เรื่องราวของคนขี้เกียจ กับการเอาตัวรอด ด้วยศรัทธาแห่งบุญ

เรืองราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ คือ เรื่องราวการเอาตัวรอดของ ไอ้ขี้แพ้ ขี้เกียจ ขี้แย ชอบจับจดคิดแต่เรื่องโทษตัวเอง
มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี และ ไม่ได้น่ายกย่องสรรเสริญเลยซักนิด แต่ผมคิดว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าจะมีประโยชน์บ้าง
สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาแบบผม หวังว่าถ้าได้อ่านแล้วจะมีกำลังใจฮึดสู้ ลองดูอีกซักตั้ง
ขอให้คุณมีศรัทธา เชื่อในบุญ เชื่อว่าตัวคุณต้องรอด คุณก็ต้องรอด


ความขี้เกียจ ความประมาท ทำให้เสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป


เรื่องราวเริ่มจากตอนที่คุณพ่อผมป่วย ขณะนั้นผมกำลังทำงานอยู่ที่นึงซึ่งไกลจากบ้านมาก พอได้ข่าวเรื่องพ่อไม่สบายผมก็คิดจะลาออกจากงาน
ทั้งที่งานนี้ผมเองก็เพิ่งได้มา หลังจากเตะฝุ่นอยู่ 8 ปี นับจากเรียนจบ
อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำถามว่า แล้วมริงทำห่าอะไรอยู่ ถึง 8 ปี ไม่ยอมหางานหาการทำ
ผมอยากบอกว่า ผมก็หางานอยู่ครับ แต่เชื่อมั้ยว่าหาไม่ได้เลย
ไปสำภาษณ์มาหลายร้อยที่ ไปสอบทั้งราชการ เอกชน หรือ แม้แต่ที่ทำงานพ่อผมเอง (เป็นรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง)
ก็ยังสอบไม่ติด พอไม่ได้งานหลาย ๆ ทีเข้า ก็เลยมีความคิดว่า เราคงต้องมาทางค้าขาย เป็นพ่อค้า อาจจะเหมาะกับเรามากกว่า
(ทั้งที่แมร่งไม่เคย ค้าขาย ทำมาหากินอะไรเลย)
เลยตัดใจไม่สมัครงานที่ใดอีกเลย อีกอย่างคงเป็นเพราะยังมีพ่อเป็น back คุ้มกันให้ คิดว่ามีพ่อเป็นนายทุน จึงจะขอพ่อมาทำการค้าเมื่อไหร่ก็ได้ แม้จะไม่เป็นแสนเป็นล้าน แต่ ละดับไม่กี่หมื่นบาทพ่อหามาให้ได้แน่นอน

นี่ละครับ ที่เขาเรียกว่าความประมาท ความขี้เกียจ เริ่มเกาะกินจิตใจขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นนิสัย ทั้งที่เมือก่อนผมเป็นคนขยัน ผลการเรียนก็อยู่ในระดับ กลาง ๆ ค่อนไปทางดี ผมเรียนจบ มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาตร มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ด้วยเกรด เฉลี่ย 3.21
สมัยเรียนไม่เคย เกเร ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี (ทุกวันนี้ก็ไม่เสพสิ่งเหล่านี้) เรียกได้ว่าเป็นเด็กเรียนคนนึง แต่ความขี้เกียจก็ยังเข้ามาทำลายชีวิตได้ในตอนหลัง

