ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 28
http://pantip.com/topic/33185429
สร้อยแก้วกินอาหารเย็นเสร็จแต่วันแล้วเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดนวลผ่อง จากนั้นจึงขึ้นเรือนไปแต่งกายเตรียมพร้อมเข้าพิธี
พ่อโละและคนอื่นๆช่วยกันเก็บเรือนจนสะอาดแล้วขนของที่ต้องใช้ลงจากเรือนมาอยู่กันที่ลานผิงไฟโดยตั้งใจจะไม่ขึ้นเรือนอีกจนกว่าจะรุ่งเช้า
ท่านพ่อไกรศักดิ์ก็พร้อมแล้วเช่นกัน เขากินอาหารทำความสะอาดร่างกายแล้วสวมเสื้อผ้าสะอาด มีผ้าสีขาวผืนหนึ่งห่มร่างกายส่วนบนไว้เดินมองความเรียบร้อยของแคร่ที่เตรียมให้สร้อยแก้วอาบแสงจันทร์ซึ่งพรานโละและแงซานำกิ่งไม้มาปักดินแล้วขัดสานกันเพื่อเป็นบังตาสูงระดับคอล้อมเป็นวงกลมรอบแคร่ไม้เว้นช่องพอดีตัวเป็นทางเข้าไว้
เหมียวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมาก่อนใครแล้ว เธอกำลังช่วยลุงไกรศักดิ์ปูแคร่ด้วยใบไม้แล้วปูทับอีกชั้นด้วยผ้า กลีบดอกไม้ป่าหลายชนิดถูกโรยไปบนแคร่ดูสวยงาม
โจ พีและแงซาช่วยกันจุดกองไฟหลายกองไว้รอบๆรั้วกิ่งไม้บังตาไม่ห่างนัก เพื่อให้ความร้อนช่วยสร้อยแก้วไม่ต้องเหน็บหนาวในคืนอันยาวนาน
ท่านพ่อไกรศักดิ์เดินกลับขึ้นเรือนอีกครั้งเพื่อบอกกล่าวที่ห่อกระดูกแม่ลอยา จากนั้นจึงกลับลงมานั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้ตัวเดิมที่เขาเคยนั่งเพื่อตั้งจิตให้สงบรอสร้อยแก้วพร้อม
สร้อยแก้วก้าวเท้าลงจากเรือนเมื่อตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา ทุกสายตามองไปที่หญิงสาวสวยสะผิวขาวสะอาดตา เธอสวมโจงกระเบนห่มอกทิ้งสไบด้วยผ้าสีขาว เกล้าผมมวยเรียบร้อยแล้วเสียบกริชโบราณเล่มเล็กที่ท่านปู่ผาให้ปักไว้แทนปิ่น เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างๆตรงหน้าท่านพ่อไกรศักดิ์ พนมมือค้อมหัวลงไหว้
“เจ้างดงามดั่งแม่ของเจ้า” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูด เขาหวนคิดถึงลอยาเมื่อครั้งผูกข้อมือกัน
“เจ้ามีอันใดเคลือบแคลงสงสัย” ท่านพ่อถามเช่นเดียวกับที่ปู่ผาเคยถาม
“สร้อยแก้วมิมีอันใดเคลือบแคลงสงสัยจ้ะ” สร้อยแก้วตอบ
“หากมิมีอันใด เจ้าจงเข้าสู่สมาธิ เพื่อรับพรแห่งเพ็ญโสมได้ในกาลนี้เถิด” ท่านพ่อพูดแล้วตนเองจึงหลับตาลงสู่กรรมฐานเพื่อช่วยเสริมบารมีให้อีกแรงอีกทั้งเพื่อถอดกายทิพย์เฝ้าดูอยู่ด้วย
พรานโละบอกให้แงซาพาน่อเซิ่งกับเจ้าพรีโม่ไปอยู่เรือนของเขาก่อนในคืนนี้ เพื่อกันไม่ให้เด็กกับเจ้าหมาแสนรู้ส่งเสียงรบกวนใดๆแล้วจึงกลับมานั่งสงบอยู่กับโจและพี
สร้อยแก้วเบียดตัวผ่านบังตาเข้าไปข้างใน เหมียวหันมายิ้มให้นั่งรออยู่บนพื้นข้างแคร่อยู่แล้ว เธอยื่นภาชนะใส่น้ำสะอาดที่มีแท่งไม้สีน้ำเงินดำแช่อยู่ให้สร้อยแก้วเมื่อเธอนั่งลงบนแคร่
สร้อยแก้วบรรจงฝนแท่งไม้กับหินที่แช่อยู่ช้าๆลงน้ำในภาชนะนั้น หลับตาอยู่ในสมาธิท่องบ่นบริกรรมชั่วครู่เพื่อบอกกล่าวจนน้ำในภาชนะเป็นสีน้ำเงินเข้ม
