ธารทิพย์ บทที่ 29

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 28 http://pantip.com/topic/33185429

            สร้อยแก้วกินอาหารเย็นเสร็จแต่วันแล้วเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดนวลผ่อง จากนั้นจึงขึ้นเรือนไปแต่งกายเตรียมพร้อมเข้าพิธี

            พ่อโละและคนอื่นๆช่วยกันเก็บเรือนจนสะอาดแล้วขนของที่ต้องใช้ลงจากเรือนมาอยู่กันที่ลานผิงไฟโดยตั้งใจจะไม่ขึ้นเรือนอีกจนกว่าจะรุ่งเช้า

                ท่านพ่อไกรศักดิ์ก็พร้อมแล้วเช่นกัน เขากินอาหารทำความสะอาดร่างกายแล้วสวมเสื้อผ้าสะอาด มีผ้าสีขาวผืนหนึ่งห่มร่างกายส่วนบนไว้เดินมองความเรียบร้อยของแคร่ที่เตรียมให้สร้อยแก้วอาบแสงจันทร์ซึ่งพรานโละและแงซานำกิ่งไม้มาปักดินแล้วขัดสานกันเพื่อเป็นบังตาสูงระดับคอล้อมเป็นวงกลมรอบแคร่ไม้เว้นช่องพอดีตัวเป็นทางเข้าไว้

                เหมียวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมาก่อนใครแล้ว เธอกำลังช่วยลุงไกรศักดิ์ปูแคร่ด้วยใบไม้แล้วปูทับอีกชั้นด้วยผ้า กลีบดอกไม้ป่าหลายชนิดถูกโรยไปบนแคร่ดูสวยงาม

                โจ พีและแงซาช่วยกันจุดกองไฟหลายกองไว้รอบๆรั้วกิ่งไม้บังตาไม่ห่างนัก เพื่อให้ความร้อนช่วยสร้อยแก้วไม่ต้องเหน็บหนาวในคืนอันยาวนาน
    ท่านพ่อไกรศักดิ์เดินกลับขึ้นเรือนอีกครั้งเพื่อบอกกล่าวที่ห่อกระดูกแม่ลอยา จากนั้นจึงกลับลงมานั่งขัดสมาธิบนแคร่ไม้ตัวเดิมที่เขาเคยนั่งเพื่อตั้งจิตให้สงบรอสร้อยแก้วพร้อม

                สร้อยแก้วก้าวเท้าลงจากเรือนเมื่อตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา ทุกสายตามองไปที่หญิงสาวสวยสะผิวขาวสะอาดตา เธอสวมโจงกระเบนห่มอกทิ้งสไบด้วยผ้าสีขาว เกล้าผมมวยเรียบร้อยแล้วเสียบกริชโบราณเล่มเล็กที่ท่านปู่ผาให้ปักไว้แทนปิ่น เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างๆตรงหน้าท่านพ่อไกรศักดิ์ พนมมือค้อมหัวลงไหว้

                “เจ้างดงามดั่งแม่ของเจ้า” ท่านพ่อไกรศักดิ์พูด เขาหวนคิดถึงลอยาเมื่อครั้งผูกข้อมือกัน

                “เจ้ามีอันใดเคลือบแคลงสงสัย” ท่านพ่อถามเช่นเดียวกับที่ปู่ผาเคยถาม

                “สร้อยแก้วมิมีอันใดเคลือบแคลงสงสัยจ้ะ” สร้อยแก้วตอบ

                “หากมิมีอันใด เจ้าจงเข้าสู่สมาธิ เพื่อรับพรแห่งเพ็ญโสมได้ในกาลนี้เถิด” ท่านพ่อพูดแล้วตนเองจึงหลับตาลงสู่กรรมฐานเพื่อช่วยเสริมบารมีให้อีกแรงอีกทั้งเพื่อถอดกายทิพย์เฝ้าดูอยู่ด้วย