    สุดท้ายผมเลยตัดสินใจลาออกจากงานมาดูแลพ่อ
ระหว่างที่ลาออกมาอยู่บ้าน ก็ไม่ได้ดูแลพ่อเท่าที่ควร เหตุเพราะความประมาท คิดว่าพ่อคงไม่เป็นอะไรมาก สิ่งที่ผมทำมีเพียงบอกให้พ่อไปหาหมอแต่ไม่เคยพาพ่อไปโรงพยาบาลด้วยตัวผมเองเลย
จริง ๆ ก่อนหน้านี้พ่อผมเคยไปโรงพยาบาลมารอบนึงแล้ว หมอทำการตรวจแล้ว แต่พ่อหนีออกมาจากโรงพยาบาล ขณะรอหมอ เพราะพ่อเป็นคน กลัวหมอ ไม่ชอบโรงพยาบาล จึงดื้อไม่ยอมไป
จนวันก่อนที่พ่อจะเสีย พ่อมีอาการชัก หูตาเหลือก ไม่ได้สติ ผมเรียกรถพยาบาล มาที่บ้าน นั่นแหละพ่อถึงจะได้ไปโรงพยาบาลจริง ๆ ซักที
ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เป็นช่วงที่ลำบากที่สุดเพราะ ผมไม่มีเงินเลย ไม่มีเงินแม้แต่จะไปหาพ่อที่โรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด แต่ผมอยู่ไกลมาก
พยาบาลให้ซื้อ กระดาษทิชชู ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ไปที่โรงพยาบาลด้วย เพราะของที่โรงพยาบาลมีจำกัด
แต่ผมก็ซื้อให้พ่อได้แค่ครั้งเดียว เพราะเหลือตังค์แค่นั้นจริง ๆ
ด้วยสภาพที่สุดทุเรศของผม หัวหน้าพยาบาลคงเห็นแล้วรู้สึกสมเพช
แกเดินมาพร้อมยื่นเงินให้ผม 500 บาท ผมปล่อยโฮ ตรงนั้นเลย ตรงข้าง ๆ เตียงที่พ่อนอนอยู่
พ่อมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง แกพูดไม่ได้เพราะสวมที่ช่วยหายใจอยู่ พ่อเห็นผมไห้จิตใจพ่อผมคงแย่ไปด้วย
ยิ่งนานวันเข้าอาการพ่อเริ่มไม่ดี และ จากไปในที่สุด

    แน่นอนว่าผมไม่มีเงิน การจัดงานศพพ่อ เป็นเรื่องที่ลำบากมาก ผมไม่มีเงินแม้แต่จะจัดงานศพให้พ่อ ต้องให้ญาติ ๆ พี่ ๆ มาช่วย
ทั้งที่เขาเป็นพี่ ต่าง บิดากับผม แต่ก็มาช่วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จนงานผ่านพ้นไป
ตอนนั้นสภาพจิตใจผม แย่มาก ถึง แย่ที่สุด เสียใจจนไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน นอนร้องไห้อยู่บนห้อง ในหัวมีแต่เรื่องโทษตัวเอง สาเหตุที่พ่อเสียก็มาจากที่ผมไม่ใส่ใจพ่อเท่าที่ควร    
ทุเรศตัวเองที่ ไม่มีเงินจัดงานศพให้พ่อ และสมัยที่พ่อผมยังอยู่ แกเป็นคนชอบกินเหล้า แต่ ผมเป็นคนที่เกลียดเหล้ามาก เวลาพ่อกินแล้วเมากลับบ้านมา ผมจะด่าว่าพ่อแรง ๆ หลายครั้ง
ยิ่งผมนึกย้อนกลับไป ยิ่งจมอยู่แต่ในความทุกข์ และไม่มีแรงจะคิดจะลุกขึ้นมาทำอะไรเลย

(ต่อด้านล่าง)
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ปัญหาที่ผมยังมีอยู่ตอนนี้คือ
ตอนนี้ผมมีเงินอยู่ 2000 บาท ถ้าคิดเป็นค่าเดินทาง ไปทำงาน รถเมล์ไปกลับ เช้า 8 บาท เย็น 8 บาท ถ้าไปทำงาน 22 วัน (หยุด เสาร์ อาทิตย์)
ก็จะเป็น ค่าเดินทาง 352 บาท
ค่ากินทั้งเดือน
เอาเงินทั้งหมดลบค่าเดินทางไปทำงาน 2000 - 352 = 1648 บาท
หาร 30 วัน เฉลี่ยแล้วผมจะมีเงินกินข้าววันละ 54 บาท
จะว่าไปมันก็พอได้อยู่ กินวันละมือ เพราะปรกติผมก็กินวันละมืออยู่แล้ว (ไม่ใช่ลดหุ่น แต่เคยชินตั้งแต่สมัยบวช และ อีกอย่างไม่มีเงินจะกิน)
เรื่องค่าใช้จ่ายน่าจะผ่านเดือนแรกไปได้

ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำเร่งด่วนเลยคือหาเงินมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ
(ซึ่งตอนนี้ที่บ้านยังโดนตัดไฟอยู่ และ แม่ผมก็กลับจากต่างจังหวัดแล้ว กลางวันมาอยู่ที่บ้านผมที่ไม่มีไฟ แต่กลางคืนไปนอนบ้านพี่สาว คือแกเป็นห่วงบ้านนะครับ)
ถ้าผมอดทนให้ผ่านพ้นเดือนแรกไปได้ ... ได้เงินเดือนเดือนแรกมาเมื่อไหร่ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ...