เหมียวส่งแปรงทำจากไม้ไผ่ทุบปลายจนละเอียดเป็นเส้นให้ สร้อยแก้วรับมาจุ่มทิ้งไว้ในน้ำนั้น เธอเงยหน้ามองพระจันทร์เพ็ญดวงใหญ่ที่เริ่มปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา แล้วค่อยๆปลดผ้าสไบขาวที่ห่มอกอยู่ออกเผยผิวขาวนวลละเอียดและสองปทุมอวบอิ่มเปล่งปลั่งละออตา สร้อยแก้วหันหลังให้เหมียวที่นั่งรออยู่จากนั้นจึงเริ่มหยิบแปรงไม้ไผ่จุ่มลงในน้ำสีน้ำเงินเข้มนั้นเอี้ยวตัวค่อยๆทาบนแผ่นหลังจนแน่ใจว่าทั่วแล้วด้วยความรู้สึกของตนเอง ขุมขนบนผิวของสร้อยแก้วลุกชันเป็นระลอกด้วยความเย็นที่ความร้อนของกองไฟไล่ไปไม่หมด
เหมียวเฝ้ามองแผ่นหลังสวยสะอาดของสร้อยแก้วที่มีรอยจารอักขระหลงเหลืออยู่จางๆ จนเธอค่อยๆทอดตัวนอนคว่ำลงบนแคร่งอแขนสองข้างเบียดบังเนินอกที่ล้นออกมาด้านข้างไว้เหยียดเท้าตรงท่าเดียวกับที่เธอนอนในถ้ำตโมหร หลับตาลงเข้าสู่สมาธิที่ตั้งมั่นไว้
“พี่เหมียวอยู่ข้างนอกใกล้บังตานี้นะจ๊ะ” เหมียวพูดเบาๆแล้วแทรกตัวออกมา
ดึกมากแล้วเหมียวยังนอนอยู่ข้างกองไฟใกล้กับรั้วกิ่งไม้บังตา เธอมองไปรอบๆ
ท่านลุงไกรศักดิ์ยังนิ่งอยู่ในกรรมฐานหันหน้ามาทางแคร่ที่สร้อยแก้วนอนอยู่ โจและพีเวลานี้ทั้งคู่ก็นิ่งอยู่ในกรรมฐานเช่นกัน แงซาเดินกลับไปกลับมาเงียบๆระหว่างลานหน้าบ้านที่ทุกคนรวมกันอยู่กับเรือนของเขาใกล้ๆเพื่อดูแลน่อเซิ่งลูกสาวที่นอนหลับอยู่บนเรือนส่วนพรานโละนั่งระวังภัยอยู่หน้ากองไฟมีพรีโม่นอนหมอบอยู่ด้วย
เหมียวละสายตากลับมานอนมองพระจันทร์วันเพ็ญที่ลอยดวงใหญ่อยู่บนท้องฟ้าทอแสงสกาวเย็นตา ฟ้าที่ไม่มีแสงสว่างของไฟเมืองสาดขึ้นไปรบกวนนั้นมืดสนิทเผยให้เห็นกลุ่มดาวส่งแสงระยิบระยับ ดารดาษอยู่ทั่วผืนฟ้า
เหมียวลุกขึ้นนั่งมองกองไฟรอบรั้วว่าเริ่มมอดลง แล้วลุกเดินไปโยนฟืนที่พรานโละและแงซากองเตรียมไว้ลงไปให้กองไฟลุกโชนอีกครั้ง แล้วแอบยืนมองรอดช่องของรั้วบังตาเข้าไปเพื่อสังเกตการณ์ สร้อยแก้วยังสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม แสงของพระจันทร์วันเพ็ญสาดอาบอยู่บนแผ่นหลัง เธอแปลกใจที่รอยอักขระจางๆที่ได้เห็นมาก่อนเวลานี้ดูเหมือนเรืองแสงสีทองไสวขึ้นมาทั้งแผ่นหลังของสร้อยแก้ว เหมียวรีบบอกตัวเองในใจว่าจะเป็นปาฏิหาริย์หรือเกิดจากตาฝางก็ช่างอย่าตั้งความสงสัย เธอจึงผละเดินมานั่งลงข้างๆพรานโละ
“นายหญิงยังมิหลับรึ” พรานโละถามเสียงแผ่ว
“ยังจ้ะพี่โละ” เหมียวกระซิบตอบ
“เพลาดึกเยี่ยงนี้นายหญิงควรนอนพักแรง” เขาพูด
“ฉันกับแงซานั่งยามระวังภัยอยู่ นายหญิงมิต้องกังวล” เขาพูดต่อ
“จ้ะพี่โละ ถ้าอย่างนั้นขอกินน้ำแล้วจะไปนอนแล้วนะ” เหมียวยิ้มพูดหยิบกระบอกน้ำมาดื่มแล้วเดินกลับไป
โจออกจากกรรมฐานหลังจากเหมียวกลับมาล้มตัวหลับไปไม่นาน หันมองไปที่ลุงไกรศักดิ์กับพีที่ยังนิ่งอยู่ เขาลุกขึ้นเดินเงียบๆมายืนมองเหมียวว่าเธอยังนอนหลับเป็นปกติแล้วเหลือบมองรั้วบังตาว่ายังไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวภายใน
ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งลงข้างพรานโละกับแงซาแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“พี่โละกับแงซานอนพักเถอะ ผมนั่งยามเอง ตาสว่างแล้วตอนนี้” โจพูด
“ฉันยังอยู่ยามกับนายท่านได้นะจ๊ะ” แงซาพูดเบาๆ
“ไม่เป็นไร แงซาไปนอนดูแลน่อเซิ่งเถอะ” โจยิ้มตบไหล่แงซาเบาๆ
“พี่โละก็นอนเถอะ ผมอยู่ได้ เจ้าพรีโม่ก็อยู่ด้วยนี่ไง ไม่ต้องเป็นห่วง” โจหันไปพูดกับพรานโละ
“เยี่ยงนั้นฉันจะนอนใกล้นายโจตรงนี้” พรานโละพูดแล้วขยับไปล้มตัวลงนอนห่างไปเล็กน้อย
“ไป แงซาไปเถอะ” โจบอกแงซาอีกครั้งพรานแงซาจึงลุกเดินขึ้นเรือนไป
โจนั่งยามอยู่คนเดียวอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนมองไปยังทุกคนที่หยุดนิ่งอยู่กับการหลับและกรรมฐาน สักครู่จึงก้มลงหยิบปืนเดินมายืนอยู่ริมลำธารมองไปที่ชายป่าแล้วแหงนหน้าดูพระจันทร์
ในความคิดคำนึงของชายหนุ่มเวลานี้คือรู้สึกยังอ่อนต่อโลกเหลือเกิน ยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาในโลกที่เขาและมนุษย์ทั้งหลายเชื่อว่าศิวิไลซ์นั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่องค์ความรู้ของมนุษย์ไม่อาจหาทฤษฎีมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นได้ แค่เรื่องที่เพื่อนรักถือดาบเดินหายไปหลายวัน กลับออกมาอย่างปกติไม่รู้อะไรเลยนั่นก็สุดจะจินตนาการได้แล้ว
โจคิดได้ถึงสิ่งหนึ่งที่เขาลืมไปนานหลายวันจึงเดินกลับมาล้วงหยิบบุหรี่ในเป้หลังออกมา ทุกคนยังคงนิ่งอยู่ในสถานะเดิม โจเดินกลับมานั่งที่ขอนไม้ล้มริมลำธารอีกครั้งวางปืนพิงไว้ใกล้ตัวแล้วจุดบุหรี่มวนแรกในหลายวันขึ้นสูบพ่นควันยาวทอดอารมณ์ออกไปยังชายป่า
บุหรี่มวนที่สองถูกจุดขึ้นอีก ฤทธิ์ของสารเคมีทำให้ชายหนุ่มที่ห่างจากการเสพมาหลายวันมีอาการเมาตาลายเล็กน้อยจนไม่สามารถสังเกตสิ่งที่เคลื่อนเข้ามาทางด้านหลัง เงียบเชียบ ประสงค์ร้าย
โจผวาขึ้นสุดตัวพุ่งหนีไปข้างหน้าเมื่อฝ่ามือและนิ้วทั้งห้านิ้วที่เย็นเฉียบสัมผัสหลังต้นคอ
ประสาทสัมผัสทุกส่วนที่ถูกปลุกขึ้นพร้อมกันกะทันหันดันร่างกายแทบปริแยก ขนทุกเส้นตั้งชันเย็นเฉียบตั้งแต่กระหม่อมจนปลายเท้า โจกลิ้งตัวไปข้างหน้าจนถลันเปียกน้ำในลำธารครึ่งตัว ตั้งหลักแล้วหันกลับมาเตรียมต่อสู้
เขาหยุดยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะโกรธหรือจะทำอะไรดีกับศัตรูที่หันมาพบ
เหมียวนอนอยู่ข้างขอนไม้ด้านเดียวกับที่เขายืน เธอนอนตะแคงงอตัวหัวร่องอหายใช้สองมือปิดปากไม่ให้มีเสียงรอดออกมา ตัวโยนอยู่อย่างนั้น
โจย่างสามขุมเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างตัวเธอแล้วกำมือทุบไปที่เนินสะโพกผายที่นอนตะแคงอยู่
“อุ๊ย” เหมียวกลั้นเสียงร้องเอามือข้างหนึ่งปิดสะโพกอีกข้างหนึ่งยังปิดปากหัวเราะต่อ