                พรานโละบอกให้แงซาพาน่อเซิ่งกับเจ้าพรีโม่ไปอยู่เรือนของเขาก่อนในคืนนี้ เพื่อกันไม่ให้เด็กกับเจ้าหมาแสนรู้ส่งเสียงรบกวนใดๆแล้วจึงกลับมานั่งสงบอยู่กับโจและพี
    
            สร้อยแก้วเบียดตัวผ่านบังตาเข้าไปข้างใน เหมียวหันมายิ้มให้นั่งรออยู่บนพื้นข้างแคร่อยู่แล้ว เธอยื่นภาชนะใส่น้ำสะอาดที่มีแท่งไม้สีน้ำเงินดำแช่อยู่ให้สร้อยแก้วเมื่อเธอนั่งลงบนแคร่

                สร้อยแก้วบรรจงฝนแท่งไม้กับหินที่แช่อยู่ช้าๆลงน้ำในภาชนะนั้น หลับตาอยู่ในสมาธิท่องบ่นบริกรรมชั่วครู่เพื่อบอกกล่าวจนน้ำในภาชนะเป็นสีน้ำเงินเข้ม

                เหมียวส่งแปรงทำจากไม้ไผ่ทุบปลายจนละเอียดเป็นเส้นให้ สร้อยแก้วรับมาจุ่มทิ้งไว้ในน้ำนั้น เธอเงยหน้ามองพระจันทร์เพ็ญดวงใหญ่ที่เริ่มปรากฏขึ้นเหนือยอดเขา แล้วค่อยๆปลดผ้าสไบขาวที่ห่มอกอยู่ออกเผยผิวขาวนวลละเอียดและสองปทุมอวบอิ่มเปล่งปลั่งละออตา สร้อยแก้วหันหลังให้เหมียวที่นั่งรออยู่จากนั้นจึงเริ่มหยิบแปรงไม้ไผ่จุ่มลงในน้ำสีน้ำเงินเข้มนั้นเอี้ยวตัวค่อยๆทาบนแผ่นหลังจนแน่ใจว่าทั่วแล้วด้วยความรู้สึกของตนเอง ขุมขนบนผิวของสร้อยแก้วลุกชันเป็นระลอกด้วยความเย็นที่ความร้อนของกองไฟไล่ไปไม่หมด

                เหมียวเฝ้ามองแผ่นหลังสวยสะอาดของสร้อยแก้วที่มีรอยจารอักขระหลงเหลืออยู่จางๆ จนเธอค่อยๆทอดตัวนอนคว่ำลงบนแคร่งอแขนสองข้างเบียดบังเนินอกที่ล้นออกมาด้านข้างไว้เหยียดเท้าตรงท่าเดียวกับที่เธอนอนในถ้ำตโมหร หลับตาลงเข้าสู่สมาธิที่ตั้งมั่นไว้

                “พี่เหมียวอยู่ข้างนอกใกล้บังตานี้นะจ๊ะ” เหมียวพูดเบาๆแล้วแทรกตัวออกมา
    
            ดึกมากแล้วเหมียวยังนอนอยู่ข้างกองไฟใกล้กับรั้วกิ่งไม้บังตา เธอมองไปรอบๆ

            ท่านลุงไกรศักดิ์ยังนิ่งอยู่ในกรรมฐานหันหน้ามาทางแคร่ที่สร้อยแก้วนอนอยู่ โจและพีเวลานี้ทั้งคู่ก็นิ่งอยู่ในกรรมฐานเช่นกัน แงซาเดินกลับไปกลับมาเงียบๆระหว่างลานหน้าบ้านที่ทุกคนรวมกันอยู่กับเรือนของเขาใกล้ๆเพื่อดูแลน่อเซิ่งลูกสาวที่นอนหลับอยู่บนเรือนส่วนพรานโละนั่งระวังภัยอยู่หน้ากองไฟมีพรีโม่นอนหมอบอยู่ด้วย

            เหมียวละสายตากลับมานอนมองพระจันทร์วันเพ็ญที่ลอยดวงใหญ่อยู่บนท้องฟ้าทอแสงสกาวเย็นตา ฟ้าที่ไม่มีแสงสว่างของไฟเมืองสาดขึ้นไปรบกวนนั้นมืดสนิทเผยให้เห็นกลุ่มดาวส่งแสงระยิบระยับ ดารดาษอยู่ทั่วผืนฟ้า