ทั้งหมดที่เล่ามานี้
มันอาจไม่มีสาระอะไรเลยก็ได้สำหรับคนที่มีความคิดอีกแบบนึง ที่ไม่ใช่ loser หรือ underdog แบบผม
กระทู้นี้ถูกเขียนมาเหมือนเพื่อ Loser ด้วยกัน ที่กำลังมืด 360 ด้าน และต้องการกำลังใจ
สำหรับผมการให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญและละเอียดอ่อน ให้กำลังใจผิดวิธี แทนที่จะเปลี่ยนจากแย่เป็นดี กลับเป็นแย่ยิ่งกว่าเดิม
การให้กำลังใจของแต่ละคนอาจต่างกันไป บางคนต้องด่า ต้องกระตุ้นแรง ๆ ถึงจะลุกขึ้นสู้
คนบางคนต้องค่อย ๆ ปลอบโยน และ คอยชี้ทางออก เพราะถ้ารุนแรงกับเขา นอกจากจะไม่กระตุ้นแล้วยังไปทำลายชีวิตเขาด้วย
ผมไม่ต้องการซ้ำเติม ผมต้องการให้กำลังใจคนทุกคนที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับผม
อาการ ขี้เกียจ ท้อแท้ หมดหวัง ผมมองมันเป็นโรคชนิดนึงที่ต้องอาศัยยาที่เรียกว่า

พรหมวิหาร 4
เมตตา     ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
---- ผมอยากให้คุณมีความสุข ผมเชื่อว่าคุณต้องการสิ่งนี้

กรุณา     ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์   
---- ลึก ๆ คุณไม่อยากยอมแพ้หรอก คุณต้องการกำลังใจ ที่เหมาะกับคุณ

มุทิตา     ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี         
---- ผมจะยินดีอย่างมากเมื่อรู้ว่าใครที่กำลังท้อแท้อยู่ ลุกขึ้นมาสู้ได้เรื่องราวของผม

อุเบกขา     การรู้จักวางเฉย                  
---- บางสิ่งอาจไม่เป็นไปตามที่คิดถ้าคุณทำที่สุดแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็ไม่อยากให้คิดมาก ผมเป็นกำลังใจให้ หรือ ถ้าคุณยอมแพ้ทั้งที่ยังมีทางออก ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจาก  และภาวนาให้คุณคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

ผมอยากบอกท่านที่กำลัง หมดหวัง หมดหนทาง  อย่าหมดศรัทธาในตัวเอง หรือ ศาสนาที่ท่านเชื่อ
โดยเฉพาะชาวพุทธอย่างเรา ๆ อย่าทิ้งการภาวนา อย่าลืมคำว่า สติ ทำอะไรขอให้มี สติ กำกับ คิดให้รอบครอบ
ขอให้เชื่อในพลังแห่งบุญ จงทำบุญไว้มาก ๆ เถิดไม่เสียเปล่าหรอก คุณอาจมองไม่เห็น แต่ บุญกรรม เป็นสิ่งตามธรรมชาติที่มีอยู่จริง ๆ
ทั้งนี้ก็หวังว่าเรื่องราวของผมจะทำให้ท่าน มีกำลังใจสู้ขึ้นมาบ้าง


ขอให้โชคดี
ความคิดเห็นที่ 1
ช่วงเวลาแห่งทำบุญชดใช้บาป และ ปาฏิหารแห่งการบวช

ตอนนั้นผมมีความคิดอยู่อย่างนึงว่า อยากชดใช้ความผิด ที่ดูแลพ่อไม่ดี แต่คิดไม่ออกว่าจะชดใช้ยังไง
อยู่ดี ๆ ผมก็นึกถึงการบวช ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ผมเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่เคยนับถืออะไรมาก่อน ใช้ชีวิตตามใจตนเอง ไม่เคยทำชั่ว แต่ ก็ไม่เคยทำความดีเหมือนกัน และคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ไม่ต้องการที่พึ่งทางใจ หรือ ลัทธิใด ๆ มาผูกมัดใจทั้งสิ้น ...