ชายหนุ่มก้มมองจ้องหน้า มือซ้ายวางที่เอวหญิงสาวแล้วยันพื้นไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง
“เล่นบ้าๆ” เขาตะคอกเบาๆแล้วก้มจูบข้างแก้ม
เหมียวหยุดมองหน้าเมื่อเขาเงยขึ้นจากใบหน้าเธอ แล้วเริ่มหัวเราะคิกแบบกลั้นไม่อยู่ขึ้นมาอีก
โจคุกเข่ากอดอกมองหญิงสาวที่นอนหัวเราะไม่หยุดส่ายหน้าระอา
“เอาล่ะ เอาล่ะ” เหมียวพูดกลั้นหัวเราะเช็ดน้ำตาไปพลาง
“มือเย็นดีมั้ย” เธอถามหัวเราะคิกขึ้นมาอีก
“เออ ทำไมมือเย็นนักล่ะ ไม่สบายรึเปล่า” โจถาม
“ฉันจุ่มน้ำเย็นมา” เธอบอก
“ตั้งใจขนาดนั้นนะ” โจส่ายหน้าพูด
“เล่นบ้าๆ เกิดผมหันมายิงเอาล่ะ” โจพูด
“ฉันก็จะไปนอนรอคุณอยู่ที่วะสะธารา” หญิงสาวนอนหงายยิ้มมองสบตาเขา
โจเงยคอแหงนหน้าทำท่าเหมือนระอาในคำพูดแล้วก้มลงมองตาเธออีกครั้ง
“ตกใจจริงๆเหรอ” เหมียวเลิกคิ้วถามยิ้มยั่ว
“นิดหน่อย” โจตอบไม่สบตา
“เหรอ นิดหน่อยเหรอ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เธอทำเสียงยั่วเย้าแล้วชูสองแขนกางออก
โจยิ้มส่ายหน้าแล้วโถมตัวลงในอ้อมแขน หนุ่มสาวนอนกอดพลอดรักกันตรงนั้น จูบแล้วถอน ถอนแล้วจูบอย่างด่ำดื่มในความรักที่มีต่อกัน เนิ่นนานจนข้อมือของชายหนุ่มถูกตะปบไว้ด้วยมือของสาวเจ้าเมื่อกระดุมจะถูกปลดออก
“ตัวเองจะทำอะไรเค้าในคืนพิธีสำคัญเนี่ยนะ” หญิงสาวถอนจูบแล้วกระซิบบอก
“เออว่ะ” ชายหนุ่มพูดทำเป็นไม่รู้ประสา
“พูดกับแฟนหยาบคาย” หญิงสาวพูดแล้วใช้สี่นิ้วชิดกันตบปากเบาๆ
“ไม่ใช่แฟน” เขาพูดทำเสียงจริงจัง
หญิงสาวนอนขมวดคิ้วทำตาขวางมองสบตานิ่ง
“นี่คือคนที่ผมจะรักที่สุดคนเดียวไปจนวันตาย” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังอีกครั้งสบสายตาเธอนิ่ง
“ผมอยากเป็นเหมือนคุณลุง”
“และคำๆนี้ ผมพูดขณะที่กอดคุณด้วยความรัก ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญ ขอท่านเป็นทิพย์ญาณ” โจพูดหนักแน่น
หญิงสาวนอนจ้องตาเขานิ่ง เธอมีน้ำตารินออกจากหางตา
“เหมียวก็จะรักคุณให้เหมือนป้าลอยารักลุงไกร ให้ป้าลอยากับพระจันทร์เป็นทิพย์ญาณ” เธอพูดเสียงกระซิบ
ริมฝีปากประสานแนบแน่นเนิ่นนานอีกครั้งด้วยสองดวงใจ จนหญิงสาวถอนริมฝีปากบอกเขาเบาๆ
“ตัวเองทิ้งเวรยามมานานแล้วนะ” เธอยิ้มบอกเตือน
โจรีบลุกขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ที่เธอพูด เขาประคองเหมียวให้ลุกขึ้นแล้วปัดเศษหญ้ากิ่งไม้ที่ติดอยู่บนเส้นผมและเสื้อผ้าให้จากนั้นจึงหยิบปืนเดินประคองกอดกันกลับมา ทั้งสองช่วยกันเติมฟืนลงในกองไฟทุกกองจนเสร็จแล้วกลับนั่งยามที่กองไฟเช่นเดิม
“คุณนอนต่อเถอะ” โจบอกด้วยความห่วงใย
“ใครจะไปนอนลง” เหมียวพูดไม่มองหน้า
“ทำไมล่ะครับ” โจสงสัย
“จูบจนเค้าตื่นไปทั้งตัว นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ว่ามานอนกลางป่าให้แฟนจูบแบบนี้ละก็” เธอพูดทำหน้าเง้างอน
“กลับไปจะกราบเท้าขอโทษท่าน แล้วก็ขอลูกสาวท่านด้วย” โจบอกจริงจัง
“จริงนะ” เธอพูดทำยิ้มหน้าทะเล้น