                เหมียวลุกขึ้นนั่งมองกองไฟรอบรั้วว่าเริ่มมอดลง แล้วลุกเดินไปโยนฟืนที่พรานโละและแงซากองเตรียมไว้ลงไปให้กองไฟลุกโชนอีกครั้ง แล้วแอบยืนมองรอดช่องของรั้วบังตาเข้าไปเพื่อสังเกตการณ์ สร้อยแก้วยังสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม แสงของพระจันทร์วันเพ็ญสาดอาบอยู่บนแผ่นหลัง เธอแปลกใจที่รอยอักขระจางๆที่ได้เห็นมาก่อนเวลานี้ดูเหมือนเรืองแสงสีทองไสวขึ้นมาทั้งแผ่นหลังของสร้อยแก้ว เหมียวรีบบอกตัวเองในใจว่าจะเป็นปาฏิหาริย์หรือเกิดจากตาฝางก็ช่างอย่าตั้งความสงสัย เธอจึงผละเดินมานั่งลงข้างๆพรานโละ

                “นายหญิงยังมิหลับรึ” พรานโละถามเสียงแผ่ว

                “ยังจ้ะพี่โละ” เหมียวกระซิบตอบ

                “เพลาดึกเยี่ยงนี้นายหญิงควรนอนพักแรง” เขาพูด

                “ฉันกับแงซานั่งยามระวังภัยอยู่ นายหญิงมิต้องกังวล” เขาพูดต่อ

                “จ้ะพี่โละ ถ้าอย่างนั้นขอกินน้ำแล้วจะไปนอนแล้วนะ” เหมียวยิ้มพูดหยิบกระบอกน้ำมาดื่มแล้วเดินกลับไป

                โจออกจากกรรมฐานหลังจากเหมียวกลับมาล้มตัวหลับไปไม่นาน หันมองไปที่ลุงไกรศักดิ์กับพีที่ยังนิ่งอยู่ เขาลุกขึ้นเดินเงียบๆมายืนมองเหมียวว่าเธอยังนอนหลับเป็นปกติแล้วเหลือบมองรั้วบังตาว่ายังไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวภายใน

                ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งลงข้างพรานโละกับแงซาแล้วพูดขึ้นเบาๆ

                “พี่โละกับแงซานอนพักเถอะ ผมนั่งยามเอง ตาสว่างแล้วตอนนี้” โจพูด

                “ฉันยังอยู่ยามกับนายท่านได้นะจ๊ะ” แงซาพูดเบาๆ

                “ไม่เป็นไร แงซาไปนอนดูแลน่อเซิ่งเถอะ” โจยิ้มตบไหล่แงซาเบาๆ

                “พี่โละก็นอนเถอะ ผมอยู่ได้ เจ้าพรีโม่ก็อยู่ด้วยนี่ไง ไม่ต้องเป็นห่วง” โจหันไปพูดกับพรานโละ

                “เยี่ยงนั้นฉันจะนอนใกล้นายโจตรงนี้” พรานโละพูดแล้วขยับไปล้มตัวลงนอนห่างไปเล็กน้อย

                “ไป แงซาไปเถอะ” โจบอกแงซาอีกครั้งพรานแงซาจึงลุกเดินขึ้นเรือนไป

                โจนั่งยามอยู่คนเดียวอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนมองไปยังทุกคนที่หยุดนิ่งอยู่กับการหลับและกรรมฐาน สักครู่จึงก้มลงหยิบปืนเดินมายืนอยู่ริมลำธารมองไปที่ชายป่าแล้วแหงนหน้าดูพระจันทร์