แต่ผมก็นึกถึงการบวช เพราะคิดว่านี่คือหนทางล้างบาปที่เคยทำไว้กับพ่อ แต่เพราะผมไม่รู้เรื่องใด ๆ ในศาสนาเลย โดยเฉพาะศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าคือใคร ท่านค้นพบอะไร การบวชคืออะไร พระมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง ฯลฯ ผมไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น
ผมจึงปรึกษาเพื่อนคนนึงเรื่องการบวช และ เพื่อนก็แนะนำมาให้ไปบวชกับหลวงพ่อท่านนึงในวัดต่างจังหวัด ... เรื่องราวผ่านไปหลายวัน การบวช ก็ยังเป็นแค่ความคิดเพราะยังไม่ได้เตรียมการอะไรเลย เงินที่จะบวชก็ไม่มี เงินทำพิธีอะไรก็ไม่มี

แต่เหมือนคนมันจะได้บวช ยังไงก็ได้บวช วันนึงก็เกิดปาฏิหารขึ้นกับผม ขณะที่ผมเดินออกจากบ้าน เพื่อพักสมองเดินดูอะไรเล่นให้สบายใจ อยู่ดี ๆ เพื่อนก็โทรมาว่า นายจะบวชใช่ใหม ถ้าจะบวชนายต้องรีบไปที่สุพรรณบุรีเดี๋ยวนี้เลย เพราะพ่อของเพื่อนคนนี้กำลังจะเป็นเจ้าภาพบวชพระ 4 รูป แต่ยังขาดอยู่รูปนึง จึงต้องการให้ผมไปบวช ซึ่งค่าใช้จ่ายในการบวชมีคนออกให้หมดแล้ว
เพื่อนมันก็ย้ำว่า ให้ไปเดี๋ยวนี้ ซึ่งขณะนั้นกำลังเดินเล่นอยู่ฝั่งธน ผมยังไม่รู้เลยว่าจะไปสุพรรณยังไง นั่งรถอะไร ไปแล้วต้องไปลงที่ใหน ทุกอย่างมึนงง ไปหมด ผมบอกกับเพื่อนว่า เฮ้ย เราไปสุพรรณไม่เป็น เราไม่เคยไปใหนต่างจังหวัดคนเดียวเลย แล้วจะไปยังไง พ่อนายเรายังไม่เคยเห็นหน้าเลย แล้วจะนัดเจอกันยังไง .... ผมขอเพื่อนนั่งตัดสินใจสักพัก แล้ว เดี๋ยวจะโทรกลับ

ผมนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ พร้อมความคิดเต็มหัวไปหมด ... จะไปดี หรือ ไม่ไปดี เพราะยังไม่ได้บอกแม่เลย อยู่ดี ๆ เดินออกจากบ้านเพื่อมาเดินเล่น แล้วจะให้บอกแม่ยังไงว่า วันนี้ผมไม่กลับบ้านนะเพราะจะไปบวชที่สุพรรณ .. ???? จริงอยู่ว่าเคยเปรย ๆ กับแม่ ตอนพ่อเสียใหม่ ๆ ว่า อยากบวชให้พ่อ แต่ แม่คง งง น่าดู ... ว่าใหนบอกออกไปข้างนอกแป๊บเดียว อยู่ดี ๆ ไปบวชซะแล้ว
แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ ไปแบบ งง  ๆ

    ผมตรงไปที่อนุสาวรีชัย และ หารถตู้ไปสุพรรณทันที ทั้งที่ไม่เคยนั่งรถตู้ไปต่างจังหวัดมาก่อน เมื่อไปถึงก็ได้เจอกับพ่อของเพื่อน และ เขาก็ได้พาไปแนะนำให้รู้จักกับหลวงพ่อ เพื่อฝากตัวที่จะบวช
ซึ่งงานบวชจะมีในวันรุ่งขึ้นเลย ..... งง เลยซิครับ ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยมีแค่ เสื้อยืด กางเกงยีน กับ มือถือที่ไม่มีที่ซาร์ตแบต แน่นอนว่า คําขานนาค ก็ไม่ได้ท่อง เพราะไม่นึกว่าจะได้บวชกระทันหันแบบนี้
วันนั้นก็ปรงผม และ ใส่ชุดขาว พร้อมท่องคำขานนาคแบบมึน ๆ ว่าจะไปท่องได้ยังไงให้จำได้ในคืนเดียว
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เข้าโบส โชคดีที่พระคู่สวดคอยบอกคอยช่วยจึงรอด ในการกล่าวคำขานนาคอุกาสะในโบสมาได้ วันบวชวันนี้ผมก็ไม่มี พ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนที่รู้จักมาร่วมงานเลย ขณะเพื่อนพระที่บวชพร้อมกัน มีญาติมากันตรึม ช่างเป็นการบวชที่ว้าเหว่สุด ๆ

