเร็ว สั้นๆ กระทัดรัดแต่ได้ใจความ จะยกตัวอย่างบางประโยคให้ดูนะคะ
คนอังกฤษ :
What would you like to eat?
คนสิงคโปร์จะพูดว่า :
eat what ? (2 คำแต่ได้ใจความ)
คนอังกฤษ :
Where are you going?
คนสิงคโปร์จะพูดว่า :
go where ? (2 คำเข้าใจง่ายดี)
คนอังกฤษ :
May I have your name, please?
คนสิงคโปร์ (จะมองหน้าเราด้วยสีหน้าหน้าตาย) :
Name? (1 คำเท่านั้นแต่สามารถสื่อสารให้คนทั่วโลกเข้าใจได้ อย่างไม่น่าเชื่อ)
คนอังกฤษ :
You are out of your mind! คนสิงคโปร์จะพูดว่า :
Siao! (คำนี้จริงๆแล้วเป็นภาษาจีน แปลว่า บ้า แต่แม้แต่คนมาเลหรือคนอินเดียที่อยู่ที่สิงคโปร์ก็จะเข้าใจคำนี้)
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ถึงแม้ว่าเค้าจะพูดกันแบบนี้ทั้งประเทศ แต่เวลาคนที่นั่นได้หยิบปากกาขึ้นมาเขียนข้อความภาษาอังกฤษ จะไม่มีใครเขียนประโยคอย่างเช่น “eat what” ลงไปบนกระดาษ ทั้งประเทศสามารถที่จะเขียนได้ถูกหลักแกรมม่าได้เป็นอย่างดี บางทีแม้แต่คนฝรั่งเองยังมองว่าแกรมม่าของเด็กสิงคโปร์ถูกหลักทุกอย่างแบบ “เป๊ะเว่อร์” ซึ่งก็เป็นสิ่งที่โรงเรียนได้ปลูกฝังเด็กของเค้ามาอย่างดีให้รู้ตัวเสมอว่าภาษาพูดกับภาษาเขียนนั้นมันต่างกัน เราต้องให้ความสำคัญกับการเขียน (อันนี้เรื่องจริงค่ะ เพราะตั้งแต่เนตรเริ่มทำงานfull time ที่ออส หัวหน้าของเนตรที่เป็นคนออสซี่มักจะส่งอีเมล์มาให้เรา proof read ก่อนที่หัวหน้าจะส่งไปให้ลูกค้า แกรมม่าของหัวหน้ามีผิดพลาดตลอด)
ผ่าน ม.2 ไปได้ ช่วงม.3-ม.4 เราต้องเรียนหลักสูตรตามที่จะสอบ O Level ยิ่งยากเข้าไปอีก เราเลือกสายวิทย์แต่ไม่เลือก Biology เพราะไม่คิดจะเรียนต่อทางด้านนั้น ส่วนวิชาที่เลือกลงเรียนคือ English, physics, Chem, Maths, additional Maths, Literature, Geography เพราะเราไม่ได้เรียนภาษาจีน เราเลยต้องมีภาษาที่ 3มาแทน นั่นก็คือ ภาษาไทย
วิชาที่เกลียดที่สุดในการสอบ 'O' level คือ Literature ค่ะ การมานั่งแปล บทความของ Shakespeare และนั่งแปล กลอนนั้นสำหรับเราไม่ใช่เรื่องสนุกเลย เรียนมา2ปีเพื่อที่จะมาตอบคำถาม 4 ข้อในข้อสอบ O level จะมี section หนึ่งที่เป็น Unseen Poem ซึ่งคณะครูจาก Cambridge ที่ออกข้อสอบจะสุ่มคัด บทกลอน ที่เราอาจจะไม่เคยได้อ่านมาก่อนทั้งชีวิต มาออกข้อสอบ ว่าเรามีความคิดเห็นอย่างไรกับกวีหรือผู้ประพันธ์ เรียกได้ว่าเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเราไม่สามารถจะเตรียมท่องจำความหมายของกลอนนั้นได้เลย เราจะต้องเสนอความคิดของเราให้ถูกหลักแกรมม่าอีกด้วยต้องวิเคราะห์ทุกอย่างอย่างลึกซึ้งและให้เป็น เพราะเราจะต้องเขียนเรียงความที่มีจำนวนคำจำกัดไว้แค่ 400 คำเท่านั้น ถ้าเขียนเกินโดนตัดคำละ 1 คะแนน เกลียดมากจริงๆค่ะ วิชานี้
แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ ด้วยเหตุที่ O level ส่งไปตรวจถึงอังกฤษเลยใช้เวลานานกว่าผลจะออก ระหว่างนี้ ช่วง 3 เดือนแรกของปีการศึกษาใหม่นักเรียนจะต้องไปรายงานตัวที่ Junior college ตามผลสอบปลายภาคของ ม.4 อ้อลืมอธิบายไปค่ะว่าตอนม.4 จะมีสอบ 2 ครั้งค่ะ สอบปลายภาคก่อนเพื่อสอบเข้าโรงเรียนในช่วง 3 เดือนแรก แล้วก็สอบ O level เพื่อสอบเข้าโรงเรียนในการเรียนหลักสูตร A Level
3 เดือนแรกเราสอบเข้าได้ที่ St Andrew’s Junior College ซึ่งเด็กๆหลายคนจากโรงเรียนเก่าก็ไปลงเอยกันที่นั่นค่ะ การปรับตัวในด้านการย้ายโรงเรียนเลยเป็นเรื่องง่ายเพราะคุ้นหน้าเพื่อนหลายคน เราเข้าไปเรียน Junior college ได้ 1ปีก่อนที่จะย้ายไปเรียนต่อที่ ออส เพราะเราบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าการแข่งขันช่วง A Level ที่สิงคโปร์มันดุเดือดเหลือเกิน อีกทั้งประเทศเค้ามีมหาลัยแค่ 2 แห่ง (ในยุคนั้น) ไว้รองรับหัวกะทิทั้งหลายของเค้าเพราะเค้าให้สิทธิ์กับคนสิงคโปร์ก่อน ถ้ามีโควต้าเหลือนักเรียนต่างชาติถึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียนในมหาลัย ที่สำคัญไปกว่านั้นเราไม่คิดว่าเราอยากจะทำงานที่สิงคโปร์ในอนาคต เราไม่อยากทำด้าน Finance ซึ่งเป็นฟีลด์ที่มีโอกาสก้าวหน้าได้มากที่สุดในด้านการงาน เป็น field ที่ทุกคนในประเทศสิงคโปร์ยกย่องและยอมรับ ( รองลงมาจากหมอและทนาย)
ชีวิตการเป็นนักเรียนที่ออส ตลอดระยะเวลา 5ปี เป็นอย่างไร และชีวิตการทำงานเป็นอย่างไร ถ้ามีใครสนใจ ไว้คราวหน้าจะมาลงกระทู้ใหม่นะคะ
PS: ถ้าใครอยากพูดคุยทักทายเพิ่มเติม หรือสงสัยอะไรเพิ่มเติมเกี่วกับการศึกษาของสิงคโปร์ ก็เมล์กันมาได้เลยนะคะ email:
su.cubris@gmail.com
เรียนที่สิงคโปร์ ดีหรือไม่ ทำไมการศึกษาที่สิงคโปร์ถึงเป็นเลิศ พุดคุยจากประสบการณ์ (part 3 of 3)