                ในความคิดคำนึงของชายหนุ่มเวลานี้คือรู้สึกยังอ่อนต่อโลกเหลือเกิน ยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาในโลกที่เขาและมนุษย์ทั้งหลายเชื่อว่าศิวิไลซ์นั้น ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่องค์ความรู้ของมนุษย์ไม่อาจหาทฤษฎีมาอธิบายปรากฏการณ์นั้นได้ แค่เรื่องที่เพื่อนรักถือดาบเดินหายไปหลายวัน กลับออกมาอย่างปกติไม่รู้อะไรเลยนั่นก็สุดจะจินตนาการได้แล้ว

                โจคิดได้ถึงสิ่งหนึ่งที่เขาลืมไปนานหลายวันจึงเดินกลับมาล้วงหยิบบุหรี่ในเป้หลังออกมา ทุกคนยังคงนิ่งอยู่ในสถานะเดิม โจเดินกลับมานั่งที่ขอนไม้ล้มริมลำธารอีกครั้งวางปืนพิงไว้ใกล้ตัวแล้วจุดบุหรี่มวนแรกในหลายวันขึ้นสูบพ่นควันยาวทอดอารมณ์ออกไปยังชายป่า

                บุหรี่มวนที่สองถูกจุดขึ้นอีก ฤทธิ์ของสารเคมีทำให้ชายหนุ่มที่ห่างจากการเสพมาหลายวันมีอาการเมาตาลายเล็กน้อยจนไม่สามารถสังเกตสิ่งที่เคลื่อนเข้ามาทางด้านหลัง เงียบเชียบ ประสงค์ร้าย

                โจผวาขึ้นสุดตัวพุ่งหนีไปข้างหน้าเมื่อฝ่ามือและนิ้วทั้งห้านิ้วที่เย็นเฉียบสัมผัสหลังต้นคอ

                ประสาทสัมผัสทุกส่วนที่ถูกปลุกขึ้นพร้อมกันกะทันหันดันร่างกายแทบปริแยก ขนทุกเส้นตั้งชันเย็นเฉียบตั้งแต่กระหม่อมจนปลายเท้า โจกลิ้งตัวไปข้างหน้าจนถลันเปียกน้ำในลำธารครึ่งตัว ตั้งหลักแล้วหันกลับมาเตรียมต่อสู้

                เขาหยุดยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะโกรธหรือจะทำอะไรดีกับศัตรูที่หันมาพบ

                เหมียวนอนอยู่ข้างขอนไม้ด้านเดียวกับที่เขายืน เธอนอนตะแคงงอตัวหัวร่องอหายใช้สองมือปิดปากไม่ให้มีเสียงรอดออกมา ตัวโยนอยู่อย่างนั้น

                โจย่างสามขุมเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ข้างตัวเธอแล้วกำมือทุบไปที่เนินสะโพกผายที่นอนตะแคงอยู่

                “อุ๊ย” เหมียวกลั้นเสียงร้องเอามือข้างหนึ่งปิดสะโพกอีกข้างหนึ่งยังปิดปากหัวเราะต่อ

                ชายหนุ่มก้มมองจ้องหน้า มือซ้ายวางที่เอวหญิงสาวแล้วยันพื้นไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง

                “เล่นบ้าๆ” เขาตะคอกเบาๆแล้วก้มจูบข้างแก้ม
    
            เหมียวหยุดมองหน้าเมื่อเขาเงยขึ้นจากใบหน้าเธอ แล้วเริ่มหัวเราะคิกแบบกลั้นไม่อยู่ขึ้นมาอีก
    