ผมมาบวชในสำนักสงฆ์แห่งนึงที่เพิ่งเปิดใหม่ ทุกอย่างใหม่หมดจริง ๆ สถานที่ไม่มีอะไรเลย มีเพียงท้องนาโล่ง ๆ กับ กระต๊อบเป็นหลัง ๆ ทำเป็น กุฏิพระ เท่านั้นเอง
ระหว่างการบวช ผมได้พบเจอสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตมากมายทั้ง เรื่องราวของพระพุทธเจ้า ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน คำสอนของท่าน มิตรภาพต่าง ๆ ที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นในสำนักสงฆ์กลางท้องนาเล็ก ๆ แห่งนี้
ได้รู้จักการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่าบุญใดทั้งปวงคือ การทำสมาธิ วิปัสนา ผมไม่เคยนั่งสมาธิจริงจังแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้จักสิ่งเหล่านี้เลย จนได้มาบวชและได้หลวงพ่อคอยสอน จึงได้รู้ว่า การทำวิปัสสนา กรรมฐาน เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ

ผมบวชอยู่ 1 พรรษา ระหว่างที่บวชก็ตั้งใจอย่างดี แต่ผมก็มีห่วงคือเรื่องแม่ เพราะตั้งแต่พ่อเสียไป แม่ก็เหงา และขาดรายได้ที่เป็นเสาหลักไป อีกอย่างตัวผมเองก็อยากหางานทำ เพื่อที่จะหาเงินพาแม่กลับบ้านเกิดมาอยู่ใน ฝั่งธนบุรี ซึ่งสะดวกสบายกว่าใน ที่ที่อยู่ปัจจุบัน
ก่อนสึกผมขอหลวงพ่อแยกตัวออกมาทำสมาธิคนเดียววันละ สามชั่วโมง ทั้ง ยืนสมาธิ เดิน(จงกรม) นั่งสมาธิ นอกเหนือจากเวลาปรกติที่ทำสมาธิเช้าเย็นอยู่แล้ว รวม ๆ แล้วผมทำสมาธิวันละ 5 ชั่วโมงเป็นเวลา 3 เดือน ก่อนที่จะสึก เพื่อเป็นการสร้างบุญให้พ่อ และ เป็นการสะสมบุญก่อนที่จะไปใช้ชีวิตทางโลก
ความคิดเห็นที่ 10
เป็นกระทู้มีประโยชน์

คุณต้องพยายามมากๆ มันยังไม่เริ่มเข้าสู่การทดสอบหนใหม่ของคุณเลย

อย่าได้ใจไป ในชีวิตคุณเป็นแบบนี้หลายหนแล้ว

ยังเหลือหลายวันกว่าจะเริ่มงานจริงๆ วันทำงานจริงมี ส. อ.

เอาของที่มีไปตลาดนัดขายก่อนหรือขายเพื่อน จำนำ(วางแผนไว้ก่อนจะได้จ่ายดอกถูก)

หาทุนเพิ่มอีกนิด จะได้อยู่ง่ายขึ้น ไม่หงุดหงิดไปทำงานใหม่ๆ
_______________________________________________________________________

อาหารสำคัญกับสมอง กินไม่พองานแบบคุณมันจะทำยาก

อย่ายืมเงินเพิ่ม ฝึกตัวเองให้อยู่ง่าย อดทน กว่าเดิม

หาวิธี กินอยู่อย่างประหยัด ปลูกถั่วงอก กิน ทำกับข้าวง่ายๆเอาไปกินที่ทำงาน

วิธีถนอมอาหาร วิธีซื้อของที่ซุปเปอร์ก่อนปิดของถูก เดินหาอาหารลดราคา

น้ำตาลทราย เกลือ น้ำมัน 3อย่างนี้ราคาถูกแต่ให้พลังสมองพลังกายได้ดี

มือที่ไม่ได้กิน ที่สำนักงานมีกาแฟไหม ถ้ามี กินของสำนักงานใส่น้ำตาลครีมมากๆพออิ่ม

เกลือกินนิดๆกันขาด  ทุกอย่างกินที่ละไม่มาก เสริมเวลาขาดอาหารได้

ไปวัดใกล้ๆบ้าน คุยกับพระ ถ้าหาไม่ได้ไปหลายๆวัด ถ้าคุณชอบแนวนี้
ไปกินข้าวก้นบาตร ส. อ. ประหยัดหลายมื้อ

แล้วช่วยหลวงพ่อ เด็กวัดทำอะไรบ้าง เผื่อฝึกจิตด้วย

วิธีประหยัดน้ำไฟ เดินทางมีวิธีไหม 8บาทไกลแค่ไหน เดินกลับบางวันไหวไหมเย็นวัน ศ.
___________________________________________________________________