หลังจากผลสอบทาง PSLE ออกมา เราก็ได้รับจดหมายแจ้งมาที่บ้านให้ไปรายงานตัวที่โรงเรียน มัธยม ของที่นั่น ที่โรงเรียนมัธยมมีห้องเรียน 6 ห้อง ต่อระดับชั้น มีตั้งแต่ม.1-ม.5 เล็กกว่าสาธิตจุฬาฯครึ่งนึงในด้านจำนวนนักเรียน ส่วนถ้าเรื่องพื้นที่ของโรงเรียนคงเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะสิงคโปร์มีพื้นที่จำกัดมาก ทุกตารางเมตรคือทองคำของเค้า เค้าจะใช้พื้นที่อย่างประหยัดแต่ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนที่สิงคโปร์จึงมีการแบ่งการเรียน เด็กม.3-ม.5 จะเรียนคาบเช้า 7.30-2pm ส่วนเด็ ม.1-2 จะเรียนคาบบ่าย 2.00 pm-7.00pm ตอนนั้นเราอยู่ห้อง 1E1 (ย่อมาจาก ม.1 Express stream ห้อง 1) เราแชร์ห้องกับรุ่นพี่ห้อง 3E1 (ม.3 Express stream ห้อง 1) ใช้ห้องเรียนเดียวกันค่ะ เพราะฉะนั้นเราเลยไม่ค่อยกล้าทิ้งหนังสือไว้ที่ไต้โต๊ะ แบกไปแบกมาทุกวัน
เด็กทุกคนจะต้องทำกิจกรรม จะต้องร่วมชมรมอย่างน้อยๆ1ชมรมที่ตัวเองชอบ วันเสาร์แรกของชั้นม.1เราจะต้องไปโรงเรียนเพื่อที่จะลงทะเบียนเลือกชมรม หรือที่เค้าเรียกกันว่า Co-curriculum activity (CCA) เป็นสิ่งที่ทางกระทรวงศึกษาธิการบังคับให้เด็กสิงคโปร์ทำ มีให้เลือกทั้งชมรมในด้านวิชาการ เช่น ชมรมวิทยาศาสตร์ หรือแบบกิจกรรม เช่น กีฬาชนิดต่างๆ หรือ ชมรมประเภทเครื่องแบบ (uniform group) ตลอดระยะเวลาการศึกษาจะมีการเก็บคะแนน ถ้าใครไม่ active ในชมรมของตัวเองก็จะได้คะแนนต่ำ ซึ่งอาจจะมีผลในการสมัครเข้า Junior College ( ระดับ ตรียมอุดมศึกษา)ได้ เรียกได้ว่าต้องมาเริ่มทำคะแนนสะสมกันตั้งแต่ม1. ถ้าใครอยู่ชมรมกีฬาและเล่นกีฬาเก่งพอก็จะมีโอกาสได้เแต้มเพิ่มง่ายขึ้นเพราะจะมีสิทธิ์เป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่ข้อเสียก็คือนักเรียนจะต้องทุ่มเท ฝึกซ้อมหนัก มีเวลาอ่านหนังสือน้อยลง แต่เท่าที่เห็นมาก็ไม่มีใครซ้อมกันจนลืมการเรียน ที่นั่นเค้าให้ความสำคัญการเรียนเป็นอย่างมาก ถ้าอาจารย์เห็นว่ากิจกรรมที่นักเรียนทำอยู่ส่งผลกระทบต่อการเรียน อาจารย์ก็จะเข้ามาช่วยแนะนำนักเรียนให้ด้วยอีกทาง บางทีถึงกับทะเลาะกับอาจารย์ประจำชมรมด้วยซ้ำเพราะนักเรียนคะแนนแย่ลง การสะสมแต้มพิเศษนี้ มีได้หลายแบบ ใครเป็นประธานนักเรียน ( Prefect) ก็จะได้แต้มเพิ่มเช่นกัน
ใน 2 ปีแรกเราเลือกไม่ได้อยาก join ทุกสิ่งอย่าง เลยสมัครควบ 2 ชมรม แบตมินตัน กับ วงโยธวาทิต วัน จ.กะ พุท ซ้อมแบต เริ่มเทรนตังแต่ 9-12pm, ก่อนที่จะรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วก็ต้องไปเข้าแถวให้ทันเริ่มเรียนชั่วโมงแรกตอนบ่าย 2 ส่วนวันอังคาร พฤ กับวันเสาร์ จะเป็นวันของวงโยฯ ซ้อมครั้งละ 2-3ชม. แต่วันส.จะซ้อมหนักหน่อย 9-2 pm เพราะ เป็นวันเดียวที่ทั้งวงจะได้อยู่พร้อมหน้า ( ปรกติ จะไม่ค่อยเจอกันเพราะเรียนคนละเวลากับรุ่นพี่) วันเสาร์ จะเป็นวันที่ยุ่งมากสำหรับโรงเรียนมัธยมที่นั่น มีกิจกรรมต่างๆมากมาย โดยเฉพาะช่วงเสาร์เช้า นักเรียนจะไปโรงเรียนกัน