ธารทิพย์ บทที่ 29
ธารทิพย์ บทที่ 28 http://pantip.com/topic/33185429
สร้อยแก้วกินอาหารเย็นเสร็จแต่วันแล้วเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดนวลผ่อง จากนั้นจึงขึ้นเรือนไปแต่งกายเตรียมพร้อมเข้าพิธี
พ่อโละและคนอื่นๆช่วยกันเก็บเรือนจนสะอาดแล้วขนของที่ต้องใช้ลงจากเรือนมาอยู่กันที่ลานผิงไฟโดยตั้งใจจะไม่ขึ้นเรือนอีกจนกว่าจะรุ่งเช้า
ท่านพ่อไกรศักดิ์ก็พร้อมแล้วเช่นกัน เขากินอาหารทำความสะอาดร่างกายแล้วสวมเสื้อผ้าสะอาด มีผ้าสีขาวผืนหนึ่งห่มร่างกายส่วนบนไว้เดินมองความเรียบร้อยของแคร่ที่เตรียมให้สร้อยแก้วอาบแสงจันทร์ซึ่งพรานโละและแงซานำกิ่งไม้มาปักดินแล้วขัดสานกันเพื่อเป็นบังตาสูงระดับคอล้อมเป็นวงกลมรอบแคร่ไม้เว้นช่องพอดีตัวเป็นทางเข้าไว้
เหมียวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมาก่อนใครแล้ว เธอกำลังช่วยลุงไกรศักดิ์ปูแคร่ด้วยใบไม้แล้วปูทับอีกชั้นด้วยผ้า กลีบดอกไม้ป่าหลายชนิดถูกโรยไปบนแคร่ดูสวยงาม
โจ พีและแงซาช่วยกันจุดกองไฟหลายกองไว้รอบๆรั้วกิ่งไม้บังตาไม่ห่างนัก เพื่อให้ความร้อนช่วยสร้อยแก้วไม่ต้องเหน็บหนาวในคืนอันยาวนาน
ท่านพ่อไกรศักดิ์เดินกลับขึ้นเรือนอีกครั้งเพื่อบอกกล่าวที่ห่อกระดูกแม่ลอยา จากนั้นจึงกลับลงมานั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้ตัวเดิมที่เขาเคยนั่งเพื่อตั้งจิตให้สงบรอสร้อยแก้วพร้อม
สร้อยแก้วก้าวเท้าลงจากเรือนเมื่อตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา ทุกสายตามองไปที่หญิงสาวสวยสะผิวขาวสะอาดตา เธอสวมโจงกระเบนห่มอกทิ้งสไบด้วยผ้าสีขาว เกล้าผมมวยเรียบร้อยแล้วเสียบกริชโบราณเล่มเล็กที่ท่านปู่ผาให้ปักไว้แทนปิ่น เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างๆตรงหน้าท่านพ่อไกรศักดิ์ พนมมือค้อมหัวลงไหว้
“เจ้างดงามดั่งแม่ของเจ้า” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูด เขาหวนคิดถึงลอยาเมื่อครั้งผูกข้อมือกัน
“เจ้ามีอันใดเคลือบแคลงสงสัย” ท่านพ่อถามเช่นเดียวกับที่ปู่ผาเคยถาม
“สร้อยแก้วมิมีอันใดเคลือบแคลงสงสัยจ้ะ” สร้อยแก้วตอบ
“หากมิมีอันใด เจ้าจงเข้าสู่สมาธิ เพื่อรับพรแห่งเพ็ญโสมได้ในกาลนี้เถิด” ท่านพ่อพูดแล้วตนเองจึงหลับตาลงสู่กรรมฐานเพื่อช่วยเสริมบารมีให้อีกแรงอีกทั้งเพื่อถอดกายทิพย์เฝ้าดูอยู่ด้วย
พรานโละบอกให้แงซาพาน่อเซิ่งกับเจ้าพรีโม่ไปอยู่เรือนของเขาก่อนในคืนนี้ เพื่อกันไม่ให้เด็กกับเจ้าหมาแสนรู้ส่งเสียงรบกวนใดๆแล้วจึงกลับมานั่งสงบอยู่กับโจและพี
สร้อยแก้วเบียดตัวผ่านบังตาเข้าไปข้างใน เหมียวหันมายิ้มให้นั่งรออยู่บนพื้นข้างแคร่อยู่แล้ว เธอยื่นภาชนะใส่น้ำสะอาดที่มีแท่งไม้สีน้ำเงินดำแช่อยู่ให้สร้อยแก้วเมื่อเธอนั่งลงบนแคร่
สร้อยแก้วบรรจงฝนแท่งไม้กับหินที่แช่อยู่ช้าๆลงน้ำในภาชนะนั้น หลับตาอยู่ในสมาธิท่องบ่นบริกรรมชั่วครู่เพื่อบอกกล่าวจนน้ำในภาชนะเป็นสีน้ำเงินเข้ม