ผมเป็นกำลังใจให้นะ

ผมเข้าใจคุณ ที่คุณต้องการเพิ่มก่อน อีก คือ

วินัย

วินัย

วินัย

บางทีคุณ อดทน พอแต่บางที กลับไม่ทนพอเพราะ ไม่มีวินัยมากพอ

ทำให้เสมอกันทุกวันแบบตอนบวช

เริ่มชีวิตใหม่ อย่ามองเดือนแรกเดือนเดียว มองไกลๆ สร้างวินัยขึ้นมา

ยังเหลือหลายวันกว่าจะเริ่มงานจริงๆ วางแผนหยาบๆแล้วลงมือทำครับ

แผนค่อยๆปรับได้ แต่ต้องลงมือทำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ด่วนๆก่อนที่ไปทำงานแล้ว อดทนไม่พออีก มันยังมีคนอื่นต้องดูฝีมือคุณด้วยนะ

มีอะไรต้องทบทวนในงานที่จะทำต้องเอามาทวนด้วยคุณ ว่าง งานมานานมากดูผ่านๆเท่าที่ทำได้
____________________________________________________________________

เดียวๆทนผมหน่อย อ่านต่อไป

ยังมีสังคมใหม่ที่คุณต้องเจอนะ ไปทำงานอย่าเล่น เนตแบบอยู่บ้านละ

แต่งตัวอย่าตามใจตัวเองเน้นเรียบร้อยก่อนไปใหม่ๆ

ถ้ามีคนสอน คนกวนตีนลองของต้องสร้างมิตรนะ

ไปทำงานตรงเวลา กลับช้าๆ ใส่ใจมากๆ ไหนๆรีบกลับก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วอยู่บ้านคนเดียว

ไปเดือนแรกอย่าไปหลงรัก ใคร ตั้งใจทำงานให้ผ่านโปรก่อน มันเสียสมาธิ

เวลาทำงานรอบครอบ จดที่สั่ง ทำตามก่อน ถ้าจะเสนออะไรต่างออกไป

ที่เขาสั่งต้องเสร็จก่อนเอามาคิดต่อที่บ้านก็ได้

แต่ห้ามเอางานกลับมาบางอย่างเป็นความลับ

ตรวจทานว่าตรงประเด็นกับที่สั่งก่อนส่ง ด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------
วินัย  ท่องไว้คุณผ่านไปได้แน่  วินัย

ผมมีเขียนเพิ่มหลายเรื่องอยากให้อ่าน 27-1-58-13:20น.
ความคิดเห็นที่ 3
ปาฏิหารแห่งการภาวนา และ การฮึดสู้ครั้งสุดท้าย

เพราะผมไม่อาจปล่อยให้ชีวิตตัวเองทุเรศ มากไปกว่านี้ได้แล้ว เหมือนมีอะไรมาดลใจ เหมือนมีอะไรมาทำให้ผมสงบลง ผมเริ่มสำรวจตัวเอง เริ่มทำสมาธิ เริ่มมองตัวเอง มองลงไปตั้งแต่ เส้นขน ผิวหนัง กระดูก ลึกไปเรื่อย ๆ ผ่านตับไตใส้พุง จนถึง จิตใจ
ผมนั่งสมาธิไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าไหร่ จิตมันจับเห็นจุดสว่างในกลางตัว และ เหมือนผมดิ่งสู่ห้วงสมาธิ ความคิดต่าง ๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมเริ่มมองเห็นทางออก ...

หลังจากออกจากสมาธิผมตัดสินใจทันทีที่จะเดิมพันกับ เงินก้อนสุดท้าย 2000 บาทที่เหลือ เพื่อหางานทำให้ได้ และ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหากได้งานจะไม่ลาออกด้วยเหตุผลโง่ ๆ อีกแล้ว
และเข้าใจทันทีว่า ที่ผ่านมาที่จิตมันหลุดบ่อย ๆ มันฟุ้งซ่าน มันหาทางขี้เกียจบ่อย ๆ เพราะเราไม่มีสติ เราขาดการภาวนา เราไม่จริงจังกับการภาวนาเหมือนตอนที่เราบวช เราไม่จริงจังกับความฝัน ในสิ่งที่เราตั้งใจไว้
ทุกอย่างอยู่ที่ สติ คำเดียว ทำอะไรถ้าไม่มี สติ เป็นตัวตั้งชีวิตก็พร้อมจะล้มพังลงมาได้ทันที  