จะเห็นได้ว่าตารางการเรียนของเราค่อนข้างจะแน่น ยิ่งถ้าเป็นช่วงไหนที่ใกล้แข่งแบตเราก็ต้องเพิ่มวันซ้อม กว่าจะซ้อมเสร็จ เลิกเรียนก็ประมาณเกือบ 1 ทุ่ม บังเอิญว่าบ้านเราอยู่ไกลจากโรงเรียนและไม่มี MRT ผ่าน เลยต้องนั่งรถเมล์ไปลงที่ Orchard road ก่อนที่จะต่ออีกสายหนึ่งนั่งไปที่ East Coast park กว่าเราจะถึงบ้านก็ 2ทุ่มกว่า (ขนาดบ้านเค้ารถไม่ติดเหมือนบ้านเรา) โชคดีที่ที่นั่นเค้ามีระบบตั๋วรถเมล์รายเดือน ไม่อย่างงั้นค่ารถไปกลับจะตกประมาณวันละ $2 เพราะนั่งหลายต่อ
เพราะเด็กนักเรียนที่นั่นมีชีวิตแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ ธุระกิจโรงเรียนกวดวิชาที่สิงคโปร์เลยไม่ค่อยเฟื้องฟู หารายได้ลำบากไม่ง่ายเหมือนในประเทศไทย ไม่มีเด็กคนไหนว่างไปติวหลังเลิกเรียนหรอกค่ะ แค่เรียนกะทำกิจกรรมวันเวลาก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ก็จะอาศัยการติวส่วนตัว หรือไม่ก็จับกลุ่มเล็กๆกันเรียนเอาเอง ติวกันตาม Mc donald’s หรือ Starbucks ที่นั่งได้ทั้งวันทั้งคืน
ในเรื่องของหลักสูตรที่เรียน ตอนเข้าม.1เราเรียน วิชาหลักๆ คือ English, Maths, Science, History, Geography, Literature แล้วก็มีวิชาเสริมเช่น ศิลปะ กับ ดนตรี ตารางเรียนของโรงเรียนสิงคโปร์ เรียนคาบละ 35 นาทีเองค่ะ เพราะเค้าเข้าใจว่าเด็กมีสมาธิจำกัด ถ้าคาบเรียนนานเกินอาจจะไม่ได้ผล ไม่เหมือนตอนที่อยู่สาธิต จำได้ว่าเราเรียนคาบละ50นาที บางวิชาเรียนควบ3คาบเลยด้วยซ้ำ บางทีอาจารย์ก็มีการทบทวนบทเรียนให้นอกเวลา ก็ต้องมาโรงเรียนเร็วขึ้นและก็ต้องเขียนจม.ให้อาจารย์ชมรมชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรว่าทำไมเราถึงไปซ้อมไม่ได้
อาจารย์ที่สอนวิชาภาษาอังกฤษ ท่านบังคับให้นักเรียนเขียน diary ส่งทุกอาทิตย์ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนฝึกการเขียน แล้วท่านจะเขียนตอบทุกคน นักเรียนจะสามารถเขียนเรื่องอะไรก็ได้โดยไม่จำกัดความยาว ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็คงจะคล้ายๆการเขียน Blog ซึ่งอาจารย์จะเป็นคน comment แรกๆเราก็ไม่รู้จะเขียนอะไร พอหลังๆเริ่มจะเขียนยาวขึ้นเรื่อยๆค่ะ เพราะสนุกดี บางทีเราก็ถือโอกาสเล่าเรื่องของเราบ่นนู่นบ่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย อาจารย์ก็จะเขียน comment แบบกันเองตอบกลับมา ถ้าเราเขียนคำผิดท่านก็จะแก้ประโยคและก็แกรมม่าให้อีกด้วย