            โจคุกเข่ากอดอกมองหญิงสาวที่นอนหัวเราะไม่หยุดส่ายหน้าระอา

                “เอาล่ะ เอาล่ะ” เหมียวพูดกลั้นหัวเราะเช็ดน้ำตาไปพลาง

                “มือเย็นดีมั้ย” เธอถามหัวเราะคิกขึ้นมาอีก

                “เออ ทำไมมือเย็นนักล่ะ ไม่สบายรึเปล่า” โจถาม

                “ฉันจุ่มน้ำเย็นมา” เธอบอก

                “ตั้งใจขนาดนั้นนะ” โจส่ายหน้าพูด

                “เล่นบ้าๆ เกิดผมหันมายิงเอาล่ะ” โจพูด

                “ฉันก็จะไปนอนรอคุณอยู่ที่วะสะธารา” หญิงสาวนอนหงายยิ้มมองสบตาเขา

                โจเงยคอแหงนหน้าทำท่าเหมือนระอาในคำพูดแล้วก้มลงมองตาเธออีกครั้ง

                “ตกใจจริงๆเหรอ” เหมียวเลิกคิ้วถามยิ้มยั่ว

                “นิดหน่อย” โจตอบไม่สบตา

                “เหรอ นิดหน่อยเหรอ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เธอทำเสียงยั่วเย้าแล้วชูสองแขนกางออก

                โจยิ้มส่ายหน้าแล้วโถมตัวลงในอ้อมแขน หนุ่มสาวนอนกอดพลอดรักกันตรงนั้น จูบแล้วถอน ถอนแล้วจูบอย่างด่ำดื่มในความรักที่มีต่อกัน เนิ่นนานจนข้อมือของชายหนุ่มถูกตะปบไว้ด้วยมือของสาวเจ้าเมื่อกระดุมจะถูกปลดออก

                “ตัวเองจะทำอะไรเค้าในคืนพิธีสำคัญเนี่ยนะ” หญิงสาวถอนจูบแล้วกระซิบบอก

                “เออว่ะ” ชายหนุ่มพูดทำเป็นไม่รู้ประสา

                “พูดกับแฟนหยาบคาย” หญิงสาวพูดแล้วใช้สี่นิ้วชิดกันตบปากเบาๆ

                “ไม่ใช่แฟน” เขาพูดทำเสียงจริงจัง

                หญิงสาวนอนขมวดคิ้วทำตาขวางมองสบตานิ่ง

                “นี่คือคนที่ผมจะรักที่สุดคนเดียวไปจนวันตาย” เขาพูดน้ำเสียงจริงจังอีกครั้งสบสายตาเธอนิ่ง

                “ผมอยากเป็นเหมือนคุณลุง”

                “และคำๆนี้ ผมพูดขณะที่กอดคุณด้วยความรัก ภายใต้แสงจันทร์เพ็ญ ขอท่านเป็นทิพย์ญาณ” โจพูดหนักแน่น

                หญิงสาวนอนจ้องตาเขานิ่ง เธอมีน้ำตารินออกจากหางตา

                “เหมียวก็จะรักคุณให้เหมือนป้าลอยารักลุงไกร ให้ป้าลอยากับพระจันทร์เป็นทิพย์ญาณ” เธอพูดเสียงกระซิบ

                ริมฝีปากประสานแนบแน่นเนิ่นนานอีกครั้งด้วยสองดวงใจ จนหญิงสาวถอนริมฝีปากบอกเขาเบาๆ

                “ตัวเองทิ้งเวรยามมานานแล้วนะ” เธอยิ้มบอกเตือน
    
            โจรีบลุกขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ที่เธอพูด เขาประคองเหมียวให้ลุกขึ้นแล้วปัดเศษหญ้ากิ่งไม้ที่ติดอยู่บนเส้นผมและเสื้อผ้าให้จากนั้นจึงหยิบปืนเดินประคองกอดกันกลับมา ทั้งสองช่วยกันเติมฟืนลงในกองไฟทุกกองจนเสร็จแล้วกลับนั่งยามที่กองไฟเช่นเดิม

                “คุณนอนต่อเถอะ” โจบอกด้วยความห่วงใย

                “ใครจะไปนอนลง” เหมียวพูดไม่มองหน้า

                “ทำไมล่ะครับ” โจสงสัย

                “จูบจนเค้าตื่นไปทั้งตัว นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ว่ามานอนกลางป่าให้แฟนจูบแบบนี้ละก็” เธอพูดทำหน้าเง้างอน

                “กลับไปจะกราบเท้าขอโทษท่าน แล้วก็ขอลูกสาวท่านด้วย” โจบอกจริงจัง

                “จริงนะ” เธอพูดทำยิ้มหน้าทะเล้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่