ผมตัดสินใจออกจากบ้าน โทรหาน้องที่สนิท ว่าขอมาอยู่ด้วยซักเดือน เพื่อหางานทำ
(ทั้งชีวิต ผมมีเพื่อนเพียง 4 คนที่เชื่อใจ และ เป็นเพื่อนตาย รวมทั้งน้องคนนี้ด้วย)
ระหว่างที่หางาน ก็ภาวนาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยามตื่น ยามเดิน ยามนอน หรือ ตอนคลิกหางานในเน็ต การภาวนาสำหรับผมคือ การมีสติอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าเรากำลังทำอะไร กำลัง กิน เดิน นอน นั่ง การกำหนดรู้ เมื่อสติหลุด ให้รีบดึงกลับมา
ไม่จำเป็นต้องอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ก็ ทำกรรมฐานได้ ..... ผมทำด้วยความเชื่อความศรัทธาว่า ผมต้องรอด ต้องมีงานทำ และ จะไม่ผิดพลาดแบบงี่เง่าเหมือนที่ผ่านมา

ผมกลับไปไหว้พระที่บ้านเกิดเพื่อสร้างกำลังใจบ่อย ๆ ที่วัดหลวงพ่อโบสน้อย (วัดอมรินทราราม ใกล้โรงพยาบาลศิริราช) เพื่อขอพร ขอให้ได้ สติ ขอให้ผ่านเรื่องเลวร้ายไปได้
และล่าสุดกับปาฏิหารที่เกิดขึ้น ผมไปวัดพระแก้วด้วยความบังเอิญ คือกะจะไปเดินเล่นที่อื่นแต่ทำไปมาแวะที่วัดพระแก้วได้ยังไงไม่รู้ ไหน ๆ ก็มาแล้วผมก็เดินชมวัด เดินชมจิตรกรรมฝาผนังซักพัก และ ได้ขึ้นไปกราบ พระแก้วมรกต แล้ว ขอพรเรื่องการงาน และ ขอให้ผมมี สติ มีสมาธิ มีปัญญา ในการแก้ใขปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต

ผมขอให้ผมได้มีงานทำ และ ขอให้มีเงินเลี้ยงดูแม่ มีเงินทำบุญให้กับพ่อ มีเงินช่วยเหลือคนอื่นที่ประสบปัญหาแบบผม ... ผมอธิษฐานแบบนี้ในตอนเช้าที่เข้าไปกราบท่าน และ ในตอนเย็น ทางบริษัทที่สำภาษณ์งานก็โทรมานัดรอบสอง (ซึ่งผมรู้ทันทีเลยว่า ยังไงก็ต้องได้งานแน่ ๆ ผมเดินน้ำตาไหลกลับหอพักด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
และในที่สุดวันนี้ผมก็ได้งานแล้วจริง ๆ จะเริ่มงานในต้นเดือน กุมพาพันธ์ นี้
ความคิดเห็นที่ 2
ชีวิตหลังจากสึก และ ความหลงงมงายขาต สติ

หลังจากที่ผ่านช่วง กฐิน ไม่นานผมก็ลาสิกขากลับบ้านมา เพื่อที่จะหางานทำและทำตามความฝันที่จะ มีเงินดูแลแม่ มีเงินซื้อบ้านกลับมาอยู่บ้านเกิดที่ฝั่งธน
ผมกลับมาอยู่บ้านและได้งานในที่สุด แต่บอกใครคงสมเพช ใครจะนึกว่าคนบวชเรียนมาแล้วจะทำชีวิตเหลวแหลกได้อีก ผมลาออกจากงานด้วยเหตุผล งี่เง่า ที่คิดอยากค้าขายทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการค้าขายเลย และ แถวบ้านที่ผมอยู่เป็นทำเลที่แย่มาก ๆ อยู่สุดขอบชานเมือง ไกลชนิดที่ว่าไม่มีรถเมล์มีแต่รถตู้ไปใหนมาใหนลำบากสุด ๆ
หาซื้อวัตถุดิบทำอะไรก็ยาก คนก็น้อย พฤติกรรมคนแถวนี้ก็ต่างจากฝั่งธนบ้านเกิดผม สมัยก่อนเคยเปิดร้านขายของชำที่ฝั่งธน ขายรายได้ดี แต่พอมาที่นี่ (ไม่ขอบอกว่าที่ใหนละกัน) กลับขายไม่ได้เลยอย่างมากไม่เกิน 200 บาทต่อวัน แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ไม่เกิน 100 บาทต่อวัน
อย่างนี้อยู่ไม่ไหวแน่