พอได้ขึ้นม.2 อาจารย์คนใหม่ก็ให้เขียน diary อีก ตลอดเวลา 2 ปี เรามี diary ทั้งหมดประมาณ 10กว่าเล่ม เสียดายที่เราไม่ได้เก็บหนังสือเก่าๆไว้ เรียนม.2 ยากกว่าม.1ค่ะ หลักสูตรเริ่มเข้มข้นขึ้น อีกทั้งยังต้องซ้อมด้านกิจกรรม เราเริ่มงงๆเบลอๆ การเรียนเริ่มไม่ง่ายเหมือนปีก่อนๆ ตอนนั้นเป็นช่วงวัยรุ่น Internet กำลังมาแรง มีการแชทกะเพื่อนๆต่างโรงเรียนมากมาย แต่ละคืนทุกคนจะตื่นเต้นกับการเข้า ICQ หรือ MSN เป็นช่วงที่เจอเพื่อนใหม่เยอะ ชีวิตเริ่มมีสีสันมากขึ้น แต่โชคดีว่าเราเขียน diary หาอาจารย์อยู่ทุกอาทิตย์ ก็เปิดอกคุยกะอาจารย์แบบตรงๆ ว่าเรารู้สึกว่าการเรียนเริ่มโดนกระทบ ท่านก็แนะว่าให้ทำกิจกรรมให้น้อยลง เลือกซักอย่างระหว่างวงโยฯกะชมรมแบต อย่างน้อยเราจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น พูดแบบให้กำลังใจ ไม่ได้ตอกย้ำต่อว่าเรื่องแชท แต่ใน diary ท่านระบุเหตุผลมาทุกอย่างทำให้เราคิดได้ เราบอกว่าเราชอบเล่นดนตรี เพลินดี ท่านบอกว่าถ้ามันเป็นความชอบจริง คำว่าความชอบจะต้องไม่ทำให้เราลำบาก ถ้าความที่เราชอบของบางสิ่งแล้วมันทำให้เราเขวอาจจะทำให้อนาคตเราไม่ไปอย่างที่เรามุ่งมั่นไว้ สิ่งๆนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะกับเรา เพราะมันทำให้เราไม่สามารถแบ่งเวลาได้อย่างถูกต้องถูกระเบียบ แล้วท่านก็ยังเขียนเหน็บๆมาอีกว่า “ครูพูดในภาพรวมในทุกๆด้าน ลองไปคิดดูเอาเอง”
เราเลยตัดสินใจเลือกแบตและทิ้งวงโยฯ (เสียดายคะแนนที่สะสมไว้มากเลยค่ะ เพราะถ้าเราออกจากชมรมแต้มจะถือว่าเป็นโมฆะ) พอมานั่งนึกย้อยหลังก็ไม่รู้ว่าอาจารย์แต่ละห้องท่านหาเวลามาตอบ diary ของนักเรียนทุกคนทุกอาทิตย์ได้อย่างไร แค่การบ้านเด็กที่ต้องตรวจก็เยอะอยู่แล้ว ยังต้องมาตอบ diary อีก ทุ่มเทมากค่ะ
จริงๆแล้วคนสิงคโปร์เป็นคนที่ทำอะไรเร็ว คล่องแคล่วว่องไวอย่างได้ประสิทธิภาพ ถ้าใครได้เคยทำงานกับคนสิงคโปร์อาจจะพอเข้าใจข้อนี้ หรือถ้าใครได้มีโอกาสไปเที่ยวที่สิงคโปร์ลองสังเกตุ walking speed ของประเทศเค้าดู จะเห็นได้ว่าเค้าเดินเร็วกันทั้งประเทศค่ะ ไม่รู้จะรีบไปไหน แต่เหมือนกับว่าทุกอย่างมันเร่งรีบอยู่ตลอดเวลาแต่จะต้องเร็วและแม่นยำ หรือลองสังเกตุการพูดของคนสิงคโปร์ดู คนสิงคโปร์จะพูดเร็ว สั้นๆ กระทัดรัดแต่ได้ใจความ จะยกตัวอย่างบางประโยคให้ดูนะคะ
คนอังกฤษ : What would you like to eat?