เหมียวส่งแปรงทำจากไม้ไผ่ทุบปลายจนละเอียดเป็นเส้นให้ สร้อยแก้วรับมาจุ่มทิ้งไว้ในน้ำนั้น เธอเงยหน้ามองพระจันทร์เพ็ญดวงใหญ่ที่เริ่มปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา แล้วค่อยๆปลดผ้าสไบขาวที่ห่มอกอยู่ออกเผยผิวขาวนวลละเอียดและสองปทุมอวบอิ่มเปล่งปลั่งละออตา สร้อยแก้วหันหลังให้เหมียวที่นั่งรออยู่จากนั้นจึงเริ่มหยิบแปรงไม้ไผ่จุ่มลงในน้ำสีน้ำเงินเข้มนั้นเอี้ยวตัวค่อยๆทาบนแผ่นหลังจนแน่ใจว่าทั่วแล้วด้วยความรู้สึกของตนเอง ขุมขนบนผิวของสร้อยแก้วลุกชันเป็นระลอกด้วยความเย็นที่ความร้อนของกองไฟไล่ไปไม่หมด
เหมียวเฝ้ามองแผ่นหลังสวยสะอาดของสร้อยแก้วที่มีรอยจารอักขระหลงเหลืออยู่จางๆ จนเธอค่อยๆทอดตัวนอนคว่ำลงบนแคร่งอแขนสองข้างเบียดบังเนินอกที่ล้นออกมาด้านข้างไว้เหยียดเท้าตรงท่าเดียวกับที่เธอนอนในถ้ำตโมหร หลับตาลงเข้าสู่สมาธิที่ตั้งมั่นไว้
“พี่เหมียวอยู่ข้างนอกใกล้บังตานี้นะจ๊ะ” เหมียวพูดเบาๆแล้วแทรกตัวออกมา
ดึกมากแล้วเหมียวยังนอนอยู่ข้างกองไฟใกล้กับรั้วกิ่งไม้บังตา เธอมองไปรอบๆ
ท่านลุงไกรศักดิ์ยังนิ่งอยู่ในกรรมฐานหันหน้ามาทางแคร่ที่สร้อยแก้วนอนอยู่ โจและพีเวลานี้ทั้งคู่ก็นิ่งอยู่ในกรรมฐานเช่นกัน แงซาเดินกลับไปกลับมาเงียบๆระหว่างลานหน้าบ้านที่ทุกคนรวมกันอยู่กับเรือนของเขาใกล้ๆเพื่อดูแลน่อเซิ่งลูกสาวที่นอนหลับอยู่บนเรือนส่วนพรานโละนั่งระวังภัยอยู่หน้ากองไฟมีพรีโม่นอนหมอบอยู่ด้วย
เหมียวละสายตากลับมานอนมองพระจันทร์วันเพ็ญที่ลอยดวงใหญ่อยู่บนท้องฟ้าทอแสงสกาวเย็นตา ฟ้าที่ไม่มีแสงสว่างของไฟเมืองสาดขึ้นไปรบกวนนั้นมืดสนิทเผยให้เห็นกลุ่มดาวส่งแสงระยิบระยับ ดารดาษอยู่ทั่วผืนฟ้า
เหมียวลุกขึ้นนั่งมองกองไฟรอบรั้วว่าเริ่มมอดลง แล้วลุกเดินไปโยนฟืนที่พรานโละและแงซากองเตรียมไว้ลงไปให้กองไฟลุกโชนอีกครั้ง แล้วแอบยืนมองรอดช่องของรั้วบังตาเข้าไปเพื่อสังเกตการณ์ สร้อยแก้วยังสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม แสงของพระจันทร์วันเพ็ญสาดอาบอยู่บนแผ่นหลัง เธอแปลกใจที่รอยอักขระจางๆที่ได้เห็นมาก่อนเวลานี้ดูเหมือนเรืองแสงสีทองไสวขึ้นมาทั้งแผ่นหลังของสร้อยแก้ว เหมียวรีบบอกตัวเองในใจว่าจะเป็นปาฏิหาริย์หรือเกิดจากตาฝางก็ช่างอย่าตั้งความสงสัย เธอจึงผละเดินมานั่งลงข้างๆพรานโละ
“นายหญิงยังมิหลับรึ” พรานโละถามเสียงแผ่ว
“ยังจ้ะพี่โละ” เหมียวกระซิบตอบ
“เพลาดึกเยี่ยงนี้นายหญิงควรนอนพักแรง” เขาพูด
“ฉันกับแงซานั่งยามระวังภัยอยู่ นายหญิงมิต้องกังวล” เขาพูดต่อ
“จ้ะพี่โละ ถ้าอย่างนั้นขอกินน้ำแล้วจะไปนอนแล้วนะ” เหมียวยิ้มพูดหยิบกระบอกน้ำมาดื่มแล้วเดินกลับไป
โจออกจากกรรมฐานหลังจากเหมียวกลับมาล้มตัวหลับไปไม่นาน หันมองไปที่ลุงไกรศักดิ์กับพีที่ยังนิ่งอยู่ เขาลุกขึ้นเดินเงียบๆมายืนมองเหมียวว่าเธอยังนอนหลับเป็นปกติแล้วเหลือบมองรั้วบังตาว่ายังไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวภายใน
ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งลงข้างพรานโละกับแงซาแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“พี่โละกับแงซานอนพักเถอะ ผมนั่งยามเอง ตาสว่างแล้วตอนนี้” โจพูด
“ฉันยังอยู่ยามกับนายท่านได้นะจ๊ะ” แงซาพูดเบาๆ
“ไม่เป็นไร แงซาไปนอนดูแลน่อเซิ่งเถอะ” โจยิ้มตบไหล่แงซาเบาๆ
“พี่โละก็นอนเถอะ ผมอยู่ได้ เจ้าพรีโม่ก็อยู่ด้วยนี่ไง ไม่ต้องเป็นห่วง” โจหันไปพูดกับพรานโละ
“เยี่ยงนั้นฉันจะนอนใกล้นายโจตรงนี้” พรานโละพูดแล้วขยับไปล้มตัวลงนอนห่างไปเล็กน้อย
“ไป แงซาไปเถอะ” โจบอกแงซาอีกครั้งพรานแงซาจึงลุกเดินขึ้นเรือนไป
โจนั่งยามอยู่คนเดียวอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนมองไปยังทุกคนที่หยุดนิ่งอยู่กับการหลับและกรรมฐาน สักครู่จึงก้มลงหยิบปืนเดินมายืนอยู่ริมลำธารมองไปที่ชายป่าแล้วแหงนหน้าดูพระจันทร์
ในความคิดคำนึงของชายหนุ่มเวลานี้คือรู้สึกยังอ่อนต่อโลกเหลือเกิน ยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาในโลกที่เขาและมนุษย์ทั้งหลายเชื่อว่าศิวิไลซ์นั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่องค์ความรู้ของมนุษย์ไม่อาจหาทฤษฎีมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นได้ แค่เรื่องที่เพื่อนรักถือดาบเดินหายไปหลายวัน กลับออกมาอย่างปกติไม่รู้อะไรเลยนั่นก็สุดจะจินตนาการได้แล้ว
โจคิดได้ถึงสิ่งหนึ่งที่เขาลืมไปนานหลายวันจึงเดินกลับมาล้วงหยิบบุหรี่ในเป้หลังออกมา ทุกคนยังคงนิ่งอยู่ในสถานะเดิม โจเดินกลับมานั่งที่ขอนไม้ล้มริมลำธารอีกครั้งวางปืนพิงไว้ใกล้ตัวแล้วจุดบุหรี่มวนแรกในหลายวันขึ้นสูบพ่นควันยาวทอดอารมณ์ออกไปยังชายป่า
บุหรี่มวนที่สองถูกจุดขึ้นอีก ฤทธิ์ของสารเคมีทำให้ชายหนุ่มที่ห่างจากการเสพมาหลายวันมีอาการเมาตาลายเล็กน้อยจนไม่สามารถสังเกตสิ่งที่เคลื่อนเข้ามาทางด้านหลัง เงียบเชียบ ประสงค์ร้าย
โจผวาขึ้นสุดตัวพุ่งหนีไปข้างหน้าเมื่อฝ่ามือและนิ้วทั้งห้านิ้วที่เย็นเฉียบสัมผัสหลังต้นคอ
ประสาทสัมผัสทุกส่วนที่ถูกปลุกขึ้นพร้อมกันกะทันหันดันร่างกายแทบปริแยก ขนทุกเส้นตั้งชันเย็นเฉียบตั้งแต่กระหม่อมจนปลายเท้า โจกลิ้งตัวไปข้างหน้าจนถลันเปียกน้ำในลำธารครึ่งตัว ตั้งหลักแล้วหันกลับมาเตรียมต่อสู้
เขาหยุดยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะโกรธหรือจะทำอะไรดีกับศัตรูที่หันมาพบ
เหมียวนอนอยู่ข้างขอนไม้ด้านเดียวกับที่เขายืน เธอนอนตะแคงงอตัวหัวร่องอหายใช้สองมือปิดปากไม่ให้มีเสียงรอดออกมา ตัวโยนอยู่อย่างนั้น
โจย่างสามขุมเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างตัวเธอแล้วกำมือทุบไปที่เนินสะโพกผายที่นอนตะแคงอยู่
“อุ๊ย” เหมียวกลั้นเสียงร้องเอามือข้างหนึ่งปิดสะโพกอีกข้างหนึ่งยังปิดปากหัวเราะต่อ
ชายหนุ่มก้มมองจ้องหน้า มือซ้ายวางที่เอวหญิงสาวแล้วยันพื้นไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง
“เล่นบ้าๆ” เขาตะคอกเบาๆแล้วก้มจูบข้างแก้ม
เหมียวหยุดมองหน้าเมื่อเขาเงยขึ้นจากใบหน้าเธอ แล้วเริ่มหัวเราะคิกแบบกลั้นไม่อยู่ขึ้นมาอีก
โจคุกเข่ากอดอกมองหญิงสาวที่นอนหัวเราะไม่หยุดส่ายหน้าระอา
“เอาล่ะ เอาล่ะ” เหมียวพูดกลั้นหัวเราะเช็ดน้ำตาไปพลาง
“มือเย็นดีมั้ย” เธอถามหัวเราะคิกขึ้นมาอีก
“เออ ทำไมมือเย็นนักล่ะ ไม่สบายรึเปล่า” โจถาม
“ฉันจุ่มน้ำเย็นมา” เธอบอก
“ตั้งใจขนาดนั้นนะ” โจส่ายหน้าพูด
“เล่นบ้าๆ เกิดผมหันมายิงเอาล่ะ” โจพูด
“ฉันก็จะไปนอนรอคุณอยู่ที่วะสะธารา” หญิงสาวนอนหงายยิ้มมองสบตาเขา
โจเงยคอแหงนหน้าทำท่าเหมือนระอาในคำพูดแล้วก้มลงมองตาเธออีกครั้ง
“ตกใจจริงๆเหรอ” เหมียวเลิกคิ้วถามยิ้มยั่ว
“นิดหน่อย” โจตอบไม่สบตา
“เหรอ นิดหน่อยเหรอ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เธอทำเสียงยั่วเย้าแล้วชูสองแขนกางออก
โจยิ้มส่ายหน้าแล้วโถมตัวลงในอ้อมแขน หนุ่มสาวนอนกอดพลอดรักกันตรงนั้น จูบแล้วถอน ถอนแล้วจูบอย่างด่ำดื่มในความรักที่มีต่อกัน เนิ่นนานจนข้อมือของชายหนุ่มถูกตะปบไว้ด้วยมือของสาวเจ้าเมื่อกระดุมจะถูกปลดออก
“ตัวเองจะทำอะไรเค้าในคืนพิธีสำคัญเนี่ยนะ” หญิงสาวถอนจูบแล้วกระซิบบอก
“เออว่ะ” ชายหนุ่มพูดทำเป็นไม่รู้ประสา
“พูดกับแฟนหยาบคาย” หญิงสาวพูดแล้วใช้สี่นิ้วชิดกันตบปากเบาๆ
“ไม่ใช่แฟน” เขาพูดทำเสียงจริงจัง
หญิงสาวนอนขมวดคิ้วทำตาขวางมองสบตานิ่ง
“นี่คือคนที่ผมจะรักที่สุดคนเดียวไปจนวันตาย” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังอีกครั้งสบสายตาเธอนิ่ง
“ผมอยากเป็นเหมือนคุณลุง”
“และคำๆนี้ ผมพูดขณะที่กอดคุณด้วยความรัก ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญ ขอท่านเป็นทิพย์ญาณ” โจพูดหนักแน่น
หญิงสาวนอนจ้องตาเขานิ่ง เธอมีน้ำตารินออกจากหางตา
“เหมียวก็จะรักคุณให้เหมือนป้าลอยารักลุงไกร ให้ป้าลอยากับพระจันทร์เป็นทิพย์ญาณ” เธอพูดเสียงกระซิบ
ริมฝีปากประสานแนบแน่นเนิ่นนานอีกครั้งด้วยสองดวงใจ จนหญิงสาวถอนริมฝีปากบอกเขาเบาๆ
“ตัวเองทิ้งเวรยามมานานแล้วนะ” เธอยิ้มบอกเตือน
โจรีบลุกขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ที่เธอพูด เขาประคองเหมียวให้ลุกขึ้นแล้วปัดเศษหญ้ากิ่งไม้ที่ติดอยู่บนเส้นผมและเสื้อผ้าให้จากนั้นจึงหยิบปืนเดินประคองกอดกันกลับมา ทั้งสองช่วยกันเติมฟืนลงในกองไฟทุกกองจนเสร็จแล้วกลับนั่งยามที่กองไฟเช่นเดิม
“คุณนอนต่อเถอะ” โจบอกด้วยความห่วงใย
“ใครจะไปนอนลง” เหมียวพูดไม่มองหน้า
“ทำไมล่ะครับ” โจสงสัย
“จูบจนเค้าตื่นไปทั้งตัว นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ว่ามานอนกลางป่าให้แฟนจูบแบบนี้ละก็” เธอพูดทำหน้าเง้างอน
“กลับไปจะกราบเท้าขอโทษท่าน แล้วก็ขอลูกสาวท่านด้วย” โจบอกจริงจัง
“จริงนะ” เธอพูดทำยิ้มหน้าทะเล้น