    แต่ไอ้คนงี่เง่าคนนี้มันก็ยังจะมีความคิดค้าขาย ทั้งที่มันมีเงินติดตัวแค่ 10000 เดียว
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะหาทางค้าขายได้ แต่กับไอ้คนอย่างผมที่มีแต่ความคิดเพ้อฝัน แต่ ไร้ประสบการณ์ ถ้าทำก็คงเจ๊ง
ผมได้แต่ คิด คิด คิด แต่ ไม่กล้าลงมือทำ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป จาก วันเป็นเดือน เป็นหลายเดือน เงิน 10000 ที่มีเริ่มหมดลงเรื่อย ๆ
ผมต้องขายของรักผมไปหลายอย่างเพื่อประทังชีวิต แต่ก็คิดว่าอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว สุดท้ายผมก็เริ่มออกมาหางานอีกครั้ง

    แต่ไอ้บ้านี่มันงี่เง่าไม่เคยพอจริง ๆ .... มันหางานอยู่ สามเดือน ในที่สุดมันก็ได้งาน แต่สุดท้ายเชื่อมั้ย .... มันทำงานได้แค่ สองอาทิตย์มันก็ลาออกด้วยเหตุผลเดิม ๆ อีกแล้ว คือ อยากออกมาเป็นพ่อค้า ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย และ ยังขี้เกียจ
คนบ้าอะไร เคยสะดุดล้มผิดพลาดมาแล้วจากการตัดสินใจลาออกแบบบ้า ๆ ... แต่มันก็สะดุดล้มในจุดเดิมอีก ด้วยเหตุผลเดิมอีกตะหาก  มันลืมไปหมดสิ้น กับ สิ่งที่มันควรจะทำ เรื่องแม่ เรื่องการมีเงินซื้อบ้านกลับไปอยู่ฝั่งธนบ้านเกิด มันลืมหมดเลย มันมีความขี้เกียจ ความบ้าบิ่นเต็มหัวไปหมด
ในที่สุด เงินที่ผมมี ก็เหลือ แค่ 4000 บาท แถมเงินต้องหมดลงไปทุกวัน ๆ ค่าน้ำค่าไฟที่บ้านทั้งที่เป็นบ้านผมเองแต่ผมก็ไม่เคยจ่ายค่าน้ำค่าไฟเองเลย ได้พี่สาวต่างบิดามาช่วยตลอด ที่เขายอมช่วยอาจเพราะว่าแม่ผมยังอยู่กับผม ถ้าลองแม่ไม่อยู่ก็คงไม่มีใครช่วยผมแน่นอน ....

ยิ่งไม่มีเงิน ยิ่งคิดมาก ยิ่งเงินเหลือน้อย ยิ่งไม่กล้าทำอะไร จากที่คิดจะค้าขาย กลายเป็นกลัว กลัวไปหมดทุกสิ่ง กลัวเงินจะหมด กลัวจะตาย .... ความกลัวกัดกินสมองจนส่งผลถึงพฤติกรรม ผมกลายเป็นคนขี้เกียจโดยสมบูรณ์ ผมปล่อยตัว ไม่อาบน้ำเป็นเดือน ๆ เพราะไม่กล้าซื้อ สบู่
กลัวไม่กล้าใช้เงินกลัวมันหมด ชีวิตต้องจบจริง ๆ ไม่สามารถหยิบยืมจากใครได้   ไม่กล้าแม้แต่จะซื้อของกิน ได้แต่ขอกินกับพี่สาวที่เป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายในบ้านผมเกือบทุกอย่างทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค่ากิน ของใช้ทุกอย่าง ทุกวันผมหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่กล้าพบเจอผู้คน อยู่ในห้อง 24 ชั่วโมง ไม่กล้าแม้แต่จะลงมาฉี่ ต้องหาขวดน้ำไว้ในห้องเพื่อฉี่ใส่ขวด แล้ว ไปเทในเวลาดึก ๆ ผมไม่กล้าสบตาใครแม้แต่แม่ คนในครอบครัว เพราะผมทุเรศตัวเอง วัน ๆ นั่งโทษแต่ตัวเองที่ทำให้ชีวิตเป็นแบบนี้ ความขี้เกียจตัวเดียวจริง ๆ ทำชีวิตผมบัตซบ

    ในที่สุดบ้านผมก็โดนตัดไฟ ก่อนที่จะโดนตัดไฟแม่ผมไปเยียมญาติที่ต่างจังหวัด จึงไม่อยู่ในช่วงที่ไม่มีไฟฟ้าใช้
  ผมต้องอยู่คนเดียวมืด ๆ เกือบเดือน ระหว่างที่อยู่ในบ้านมืด ๆ คนเดียว ลิมิตความทุเรศทุรังในตัวเองมันแตก และ บอกกับตัวเองว่า ยิ้มจะมันทำตัวทุเรศ ไร้ค่า อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่