คนสิงคโปร์จะพูดว่า : eat what ? (2 คำแต่ได้ใจความ)
คนอังกฤษ : Where are you going?
คนสิงคโปร์จะพูดว่า : go where ? (2 คำเข้าใจง่ายดี)
คนอังกฤษ : May I have your name, please?
คนสิงคโปร์ (จะมองหน้าเราด้วยสีหน้าหน้าตาย) : Name? (1 คำเท่านั้นแต่สามารถสื่อสารให้คนทั่วโลกเข้าใจได้ อย่างไม่น่าเชื่อ)
คนอังกฤษ : You are out of your mind! คนสิงคโปร์จะพูดว่า : Siao! (คำนี้จริงๆแล้วเป็นภาษาจีน แปลว่า บ้า แต่แม้แต่คนมาเลหรือคนอินเดียที่อยู่ที่สิงคโปร์ก็จะเข้าใจคำนี้)
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ถึงแม้ว่าเค้าจะพูดกันแบบนี้ทั้งประเทศ แต่เวลาคนที่นั่นได้หยิบปากกาขึ้นมาเขียนข้อความภาษาอังกฤษ จะไม่มีใครเขียนประโยคอย่างเช่น “eat what” ลงไปบนกระดาษ ทั้งประเทศสามารถที่จะเขียนได้ถูกหลักแกรมม่าได้เป็นอย่างดี บางทีแม้แต่คนฝรั่งเองยังมองว่าแกรมม่าของเด็กสิงคโปร์ถูกหลักทุกอย่างแบบ “เป๊ะเว่อร์” ซึ่งก็เป็นสิ่งที่โรงเรียนได้ปลูกฝังเด็กของเค้ามาอย่างดีให้รู้ตัวเสมอว่าภาษาพูดกับภาษาเขียนนั้นมันต่างกัน เราต้องให้ความสำคัญกับการเขียน (อันนี้เรื่องจริงค่ะ เพราะตั้งแต่เนตรเริ่มทำงานfull time ที่ออส หัวหน้าของเนตรที่เป็นคนออสซี่มักจะส่งอีเมล์มาให้เรา proof read ก่อนที่หัวหน้าจะส่งไปให้ลูกค้า แกรมม่าของหัวหน้ามีผิดพลาดตลอด)
ผ่าน ม.2 ไปได้ ช่วงม.3-ม.4 เราต้องเรียนหลักสูตรตามที่จะสอบ O Level ยิ่งยากเข้าไปอีก เราเลือกสายวิทย์แต่ไม่เลือก Biology เพราะไม่คิดจะเรียนต่อทางด้านนั้น ส่วนวิชาที่เลือกลงเรียนคือ English, physics, Chem, Maths, additional Maths, Literature, Geography เพราะเราไม่ได้เรียนภาษาจีน เราเลยต้องมีภาษาที่ 3มาแทน นั่นก็คือ ภาษาไทย
วิชาที่เกลียดที่สุดในการสอบ 'O' level คือ Literature ค่ะ การมานั่งแปล บทความของ Shakespeare และนั่งแปล กลอนนั้นสำหรับเราไม่ใช่เรื่องสนุกเลย เรียนมา2ปีเพื่อที่จะมาตอบคำถาม 4 ข้อในข้อสอบ O level จะมี section หนึ่งที่เป็น Unseen Poem ซึ่งคณะครูจาก Cambridge ที่ออกข้อสอบจะสุ่มคัด บทกลอน ที่เราอาจจะไม่เคยได้อ่านมาก่อนทั้งชีวิต มาออกข้อสอบ ว่าเรามีความคิดเห็นอย่างไรกับกวีหรือผู้ประพันธ์ เรียกได้ว่าเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะเราไม่สามารถจะเตรียมท่องจำความหมายของกลอนนั้นได้เลย เราจะต้องเสนอความคิดของเราให้ถูกหลักแกรมม่าอีกด้วยต้องวิเคราะห์ทุกอย่างอย่างลึกซึ้งและให้เป็น เพราะเราจะต้องเขียนเรียงความที่มีจำนวนคำจำกัดไว้แค่ 400 คำเท่านั้น ถ้าเขียนเกินโดนตัดคำละ 1 คะแนน เกลียดมากจริงๆค่ะ วิชานี้
แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ ด้วยเหตุที่ O level ส่งไปตรวจถึงอังกฤษเลยใช้เวลานานกว่าผลจะออก ระหว่างนี้ ช่วง 3 เดือนแรกของปีการศึกษาใหม่นักเรียนจะต้องไปรายงานตัวที่ Junior college ตามผลสอบปลายภาคของ ม.4 อ้อลืมอธิบายไปค่ะว่าตอนม.4 จะมีสอบ 2 ครั้งค่ะ สอบปลายภาคก่อนเพื่อสอบเข้าโรงเรียนในช่วง 3 เดือนแรก แล้วก็สอบ O level เพื่อสอบเข้าโรงเรียนในการเรียนหลักสูตร A Level
3 เดือนแรกเราสอบเข้าได้ที่ St Andrew’s Junior College ซึ่งเด็กๆหลายคนจากโรงเรียนเก่าก็ไปลงเอยกันที่นั่นค่ะ การปรับตัวในด้านการย้ายโรงเรียนเลยเป็นเรื่องง่ายเพราะคุ้นหน้าเพื่อนหลายคน เราเข้าไปเรียน Junior college ได้ 1ปีก่อนที่จะย้ายไปเรียนต่อที่ ออส เพราะเราบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าการแข่งขันช่วง A Level ที่สิงคโปร์มันดุเดือดเหลือเกิน อีกทั้งประเทศเค้ามีมหาลัยแค่ 2 แห่ง (ในยุคนั้น) ไว้รองรับหัวกะทิทั้งหลายของเค้าเพราะเค้าให้สิทธิ์กับคนสิงคโปร์ก่อน ถ้ามีโควต้าเหลือนักเรียนต่างชาติถึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียนในมหาลัย ที่สำคัญไปกว่านั้นเราไม่คิดว่าเราอยากจะทำงานที่สิงคโปร์ในอนาคต เราไม่อยากทำด้าน Finance ซึ่งเป็นฟีลด์ที่มีโอกาสก้าวหน้าได้มากที่สุดในด้านการงาน เป็น field ที่ทุกคนในประเทศสิงคโปร์ยกย่องและยอมรับ ( รองลงมาจากหมอและทนาย)
ชีวิตการเป็นนักเรียนที่ออส ตลอดระยะเวลา 5ปี เป็นอย่างไร และชีวิตการทำงานเป็นอย่างไร ถ้ามีใครสนใจ ไว้คราวหน้าจะมาลงกระทู้ใหม่นะคะ
PS: ถ้าใครอยากพูดคุยทักทายเพิ่มเติม หรือสงสัยอะไรเพิ่มเติมเกี่วกับการศึกษาของสิงคโปร์ ก็เมล์กันมาได้เลยนะคะ email:
su.cubris@gmail.com